หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 421 เยาเยา ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว
บทที่ 421 เยาเยา ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว
จนเมื่ออ๋องเย่ทุ่มเทจิตใจเพื่อเข้าใกล้นางอย่างที่สุด วันนี้ยังวางแผนเอากระเป๋าพยาบาลอัตโนมัติมอบให้นางอีก เขามั่นใจแล้ว นางก็คือหลานเยาเยา
นางกลับมาแล้ว……
มีชีวิตรอดกลับมาอย่างแข็งแรงร่าเริงเต็มไปด้วยพลังชีวิต……
คราวนี้ เจ้าพระยาเซียวก็ยิ่งประหลาดใจ จากนั้นเขาได้ส่งมอบกระดาษที่อยู่ในมือให้เขา
“นี่คือที่เทพธิดาเขียนเมื่อครู่”
“นี่คืออะไรขอรับ?”
ความรู้สึกเมื่อเซียวจิ่นหยูเอามาดู ดวงตาเบิกกว้างขึ้นโดยทันใด กล่าวด้วยสีหน้าที่ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ : “นี่ นี่คือยาถอนพิษ? นางรู้ว่าท่านโดนยาพิษแบบออกฤทธิ์ช้า ทั้งยังเขียนใบสั่งยาถอนพิษด้วย แต่ว่าข้า ข้ายัง……”
เรื่องที่ท่านพ่อโดนยาพิษแบบออกฤทธิ์ช้า เขารู้ตั้งนานแล้ว สองสามปีนี้ ยังสืบค้นหาใบสั่งยาถอนพิษอย่างลับๆอยู่ตลอด
ไม่รู้ว่าพบหมอมามากเท่าไหร่ ก็ล้วนไม่สามารถหายาถอนพิษได้
สำหรับสุขภาพที่ค่อยๆย่ำแย่ขึ้นทุกวันของท่านพ่อ เขาทุ่มเทสุดความสามารถก็ไม่สามารถทำอะไรได้ แต่เมื่อวานตอนกลางคืนได้พบกับหลานเยาเยาพอดี พานางกลับไปที่จวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์ นอกจากเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของนางแล้ว ในใจยังมีความคิดอื่น
เพราะเขารู้ว่าวิชาการรักษาของนางล้ำเลิศยิ่งนัก
ดังนั้นจึงคิดหาโอกาส ขอให้นางตรวจชีพจรของท่านพ่อดูหน่อย คิดไม่ถึงว่าไม่ต้องรอให้เขาเอ่ยปาก
หลานเยาเยาก็ได้เขียนใบสั่งยาออกมาก่อนแล้ว……
ณ เวลานี้!
เจ้าพระยาเซียวถอนหายใจอย่างหนัก “จิ่นหยูเอ๊ย! เทพธิดาฉลาดหลักแหลมนัก ความคิดในใจของเจ้าคาดว่านางได้ล่วงรู้แล้ว มิฉะนั้นก็คงไม่ใช้ชื่อการแข่งขันวิทยายุทธและศิลปะการเขียนอักษรจีน ทั้งช่วยข้าตรวจชีพจรและเขียนใบสั่งยา
วันหลังไปขอบคุณถึงที่ ไม่ เป็นการขออภัยแทนข้า อย่าให้คนอื่นดูแคลนได้”
“ถูกต้องขอรับ ท่านพ่อ ลูกเข้าใจดีแล้วขอรับ”
กล่าวคำขออภัยไม่ใช่ท่านพ่อเพียงผู้เดียว?
เขาก็เหมือนกัน!
—
หลานเยาเยาทางนี้ หลังจากที่ออกจากจวนเจ้าพระยาซื่อสัตย์ ก็เช่ารถม้าคันหนึ่งออกจากเมืองไปแล้ว
เป้าหมายของนางในวันนี้คือ—เรือแห่งความสิ้นหวัง
ริมทะเลสาบที่เรือแห่งความสิ้นหวังอยู่ คึกคักเป็นที่สุด บุรุษรูปหล่อหญิงสาวรูปงาม ผู้มีความสามารถทั้งหลายล้วนมาละเล่นที่สถานที่แห่งนี้ เที่ยวเล่น แต่ที่สำคัญกว่าก็คือการชื่นชมความหรูหราและคึกคักของเรือแห่งความสิ้นหวัง
รถม้าธรรมดาคันหนึ่ง หยุดลงข้างทางอย่างช้าๆ
หลานเยาเยาในชุดสีแดงเลือด เดินออกมาจากในรถม้า ผ่านร้านน้ำชาและร้านเหล้าที่ตั้งเรียงรายเป็นแถว สุดท้ายสายตาของนางก็จับจ้องไปยังเรือแห่งความสิ้นหวังกลางทะเลสาบ
ในพริบตา แววตาก็เย็นชาขึ้นมาก
จากนั้นมุมปากนางก็ยกขึ้น เมื่อยกเท้าขึ้น ก็เดินมุ่งไปด้านหน้า
ในทันใดนั้น ก็มีเงาดำแวบผ่านมาตรงหน้า หน้าดวงตาของนางเป็นสีดำทันใด แขนถูกคนดึงไว้ เวลาในชั่วพริบตา ก็ถูกบุคคลที่อันตรายผู้หนึ่งพาเข้าไปในห้องห้องหนึ่งในร้านน้ำชา
ยังไม่ทันจะดึงสติกลับมาได้ ก็ได้ตกไปอยู่กลางอ้อมกอดที่อบอุ่นแล้ว
หลานเยาเยาเงยหน้าขึ้นจากในอ้อมกอดของใครบางคนด้วยความประหลาดใจ เย่แจ๋หยิ่งกำลังมองมาทางนางด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มจางๆ
ใจนางตื่นตระหนก ลืมตาโตขึ้นทันที รีบมองไปรอบๆ เห็นว่ารอบๆไม่มีคน จึงได้แอบโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
“เย่แจ๋หยิ่ง ท่านมาได้อย่างไร? และยังมาเช่นนี้อีก ไม่ใส่หน้ากากหรือ? ที่นี่มีผู้คนมาเที่ยวเล่นเยอะขนาดนี้ หากว่าให้ผู้อื่นเห็นท่าน เช่นนั้นแผนการของพวกเราก็จะล่มหมดแล้วนะ!”
