หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 453 นี่เป็นความเข้าใจผิดที่งดงาม
บทที่ 453 นี่เป็นความเข้าใจผิดที่งดงาม
เพียงแต่ไม่รู้ ถึงวันนั้น ตาเฒ่าเย่นพวกเขาจะมีกิริยาท่าทางอย่างไร บนแท่นบูชายัญจะเป็นบรรยากาศอย่างไรอีก?
แต่ตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่า เป็นตาเฒ่าเย่นให้นางดูแลรักษา นางมอบออกไปเอง ก็จำเป็นต้องเอากลับมาเอง และยังต้องเอากลับมาอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อพิธีใหญ่ผ่านไป
ก็จะเป็นการท่องเที่ยวที่ทะเลทรายที่ไม่รู้ความเป็นความตาย ถึงเวลาบนโลก ถึงเวลาของพื้นแผ่นดิน ถึงเวลาของเมืองหลวง จะเปลี่ยนเป็นอย่างไรไม่มีผู้ใดล่วงรู้
กล่าวโดยรวม!
คิดไปคิดมา ก็เพื่อขายตำหนักแห่งนี้
“ไม่รู้ว่าจะสามารถขายได้เหรียญเงินมากน้อยเท่าไหร่ สามารถแลกเปลี่ยนของอร่อยได้มากน้อยเท่าไหร่ คาดว่าไม่น้อย ไม่ว่าอย่างไรตัวเองก็เป็นคนที่มีชื่อเสียง ตำหนักที่คนที่มีชื่อเสียงเคยอยู่จะต้องสูงขึ้นแน่นอน ฮิฮิ……”
หลานเยาเยาได้จินตนาการถึงตั๋วเงินปึกใหญ่ๆลอยมาทางนาง
“หึ นังหนูในตาของเจ้ามีแต่เงินแล้ว” ทั้งๆที่ที่บ้านก็มีฐานะร่ำรวย ใช้กี่ชาติก็ใช้ไม่หมด กลับยังรักทรัพย์สมบัติขนาดนี้
“จนปัญญา ขี้เกียจเอาแต่กิน มีความโลภมีตัณหา ก็คือสิ่งที่ข้าโปรดปรานนี่!”
ตาแก่สำลักทันที
แต่ทว่า เมื่อฟังหลานเยาเยากล่าวเช่นนี้ เขาก็คิดอะไรได้ รีบเตรียมตัวจากไป หลานเยาเยากลับปริปากพูดขึ้นอีกในเวลานี้
“แม้ว่าข้าจะไม่เห็นพิธีเซ่นไหว้ใหญ่อยู่ในสายตา แต่พิธีเซ่นไหว้ใหญ่ก็เต็มไปด้วยอันตรายจริงๆ ไม่แน่ การท่องเที่ยวไปทะเลทรายยังจะไม่สามารถผ่านไปได้ คนก็ตายไปแล้ว
ตาแก่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกท่านก็ต้องการจะปนเปเข้าไปในพิธีหรือ?”
หลานเยาเยาหมายความว่าอะไร ตาแก่ฟังเข้าใจ ดวงตาของเขาค่อนข้างเศร้าสลดเล็กน้อย จากนั้นก็เอื้อมมือไปตีบ่าของนาง
“นังหนู ไม่เป็นไร ยังมีพวกข้า”
คราวนี้หลานเยาเยายิ้มให้เขา
มีบางคนไม่ใช่ญาติมิตรแต่ดีกว่าคนที่เป็นญาติแท้ๆ ถึงไหนก็ล้วนอบอุ่น
พวกเขาดีจริงๆ!
ทั้งสองคนยืนอยู่ครู่หนึ่ง ตาแก่มองดูสีของท้องฟ้า กำลังลังเลว่าจะจากไปหรือไม่
หลานเยาเยากลับยกเท้าเข้าไปก่อน ยังได้ไม่กี่ก้าวก็ถอยหลังกลับมาอีก หยิบจดหมายฉบับหนึ่งวางไว้ในมือของตาแก่ กล่าวเบาๆ :
“คาดว่าอีกครู่กงกงข้างกายของฮ่องเต้ จะมาถึงตำหนักเทพธิดา ท่านก็บอกว่า วันนี้ข้าเหนื่อยแล้ว ไม่อยากเดินเหิน จากนั้น เอาจดหมายฉบับนี้มอบให้เขาก็ได้แล้ว”
เป็นดังคาด!
