หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 459 ข้าเป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลังของเจ้านิรันดร์
บทที่ 459 ข้าเป็นผู้สนับสนุนเบื้องหลังของเจ้านิรันดร์
หลานเยาเยาเข้ามาใกล้โดยตรง กอดเขาในอ้อมกอดจากทางด้านหลัง
ไม่เคยคิดมาก่อนว่าหลานเยาเยาจะเริ่มเองเช่นนี้ เย่แจ๋หยิ่งรู้สึกว่าตัวเองที่เป็นเทพแห่งสงครามที่สง่างามเป็นเหมือนกับภรรยาตัวน้อยๆเช่นนั้น?
ดังนั้นเขาจึงขัดขืน
“เยาเยา ยังไงก็ให้ข้ากอดเจ้านอนเถอะ?”
ใครจะรู้……
หลานเยาเยาหรี่ตาลงเล็กน้อย : “ท่านลองพูดอีกรอบ? กล้าพูด ข้าจะถีบท่านตกเตียงไปตรงๆ”
เมื่อคำพูดนี้โพล่งออกไป
เย่แจ๋หยิ่งก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
จนปัญญา เขาทำได้เพียงแค่ยอมจำนน เมื่อไตร่ตรอง เยาเยาสามารถริเริ่มเข้ามากอดเพียงนี้ เขาดีใจแทบไม่ทัน!
ใครกอดใครก็ล้วนเหมือนกัน
แต่ความจริงพิสูจน์ว่า ไม่เหมือนกันจริงๆ หลานเยาเยานอนไม่อยู่ไม่สุก มักจะชอบถูร่างกายของเขาไปมา
และเดิมทีร่างกายนางก็อ่อนนิ่ม บวกกับนางเป็นผู้หญิง ทั้งยังเป็นคนที่เขาคิดอยากจะรังแกอยู่ตลอด คนทั้งคนถูไถบนร่างเขา ก็ยากที่จะไม่ทำให้คิดเพ้อไปไกล
แต่ทำอะไรไม่ได้ เขาต้องอดกลั้นไว้
แต่ว่า อดกลั้นไปอดกลั้นไปเขาก็พบความผิดปกติแล้ว
เพราะเวลานี้
ไม่รู้อย่างไร มือของหลานเยาเยาเริ่มอยู่ไม่นิ่งขึ้นมา
“เยาเยา อย่าแกล้ง!”
หูเขาแดงไปหมด หายใจก็หนัก แต่คว้ามือข้างหนึ่งได้ก็ยังมีมืออีกข้างหนึ่ง มืออีกข้างหนึ่งก็เริ่มก่อความจลาจล
จนมืออีกข้างหนึ่งถูกเขาจับไว้ หลานเยาเยาถึงได้เริ่มสงบ
เพียงแต่……
ก็เพียงแค่สงบลงครู่หนึ่ง มือของนางขยับไม่ได้ แต่นางยังมีขา
ก็ต้องการแกล้งเขาดีๆสักรอบ
หลานเยาเยาคิดไม่ดี
ทำให้ท่านจิตใจไม่สงบ ทำให้ท่านคิดอยากเอาเปรียบ ตอนนี้ก็ทำให้นางได้เอาเปรียบดีๆสักหน่อย โอกาสเช่นนี้มีไม่มาก!
ไม่เอาเปรียบก็ไม่เอาเปรียบเปล่าๆ เอาเปรียบแล้วเขาก็ต้องอดทน
นอกจากเขาจะไล่นางไป
ดูว่าหลังจากนี้เขาจะยังกล้าตั้งใจแอบแกล้งให้นางอยู่ต่ออีกหรือไม่
คราวนี้ เย่แจ๋หยิ่งพยายามอดทนเป็นที่สุดแล้ว : “อย่าแกล้งแล้ว เยาเยา ข้ายังบาดเจ็บอยู่นะ ขยับไม่ได้”
นับว่าเขาเข้าใจแล้ว หลานเยาเยาริเริ่มที่ไหนกันล่ะ! เห็นได้ชัดว่ากำลังทรมานเขา เวลานี้เขาหวังมากเพียงไหนว่าตัวเองจะมีท่าทีที่แข็งแรงร่าเริง
“บาดเจ็บอยู่ดีสิ! ข้าชอบให้ท่านเจ็บ มามามา ร้องออกมาให้ข้าได้ฟังหน่อย ไม่ว่าอย่างไรท่านร้องจนคอแตกก็ไม่มีใครกล้าเข้ามา ให้ข้าได้มีความรู้สึกเหมือนเป็นคุณท่านสักหน่อย”
ก็เพราะว่าเย่แจ๋หยิ่งบาดเจ็บอยู่ เวลานี้หลานเยาเยาถึงได้กล้าทำอะไรตามอำเภอใจ
มิเช่นนั้นให้ดีหมีแก่นางสิบอันนางก็ไม่กล้าบุ่มบ่าม แน่นอน นางรู้จักพบของดีก็ต้องเก็บ จะไม่ยุให้เขาโกรธเด็ดขาด
ที่แน่ๆ แผลของเขาก็ต้องมีเวลาที่หาย มีความกลัวนิดหน่อยว่าหลังจากนี้จะรับกับความผิดที่ตัวเองก่อไม่ได้
“แฮ่มแฮ่ม!”