ใครจะรู้……
ท่านอ๋องบางคนไม่ได้สนใจคำพูดนางสักนิด แต่ยื่นมือมาลูบหัวของนาง เหมือนกับว่าเด็กน้อยน่าเอ็นดูเช่นนั้น
“……” หลานเยาเยาจิ้มหัวใจของเขาเล็กน้อย “ถามท่านอยู่นะ?”
เย่แจ๋หยิ่งหัวเราะเบาๆ เมื่อตีหัวนางเบาๆเสร็จ ก็เล่นผมของนางตลอด หลังจากที่ทำให้ผมของนางพันที่นิ้วมือของเขาสำเร็จแล้ว ริมฝีปากบางๆจึงได้เริ่มทำงาน
“ไม่ได้เจอหนึ่งวันเหมือนไม่ได้เจอสามปี ไม่ได้เจอหลายวัน เหมือนห่างเป็นพันปี เยาเยา ข้าคิดถึงเจ้าแล้ว”
น้ำเสียงทุ้มต่ำ แต่กลับแฝงด้วยเสน่ห์
ในใจของหลานเยาเยาอบอุ่น ทำให้จิตใจที่ร้อนรุ่มของนางสงบลง
เป็นดังคาด!
ทุกคำพูดทุกการกระทำของเขามีผลกระทบต่อความคิดในจิตใจของนาง……
แต่หลานเยาเยาก็ยังคงรีบผละออกจากอ้อมกอดของเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กล่าวด้วยคำพูดที่แฝงด้วยการตำหนิ :
“ที่นี่คือริมทะเลสาบ และเรือแห่งความสิ้นหวังก็อยู่กลางทะเลสาบ โดยทั่วไปของที่นี่เป็นอาณาเขตของหานแส ทุกที่บนริมทะเลสาบก็ล้วนเป็นหูเป็นตาให้คนอื่น หากว่าไม่ระวัง……”
“ชู้ว!”
ไม่รอให้นางพูดจบ เย่แจ๋หยิ่งก็ยื่นนิ้วมือเรียวยาวออกมา ปิดปากนางไว้
“เยาเยากังวลเกินไปแล้ว เจ้าก็ไม่คิดดูว่าสามีของเจ้าเป็นใคร? ฝีมือล้ำเลิศเพียงใด!”
เออะ!
หลานเยาเยาสำลักทันใด
ถูกต้อง!
เย่แจ๋หยิ่งเป็นผู้เดินทางอย่างลึกลับไร้ร่องรอย ทำการใดโดยปกติก็ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ คาดว่าตอนนี้ทุกคนก็ล้วนคิดว่าเขายังรักษาบาดแผลอยู่ในจวน!
เพียงแต่……
สามี?
สามีบ้าอะไรล่ะ! เขายังจะมีหน้าเรียกตัวเองอีก
“เย่แจ๋หยิ่ง ท่านอย่าตั้งชื่อเรียกตัวเองมั่วซั่ว……”
ในเวลานี้
“ตึงตึงตึง……”
มีเสียงฝีเท้าเบาๆดังมา และเริ่มใกล้เข้ามาที่ประตูห้องเรื่อยๆ
หลานเยาเยาเคลื่อนไหวด้วยไหวพริบ ด้วยความเร็วอย่างที่สุดทำให้คนตั้งตัวไม่ทัน ทำให้เย่แจ๋หยิ่งล้มไปที่พื้นในพริบตา แล้วใช้แขนเสื้อกว้างใหญ่ บังหน้าเขาไว้ ลักษณะเช่นนั้น……
ราวกับว่าพวกเรากำลังทำเรื่องที่ไม่สามารถจะบรรยายได้
เสี่ยวเอ้อที่ยกน้ำชาเดินเข้ามา เมื่อเห็นฉากนี้ อ้าปากจนกรามแทบหลุด
หลานเยาเยาสวมชุดผู้ชาย ผมก็มัดแบบง่ายๆเป็นทรงผมของผู้ชาย
ในตาของเสี่ยวเอ้อ ก็คือผู้ชายสองคนกำลังซ้อนทับกันอยู่
ปัจจุบันนี้ผู้ชายดีๆก็สามารถแสดงออกอย่างเปิดเผยได้ขนาดนี้แล้วหรือ?
