หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 461 ถูกหลานเยาเยาพาไปเสียคน
บทที่ 461 ถูกหลานเยาเยาพาไปเสียคน
หลานเยาเยารู้สึกถึงความโล่งใจ
มีธุระรีบพูด มีผายลมก็รีบปล่อยออกมา นางยังรอที่จะแทะขาหมูอยู่นะ!
ในไม่ช้า ตาแก่ก็ถูกคนอื่นผลักไปอยู่ด้านหน้าของนาง เดิมทีคิดว่าเขาจะพูดเรื่องที่เป็นทางการ กลับคิดไม่ถึง ที่เขาถามคือ…….
“นังหนู เจ้าไปมีความสัมพันธ์กับบุรุษแล้วใช่หรือไม่?”
ได้ยินดังนั้น!
หลานเยาเยาตะลึงเล็กน้อย เมื่อนึกถึงตอนอยู่ในรถม้า เรื่องที่เย่แจ๋หยิ่งทำต่อนาง ใบหูก็แดงขึ้นมาในพริบตา
นางเอามือมาปิดคอของตัวเอง หาเหตุผลง่ายๆมากล่าว :
“เกิดจากการหกล้มโดยไม่ได้ระวัง”
ตาแก่ที่เหมือนจะเชื่อแต่ก็มีความสงสัย แต่ไม่ช้าก็ปล่อยวางแล้ว “ก็ถูก เจ้ากินจุขนาดนั้น ใครจะเลี้ยงเจ้าไหว?”
“…..”
ใครกินจุกัน?
ทุกวันนางก็ยังคงเป็นหนึ่งวันสามมื้อไม่ใช่หรือ?
ขี้เกียจจะคิดเล็กคิดน้อยเหล่านี้กับพวกเขา ยังไงซะในมุมมองของพวกเขา นางก็เป็นนักกินจุอย่างเต็มตัว บวกกับขี้งกเป็นอย่างยิ่ง
อธิบายมากมายก็ไร้ประโยชน์
จึงรอให้พวกเขาเปิดปากถามเรื่องที่เป็นทางการ คราวนี้ ตาแก่ก็ไม่ได้ถามเรื่องอื่นแล้ว แต่พูดเรื่องทางการ
“ยัยหนู เจ้ายังมีหินไฟที่มีอานุภาพน่าเกรงขามอย่างมากอยู่หรือไม่? ก็คือก้อนหินขนาดใหญ่ที่ระเบิดสิ่งของออกได้ชนิดนั้น”
สิ่งของนั้นไม่เหมือนกับหินไฟ
อานุภาพยังมากกว่าหินไฟหลายเท่านัก เหมือนกับเทพแห่งขุนเขาบันดาลโทสะเช่นนั้น
ลูกระเบิด?
พวกเขาจะเอาหินไฟไปทำอะไร?
“พวกท่านต้องการหินไฟทำอะไร? ไม่ใช่ว่าพวกท่านก็มีหรือ?”
พูดว่าลูกระเบิดพวกเขาไม่เข้าใจ พูดว่าหินไฟจะเข้าใจง่ายขึ้นหน่อย
ขณะที่อยู่ประเทศอื่น มีสองคนในตาแก่สี่ห้าคนนั้นที่เคยเห็นนางใช้ลูกระเบิด จึงรู้เป็นธรรมดาว่าอานุภาพของลูกระเบิดน่าทึ่งขนาดไหน
และพวกผู้เฒ่าเองเขาก็มีหินไฟมากมาย แม้แต่สำนักหงอีก็มี ตอนนี้พวกเขาไม่ใช้หินไฟ ควรจะใช้ระเบิด
ทำให้หลานเยาเยาค่อนข้างกลัดกลุ้มใจอย่างอดไม่ได้
“พลานุภาพของพวกเขาไม่พอ ต้องการพลานุภาพที่เพียงพอ อีกทั้งสถานที่เป้าหมายมากมายที่ต้องการแอบซ่อนใหญ่มาก จะมีพิรุธได้ง่าย”
“พวกท่านคิดทำอะไร?”