หลานเยาเยากระแอมเสียงหนึ่ง กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า :
“เป็นท่านให้ข้าหยุดแกล้ง อีกครู่ท่าก็อย่าแกล้งข้า เตะก็ห้ามเตะต้อง ไม่เช่นนั้น ข้าจะทำให้ท่านนอนไม่หลับคืนนี้ ได้ยินหรือไม่”
ได้ยินคำพูดเช่นนี้ของนาง เย่แจ๋หยิ่งมุมปากกระตุกอย่างอดไม่ได้
ที่แท้นางก็มีความคิดเช่นนี้ เมื่อรู้สึกได้ว่าหลานเยาเยาเก็บมือและเท้ากลับไปแล้ว ก็หันหลังให้เขาแล้วนอนหลับไป
และเขาก็ทำได้เพียงมองดูเงาแผ่นหลังของนางด้วยแววตาที่สุกใส
มุมปากแขวนด้วยรอยยิ้มบางๆ ในตาเต็มไปด้วยความรักความเอ็นดู……
วันที่สอง
ฟ้ายังไม่สว่าง เย่แจ๋หยิ่งก็ตื่นแล้ว เขาเอามือพาดไปทางด้านในของเตียง กลับพาดไปที่ว่าง เมื่อลืมตาขึ้น
เตียงด้านในก็ว่างเปล่า
นางไปแล้ว!
เอื้อมมือไปลูบผ้าปูที่นอนที่หลานเยาเยาเคยนอน ไม่เหลือแม้แต่ความอุ่น คาดว่าหลังจากที่นางรอให้เขาหลับแล้วก็จากไป
นึกถึงท่าทางเช่นนั้นของนางเมื่อคืน เย่แจ๋หยิ่งก็พูดกับตัวเอง:
“เจ้าเพิ่งจะจากไปข้าก็คิดถึงเจ้าแล้ว คิดถึงประโยคที่ว่าไม่เจอหนึ่งวันเหมือนไม่ได้เจอสามปีก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”
ก็เริ่มตั้งแต่คืนนั้น หลานเยาเยาต่อจากนั้นอีกหลายวัน ปีนกำแพงในตอนค่ำทุกวัน แอบเข้าห้องบรรทมของเย่แจ๋หยิ่งใช้ชีวิตไปวันๆ
หลานเยาเยาถือว่าวันเหล่านี้เป็นการรักษาช่วยชีวิตคน บวกกับย้ายบ้านนอน
เย่แจ๋หยิ่งเรียกวันเหล่านี้ว่าเป็นการนัดพบอย่างลับๆของหนุ่มสาว เพิ่มขึ้นจากนี้คือการเพิ่มความสัมพันธ์
แน่นอน!