เขาร้องออกมาด้วยความตกใจเสียงหนึ่งทันที
“อ้า……”
“ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย มองไม่เห็นอะไรเลยจริงๆขอรับ” จากนั้นก็รีบวิ่งออกไปราวกับว่าเจอผี
“……”
เย่แจ๋หยิ่งคนนี้ ไม่ใช่บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วงหรือไง?
กำลังจะตำหนิเขา แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะทุ้มต่ำของเย่แจ๋หยิ่งทันใด จากนั้นก็เอามือทั้งคู่วางบนหลังของนาง กอดนางไว้ในอ้อมอก ไม่ให้นางลุกขึ้น ริมฝีปากบางๆที่เย็นเล็กน้อยใกล้เข้ามาข้างหูของนางแล้วพูดเบาๆ
“เยาเยา เมื่อครู่เจ้าชั่งทรงพลังนัก ทำให้ข้าตกใจแล้ว ข้ายังคิดว่าเจ้าจะบังคับขืนใจ!”
เอ่อ?
ไม่ได้เข้าใจผิดใช่ไหม?
ทำให้เสี่ยวเอ้อตกใจน่ะสิ? จะทำให้เขาตกใจได้อย่างไรล่ะ?
ยังจะบังคับขืนใจอีก คิดเพ้อเจ้อจริงๆ
“เย่แจ๋หยิ่ง ท่านปล่อยข้า ข้ายังมีเรื่องต้องทำนะ!”
นางขัดขืนไปสองสามที แต่กลับไม่หลุดออกจากแขนของเขาที่โอบล้อมนางไว้ เพราะว่าเย่แจ๋หยิ่งที่โอบร่างกายของนางไว้ ยิ่งกอดนางแน่นขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่าจะขยี้นางให้เข้าไปอยู่ในร่างกายของเขาเช่นนั้น
ในที่สุดนางก็ถอนหายใจ แล้วนอนคว่ำอยู่ในอ้อมกอดของเขาอย่างสงบจิตสงบใจ
“ก็ได้! ให้เจ้าเอาเปรียบสักครู่หนึ่ง แค่ครู่หนึ่งนะ! ห้ามได้คืบเอาศอก”
คราวนี้ ริมฝีปากบางของเย่แจ๋หยิ่งยกขึ้นด้วยความพอใจ
“ได้” ดมกลิ่นหอมที่ผมของนางเบาๆ เย่แจ๋หยิ่งมีใจพูดหลอกล้อว่า:
“กลางวันแสกๆ เจ้าจะให้ข้าได้คืบเอาศอกอย่างไร? ข้าไม่อยากให้ผู้อื่นนอกจากข้า เห็นท่าทีที่เขินอายของเจ้า
เยาเยา คืนนี้ข้าไปที่ตำหนักของเจ้าดีหรือไม่?”
น้ำเสียงทุ้มต่ำที่มีแรงดึงดูดของเย่แจ๋หยิ่ง เอ่ยขึ้นข้างหูของนางครึ่งแฝงด้วยความอ้อนมีเพียงพวกเขาสองคนถึงจะฟังเข้าใจ
จากดวงตาสามารถเห็นได้ว่าใบหน้าของหลานเยาเยาร้อนผ่าวขึ้นฉับพลัน จากนั้นก็ยิ่งแดงขึ้นเรื่อยๆ
“ปึงปึงปึง” ทันใดนั้นหัวใจก็เต้นรัว
“เย่แจ๋หยิ่ง ท่านนี่นับวันยิ่งเลอะเทอะ ไม่รู้จักอายเลย “
“อาย? เยาเยา เป็นเจ้าที่ทำให้ข้าไม่รู้รสชาติของเนื้อมาสามเดือน ยังอายต่อไปก็ต้องกินแค่เพียงผักแล้ว”
“ท่าน……” หลานเยาเยาจ้องเขาด้วยความโกรธเคือง “เย่แจ๋หยิ่ง ตอนกลางคืนห้ามมาที่ตำหนักของข้า ยิ่งไม่อนุญาตให้เหยียบย่ำเข้ามาในห้องของข้าแม้เพียงก้าวเดียว”
คิดวางแผนคิดไม่ซื่อต่อนาง?
ไม่ได้เป็นอันขาด