ราวกับว่าหลานเยาเยานึกอะไรได้ ดวงตาหรี่ลงเล็กน้อย
ผู้เฒ่าห้าคนที่อยู่ด้านหลังตาแก่ พูดจารวดเร็วตรงไปตรงมา กล่าวโดยตรงว่า :
“แน่นอนว่าเป็นในพิธีเซ่นไหว้ใหญ่ ระเบิดฮ่องเต้ทรราชให้ตาย……”
คำพูดยังพูดไม่จบ ตาแก่ก็รีบผลักเขาอย่างแรงทันที “ไปไปไป พูดให้น้อยลงสักสองประโยคไม่ได้หรือ?”
“พิธีเซ่นไหว้ใหญ่? พวกท่านต้องการฝังหินไฟในพิธีเซ่นไหว้ใหญ่ ระเบิดฮ่องเต้และขุนนางมากมายให้ตาย? ใครออกความคิดเห็น?”
ทั้งที่รู้ว่าฮ่องเต้ได้มีการเตรียมพร้อมในพิธีเซ่นไหว้ใหญ่ ยังต้องการฝังระเบิดในพิธีใหญ่ หากว่าเรื่องราวพัฒนาไปสู่เหตุการณ์ที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา ใช้ระเบิดก่อความวุ่นวายก็ดีมาก
ดูแล้วคนที่ออกความคิดเห็นให้พวกเขา ก็ได้คิดถึงจุดนี้
“นังหนู เจ้าอย่าถามว่าเป็นใคร ที่สุดก็คือคนที่หวังดีต่อเจ้า เจ้าก็พูดมา ที่เจ้าตรงนั้นยังมีหรือไม่?”
“มี จะไม่มีได้อย่างไร อีกทั้งยังมีอีกมากมาย แต่ว่า ต้องผ่านไปครู่หนึ่งถึงจะสามารถขนส่งไปให้พวกท่านได้ เช่นนี้เถอะ รอครู่หนึ่ง พวกท่านไปรับที่โรงเก็บของ หินไฟที่ร้ายกาจเป็นอย่างมากชนิดนั้นล้วนวางไว้ที่นั่น”
หลานเยาเยาไม่ได้ปฏิเสธ
อีกทั้งยังให้อีกมากมาย?
พวกเขาไม่ได้ได้ยินผิดใช่ไหม? นังหนูพูดง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่แล้ว?
หากว่าเป็นช่วงปกติ นางจะต้องถามซักไซ้แน่นอน หรือว่าให้พวกเขาใช้ความชำนาญของตัวเองมอบสิ่งของที่แปลกประหลาดหายากนิดหน่อยให้นาง
กลับคิดไม่ถึง……
เพียงแค่ถามง่ายๆสองสามประโยคก็ตอบรับแล้ว พวกเขาก็ไม่ได้คิดมากมาย แล้วก็หันหลังเดินจากไปอย่างดีอกดีใจ
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
หลานเยาเยาเอาดินระเบิดจำนวนหนึ่งออกมาจากระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บวางไว้ในโรงเก็บของ แล้วก็จากไป จากนั้นบอกให้พวกผู้เฒ่า ให้พวกเขาไปเอา
ด้วยความรวดเร็วของพวกเขา หยิบเอาดินระเบิดแล้ว ใส่บนรถม้า หลังจากผ่านการปกปิดแล้ว ได้ขนดินระเบิดเข้าไปในแหล่งชุมชนของประชาชน
สถานที่แห่งนี้แม้ว่าอยู่ในเมืองหลวง แต่สถานที่แห่งนี้ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่ยากจนที่สุดอาศัยอยู่ แม้กระทั่งยาจกมากมายก็อาศัยอยู่ที่นี่
ในห้องที่ชำรุดทรุดโทรมห้องหนึ่ง ผู้เฒ่าสี่ห้าคนได้เริ่มนำที่พวกเขาคิดว่าเป็นหินไฟ ย้ายลงมาทีละอย่างทีละอย่างจากนั้นก็ซ่อนไว้อย่างดี หลังจากนั้นก็เห็นคนชราผู้หนึ่งในชุดคลุมสีเข้มเดินเข้ามาช้าๆ
เมื่อผู้เฒ่าสี่ห้าคนเห็นเขา ก็รีบทำมือเคารพอย่างนอบน้อมทันที จากนั้นพวกเขาก็ล้อมวงด้วยกันไม่รู้ว่าพูดอะไร
สีหน้าของคนชราที่อยู่ในชุดสีเข้มผู้นั้นเคร่งขรึม แววตาครุ่นคิด ให้คนรู้สึกถึงความเคร่งขรึมเย็นชาชนิดหนึ่ง
ทันใดนั้น!