มีคืนวันแรกที่หลานเยาเยาจงใจทรมาน เย่แจ๋หยิ่งก็ไม่ได้แอบให้องครักษ์ลับลงกลอนประตูหน้าต่างจากทางด้านนอกอีก ถึงอย่างไรเขาตอนนี้เขาก็ไม่สามารถรับผลของการถูกทรมานได้แล้ว
ใจหนึ่งก็หวังว่าบาดแผลของตัวเองไม่ต้องหายเร็วขนาดนั้น กระนั้นแล้ว นางก็จะต้องมาทุกคืน และอีกใจก็หวังว่าบาดแผลของเขาจะหายไวไว เช่นนี้จะได้สามารถตอบแทนการกระทำทั้งหมดที่หลานเยาเยาได้กระทำในคืนนั้น
ในความขัดแย้งเช่นนี้ คืนวันนี้ เย่แจ๋หยิ่งก็ได้เฝ้ารอการมาของเงาร่างที่คุ้นเคยของหลานเยาเยา นางเปลื้องชุดคลุมของเขาอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นก็ชำระล้างบาดแผลให้เขา แล้วก็ใส่ยาต่อ จัดการทุกอย่างอย่างชำนาญ รวดเร็ว
หลังจากเปลี่ยนยาแล้ว
หลานเยาเยามองดูผ้าขาวบนท้องของเย่แจ๋หยิ่งเงียบๆ
“โดยพื้นฐานบาดแผลสมานกันแล้ว พันแผลให้ท่านอีกสองรอบก็น่าจะได้แล้ว แต่ร่างกายของท่านยังอ่อนแอมาก ต้องการบำรุงร่างกายมากๆ”
เงยมองขณะพูดจบ เย่แจ๋หยิ่งได้เอื้อมมือไปจัดปอยผมที่ห้อยอยู่ด้านหน้า พันรอบนิ้วมืออย่างสบายๆ การกระทำเบานุ่มนวล ยกมุมปากขึ้น
ใบหน้าเทพเซียนเช่นนั้น รอยยิ้มที่สุขสบายใจงามมากที่สุดเช่นนั้น แฝงด้วยแรงเย้ายวนอย่างที่สุด หลานเยาเยาชำเลืองมองแวบหนึ่ง สายตาแทบจะเคลื่อนออกไปไม่ได้
เย่แจ๋หยิ่งเอาเส้นผมเคลื่อนมาที่ปลายจมูก ดมเบาๆ
“หอมมาก!”
“……” นางพูดอารมณ์ความรู้สึกออกไปมากขนาดนั้น เขาไม่ได้ฟังเข้าไปแม้สักคำ ด้วยเหตุนี้ นางคว้าผมของตัวเองดึงกลับคืน
“ยังมีอีกสองสามวันก็เป็นพิธีเซ่นไหว้ใหญ่แล้ว ถึงเวลานั้นอันตรายนับไม่ถ้วน แม้ไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลาจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แต่ข้ากล้ามั่นใจ นั่นจะเป็นเหตุการณ์ที่โกลาหลครั้งยิ่งใหญ่
คนในตำหนักเทพธิดาโยกย้ายไปหมดแล้ว เรื่องคนโดนมนต์ดำยังไม่ถูกระงับอย่างสมบูรณ์แบบ พิธีเซ่นไหว้ใหญ่ก็รีบร้อนจัดเตรียมขึ้นแล้ว
นอกจากฮ่องเต้ต้องการอยากจะนำตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่าป่าวประกาศต่อโลกแล้ว ยังจะมีแผนการอื่นเป็นแน่ ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือต้องการกำจัดความชั่วร้ายที่เหลืออยู่ของราชวงศ์เก่าให้หมดสิ้น
สำหรับเขาแล้ว ข้าเทพธิดาผู้นี้ เหมือนกับว่าจะยืนอยู่ข้าเขาฝั่งนั้น แต่เขาก็เหมือนกับว่าจะเชื่อราชครูเทียนเวิงมากกว่า
สำหรับราชครูเทียนเวิงมีหรือไม่มีการกล่าวให้ร้ายอะไรข้าต่อหน้าเขา ข้าไม่รู้ แต่ข้ารู้ ฮ่องเต้หวาดกลัวต่อท่านเป็นอย่างมาก คิดอยากกำจัดท่านมานานแล้ว และราชครูเทียนเวิงก็ไม่เชื่อใจท่าน ดังนั้นเมื่อพิธีเซ่นไหว้ใหญ่พวกเขาจะเล็งหัวหอกมาตรงท่าน ดังนั้นท่านไม่ต้องไปดีที่สุด”
“เยาเยา เป็นห่วงข้าขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใด?”
ทั้งๆที่นางอยู่ในที่การต่อสู้ที่ดุเดือด คิดไม่ถึงนางกลับคิดกลับมาที่เขา ในใจเขาอบอุ่น
เอื้อมมือไปจับนางมาไว้ในอ้อมอก เพื่อไม่ให้บาดแผลของเขาคงอยู่ หลานเยาเยาก็ไม่ได้ดิ้นรน
“ห่วงใยมาตลอด!”
หากว่าเขาเกิดเรื่อง แหล่งเสบียงอาหารที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายของนางก็ไม่มีแล้ว ขาอ่อนนี้ก็ต้องกอดไว้แน่นๆ ยังต้องรักษาไว้ดีๆ
“เยาเยา เจ้าอยากทำอะไรก็ไปทำให้เต็มที่ ผู้สนับสนุนเบื้องหลังนิรันดร์ของเจ้าคือข้า ไม่ต้องเป็นห่วง”