หลานเยาเยาเพิ่งได้เดินไป กงกงข้างกายของฮ่องเต้ก็มาแล้ว
เขามามอบราชโองการ ความหมายคือให้เทพธิดารีบเข้าวังรอบหนึ่ง ฮ่องเต้ร้อนใจเป็นอย่างหนัก
และพ่อบ้านเจาเหลือบมองเขาแวบหนึ่งด้วยความไม่พอใจ
“วันนี้เทพธิดาเหนื่อยมาก ต้องการพักผ่อน ไม่มีเวลาสนใจเขา นี่ เอาไป เทพธิดาให้ เอาไปรายงานผลปฏิบัติการ”
ไม่ได้สนใจต่อสีหน้าที่เก้ๆกังๆของกงกง หลังจากยัดจดหมายใส่ในมือของกงกง ตาแก่ไม่พูดพร่ำก็เดินจากไป
ถึงเวลากลางคืน
หลานเยาเยานอนอยู่บนเตียง ที่สุดแล้วก็นอนไม่หลับพลิกไปพลิกมา
ในที่สุด นางถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ลุกขึ้นนั่งทันใด คิดไตร่ตรองไปมา ก็ยังตัดสินใจยืนขึ้น ไปที่ตู้เสื้อผ้าทางนั้นหยิบเสื้อคลุมชุดหนึ่งมาคลุม หมุนตัวแล้วก็จากไปทางหน้าต่าง
หลังจากข้ามกำแพง นางเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ไม่นานก็มาถึงจวนอ๋องเย่
จวนอ๋องเย่แห่งนี้ด้านหน้าแสนจะโอ่อ่า นางเข้าไปไม่เพียงแค่ครั้งเดียวแล้ว องครักษ์ที่เฝ้าอยู่หน้าประตูคุ้นเคยกับนางจนคุ้นเคยกว่านี้ไม่ได้แล้ว
แต่นางก็ยังคงเลือกที่จะอ้อมประตูหลัก ข้ามกำแพงเข้าไป อีกทั้งยังซ่อนอยู่ในที่มืดไม่ให้องครักษ์พบเห็น แอบเข้าห้องบรรทมของเย่แจ๋หยิ่งไปอย่างเงียบๆ
ที่ดึงดูดสายตาก็คือเตียงที่โอ่อ่า
ด้านบนมีคนนอนอยู่หนึ่งคน ใช้ผ้าห่มบางๆคุมร่างกายของตัวเอง หายใจอย่างสม่ำเสมอ คนบนเตียงหลับสนิท
ตัวเองคิดไตร่ตรองไปมานอนไม่หลับ
เย่แจ๋หยิ่งคนนี้กลับดี นอนอย่างสงบสบาย แทบจะนอนกรนแล้ว
ด้วยเหตุนี้หลานเยาเยาเดินย่องเข้าไป คิดอยากให้เขาความประหลาดใจแก่เขา ดังนั้น เมื่อมาถึงข้างเตียงนางก็พุ่งเข้าไปโดยตรง
คนที่เดิมทีนอนอย่างสงบสบาย ลืมตาขึ้นมาทันใด จากนั้นก็สบตานาง แววตาประสานกันในพริบตา ร่างกายของทั้งสองตะลึงงันทันที
ฉับพลันนั้น!
ราวกับว่าบนหัวของทั้งสองคนมีอีกาบินผ่าน
จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องแหลมน่ากลัวดังมา ดังสู่ท้องฟ้า
“อ้า……”
“อ้า……”
การเคลื่อนไหวใหญ่ขนาดนี้ ดึงดูดให้องครักษ์นับไม่ถ้วนมาในทันที พวกเขาพุ่งเข้ามาพร้อมด้วยแรงสังหารที่ดุดัน สุดท้ายแต่ละคนก็ล้วนหลบเลี่ยงเคอะเขิน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
หลานเยาเยานั่งอยู่บนเตียงยาวที่เย่แจ๋หยิ่งนั่งบ่อยๆ อย่างงุ่นง่านพะว้าพะวังไม่เป็นสุข มือข้างหนึ่งค้ำหน้าผากไว้ ราวกับปาดเหงื่อ ความจริงคือไม่มีหน้าจะพบผู้คน
นางจ้องมองอย่างจดจ่อ ผู้ที่สวมชุดคลุมดำ รูปร่างคล้ายกับเย่แจ๋หยิ่ง และยังเป็นองครักษ์ลับที่แต่งตัวเหมือนกับเย่แจ๋หยิ่งเป๊ะๆ ราวกับว่าต้องการมองเขาจนเป็นหลุม
ทำให้คราบเหงื่อบนหน้าผากองครักษ์ลับ ผุดออกมาด้านนอก……
ในใจของหลานเยาเยาหมดอาลัยตายอยาก
ในใจขององครักษ์ลับผู้นั้นจะไม่เป็นเช่นนั้นด้วยได้อย่างไรล่ะ?
จบแล้ว จบแล้วจบแล้วจบแล้ว จบเห่แล้ว……
ควรทำอย่างไรดี?