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย ร่างกายขยับ เกิดการหายตัวไปต่อหน้าของผู้เฒ่าสี่ห้าคนนั้นทันที
เหล่าผู้เฒ่าเกิดความรู้สึกประหลาดใจในทันที
“ทำไมไปแล้ว? ยังหารือไม่ดีเลยนะ!”
“ไม่รู้ คาดว่ามีเรื่องรีบร้อนอื่นต้องไปทำ”
“เช่นนั้นก็ไม่สามารถที่จะรีบร้อนจนแม้คำพูดสักประโยคก็ไม่พูด ก็เล่นหายตัวไปนะ!”
พวกเขาเจ้ามองดูข้า ข้ามองดูเจ้า จนเมื่อตาแก่พบเงาร่างที่คุ้นเคยเงาหนึ่งอยู่ที่ประตูที่ชำรุดทรุดโทรม ถึงได้ขมวดคิ้วทำหน้าตา บอกผู้เฒ่าที่เหลืออยู่สามสี่คน
ทำให้สีหน้าของผู้เฒ่าทั้งกลุ่มเปลี่ยนไปมาก แต่ละคนหมุนตัว ในดวงตามีภาพหลานเยาเยาที่สวมใส่ชุดสีแดงอยู่ กำลังมองดูพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่เหมือนไม่ได้ยิ้ม
“นังหนู เจ้าสะกดรอยพวกข้าทำไม?”
หลานเยาเยากรอกตาขาวใส่เขาแวบหนึ่ง และไม่พูดจา แล้วเหยียบเข้าในห้องโดยตรง หลังจากที่ค้นหาแล้วรอบหนึ่งจึงได้ค่อยๆเอ่ยว่า :
“ไม่ตามพวกท่าน ข้าจะรู้เบาะแสของตาเฒ่าเย่นได้อย่างไร?”
ผู้เฒ่าบ้าผู้นี้ นานขนาดนั้นแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังจะไม่ยอมพบนาง หรือว่าเป็นเพราะเรื่องตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่า?
ไม่ใช่หน่า!
หากเป็นเพราะอันนี้แล้ว ขณะที่นางจงใจแอบเอาตราราชลัญจกรหยกแห่งราชวงศ์เก่ามอบให้ฮ่องเต้ ก็จะต้องกระโดดออกมาตีนางหนักๆสักรอบ หรือว่าดุด่านางแล้ว
แต่ว่า
เขาไม่มี
ดังนั้นนางตะโกนเสียงดัง :
“ข้าจะบอกว่าตาเฒ่าเย่น ท่านโกรธข้าอยู่ใช่หรือไม่? ข้าได้เตรียมขาไก่มากมาย ขาหมูและเตรียมขนมแต่ละชนิดไว้รอให้ท่านปรากฏตัว
หากว่าท่านยังไม่ออกมาอีก ข้าก็ไม่อยากยอมรับท่านปู่บุญธรรมผู้นี้แล้ว”
ไม่ว่านางจะพยายามพูดปลุกระดมความรู้สึก แต่คำตอบของเขากลับเป็นความเงียบไร้เสียงใดๆ
ผู้เฒ่าสี่ห้าคนที่อยู่ด้านหลังนาง ไม่เคยเห็นนางมีท่าทางเช่นนี้มาก่อน ค่อนข้างทำตัวไม่ถูก แต่ก็ล้วนไม่ได้พูดจา
พวกเขารู้ เย่นเฉิงเสี้ยงไม่พบหลานเยาเยาก็มีความลำบากใจของเขา
ที่วัดใต้ต้นบุพเพ หลังจากที่ราชครูเทียนเวิงเห็นพวกเขาแล้ว ก็ได้รู้ว่าเย่นเฉิงเสี้ยงไม่เพียงแค่มีชีวิตอยู่ ยังกลับมาแล้วด้วย ดังนั้น เริ่มตั้งแต่เวลานั้น ราชครูเทียนเวิงก็ได้สืบหาเบาะแสของเย่นเฉิงเสี้ยงมาโดยตลอด
ดังนั้นเย่นเฉิงเสี้ยงไม่สามารถติดต่อกับหลานเยาเยาได้ เกรงว่าราชครูเทียนเวิงจะคาดโทษตัวอันตรายที่เหลืออยู่ของราชวงศ์เก่าให้แก่นาง
ถ้าเป็นเช่นนี้
ไม่เพียงทำลายแผนการของหลานเยาเยา ยังทำให้หลานเยาเยาตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกระทำเป็นอย่างมากอีก……
ตั้งนานแล้วก็ไม่ได้ยินการตอบสนอง
หลานเยาเยาก็ถอนหายใจออกมาทันใด “เอาเถอะ! ดูท่าแล้วยังไม่ถึงเวลา”
จากนั้นก็เอาขาหมูอันหนึ่งออกมา วางไว้บนโต๊ะด้านข้าง แล้วกล่าวต่อ :
“ข้ารู้ว่าท่านอยู่ที่นี่ ไม่พบก็ไม่พบสิ อย่าลืมกินขาหมูล่ะ! ข้าไปแล้ว ไม่รบกวนท่านแล้ว”
หลานเยาเยาวางขาหมูดีแล้วก็หันหลังจากไป ราวกับว่าไม่มีความอาลัยอาวรณ์
หลังจากที่มั่นใจว่านางจากไปแล้ว
ชายชราในชุดคลุมสีดำ จึงได้เดินออกมาจากที่ลับช้าๆ เขามาถึงข้างประตูห้อง มองดูทิศทางที่หลานเยาเยาหายตัวไป พยักหน้าด้วยความโล่งใจ จากนั้นก็มาที่ข้างๆโต๊ะ หยิบขาหมูขึ้นมา เริ่มแทะขาหมูภายใต้สายตาที่ตะลึงงันของผู้เฒ่าสี่ห้าคน
พวกเขาเคร่งครัดต่อตัวเอง ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัดโดยไร้การประนีประนอมของเฉิงเสี้ยงขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ให้ความสำคัญในกฎระเบียบเป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาโดยตลอด เริ่มจากเมื่อพบพวกเขา เขาก็มีท่าทางที่จริงจังมาตลอด
แต่ตอนนี้ล่ะ?
มือจับขาหมู แทะทีละคำทีละคำอย่างรวดเร็ว ไหนเลยจะมีท่าทางที่จริงจัง?
จะต้องเป็นก่อนที่พวกเขาจะปรากฏตัวเป็นแน่เย่นเฉิงเสี้ยง ก็โดนหลานเยาเยาพาเสียคนแล้ว
แต่ทว่า!
ดูๆไปพลาง พวกเขาก็ล้วนกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
นังหนูก็จริงๆเลย ชั่งไม่รู้จักเก็บไว้ให้พวกเขาสักหน่อย…