หากว่าเจ้านายรู้เรื่องนี้ จะต้องถลกหนังเขาเป็นแน่ และเขายังไม่ได้บอกว่าเทพธิดาพุ่งเข้ามาเอง
เพียงแต่……
ที่ทำให้เขาคิดไม่ถึงคือ……เทพธิดาที่โอหังและอวดดีจะแสดงออกอย่างเปิดเผยถึงเพียงนี้ หากว่าเขาหันมาช้ากว่านี้อีกหน่อย เทพธิดาจะทำเรื่องที่นอกลู่กับเขาหรือไม่?
คิดคิดแล้วก็เฝ้าหวัง!
อ้า ไม่ถูก ชั่งน่ากลัวนักแล้ว ห้ามคิดเลอะเทอะ จะโดนเจ้านายถลกหนัง
ที่แตกต่างกับองครักษ์ลับที่แต่งตัวเป็นเย่แจ๋หยิ่งก็คือ องครักษ์ลับผู้อื่นในเวลานี้ล้วนมีสายตาอดไม่ได้ที่จะนินทา แต่ละคนเมื่อครู่แทบจะอดไม่ได้อยากจะดูอยู่ข้างๆ
หลานเยาเยาอยากหารูมุดเข้าไปเป็นอย่างมาก
ทำไมองครักษ์ลับของเย่แจ๋หยิ่งตอนนี้ถึงไม่เหมือนกับจื่อเฟิงเช่นนั้นที่สีหน้าแววตานิ่งเฉยอยู่ตลอดเวลา?
“แฮ่มแฮ่ม!”
นางกระแอมเบาๆเสียงหนึ่ง ซ่อนความเขินอายของตัวเองไว้ พูดอย่างจริงจัง :
“เย่……เจ้านายของพวกเจ้าล่ะ?” ไปตายที่ไหนแล้ว?
นางฐานะสูงส่ง ภาพลักษณ์ของเทพธิดาพังทลายไปนานแล้ว อับอายขายหน้าไปถึงบ้านคุณยายแล้ว เวลานี้อารมณ์ของนางไม่ดีเป็นอย่างมาก ไม่ว่าอย่างไรก็อย่ามีคนไปยั่วยุนางเด็ดขาด
“เจ้านายไป……”
“รีบพูด!” เห็นได้ชัดว่านางมีความอดทนไม่มากนัก
“ไปจวนราชครูแล้ว”
จวนราชครู?
คราวนี้หลานเยาเยาไม่สนใจความเขินอาย นางเลิกคิ้วเล็กน้อย มองไปทางองครักษ์ลับเหล่านั้น
พวกเขาเป็นองครักษ์ลับของเย่แจ๋หยิ่ง ฟังเพียงคำสั่งของเย่แจ๋หยิ่ง แต่ว่า นางกับเย่แจ๋หยิ่งเล่นละคร พวกเขาก็รู้ ที่ร้านประมูลเสินตูนางลอบสังหารเย่แจ๋หยิ่งวันนั้น พวกเขาก็ช่วยแสดงละครด้วย
อธิบายได้ว่าล้วนเป็นคนที่เชื่อถือได้
หลานเยาเยาก็ไม่อ้อมค้อม ถามตรงๆ :
“เขาไปที่ราชครูเทียนเวิงทำไม?”
แม้จะรู้ว่าราชครูเทียนเวิงเป็นอาจารย์ของเย่แจ๋หยิ่ง แต่ระหว่างเย่แจ๋หยิ่งกับราชครูเทียนเวิงก็เป็นความสัมพันการใช้ประโยชน์จากกันและกัน
และราชครูเทียนเวิงก็ช่างไม่ใช่คน รับเย่แจ๋หยิ่งเป็นลูกศิษย์ เพียงเพื่อเขาจะได้เอาเลือดของเขามาปรุงกลั่นยาอายุวัฒนะ
ตอนนี้ดึกดื่นขนาดนี้แล้วยังจะไป
ถึงแม้ไม่ได้เอาเลือดไปมอบให้ เกรงว่าก็คงไม่มีเรื่องดีอะไร
เพียงแค่ คำถามนี้ของนาง ทำให้องครักษ์ลับล้วนแสดงออกถึงความเก้ๆกังๆ
พวกเขาไม่ตอบหลานเยาเยาก็รู้แล้ว ด้วยเหตุนี้ได้รีบยืนขึ้นทันที ตั้งใจเอามือทั้งคู่ไขว้หลังอย่างไม่สนใจ จากนั้นก็เดินออกจากห้องบรรทมของเย่แจ๋หยิ่งไปทีละก้าวทีละก้าวอย่างช้าๆ
เมื่อเหยียบออกจากประตูใหญ่ของห้องบรรทม นางก็ทำตัวเหมือนเป็นโจรในพริบตา เช็ดเหงื่อ แล้วรีบแฉลบตัวเข้าไปในที่มืดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ปีนออกจากจวนอ๋องเย่