หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 509 ลูกเนรคุณ เจ้าจะกบฏงั้นรึ
บทที่ 509 ลูกเนรคุณ เจ้าจะกบฏงั้นรึ?
“นังหนู แกล้งทำเป็นไม่เห็นข้าอีกแล้วใช่ไหม? ข้าต้องต่อสู้อย่างจริงจังด้านนั้นเพียงลำพัง ขัดขวางการโจมตีของงูทอง เพื่อให้คนมากมายมาถึงหลังรูปปั้นหินอย่างปลอดภัย
แล้วดูพวกเจ้า พอปลอดภัยแล้วก็ไม่มีใครสนใจข้า ทำไมชีวิตข้าถึงได้ขมขื่นขนาดนี้นะ! ไม่มีใครสนใจข้า เจ้าก็ไม่สงสารข้าแล้ว ข้าเป็นปู่เจ้านะ”
คำพูดเมื่อครู่เต็มไปด้วยความแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม พูดตอนสุดท้าย ก็ทำหน้าเบ้ แสร้งทำเป็นร้องไห้ยกใหญ่
เอ่อ……
หน้าผากหลานเยาเยาเต้นตุบๆ อดไม่ได้ที่จะเอามือไปท้าวหัวไว้ นางอยากอยู่เงียบๆ เงียบๆสงบๆ
แต่ทว่า……
นางลืมตาเฒ่าเย่นไปได้ยังไง?
คาดว่าภาพจำที่ตาเฒ่าเย่นให้นางไว้ มันลึกซึ้งมาโดยตลอด อีกอย่างนางก็รู้ว่า กำลังภายในศิลปะการต่อสู้ของเขานั้นยอดเยี่ยมมาก ถึงขนาดอยู่สูงกว่าจื่อเฟิง ดังนั้นจึงรู้สึกว่าไม่ต้องกังวล
พอเห็นท่าทางจนตรอกของเขาตอนนี้ ทั้งตัวเต็มไปด้วยเลือดของงูทอง โชกไปด้วยเลือด น่าสะพรึงกลัว คนไม่รู้ก็จะคิดว่าเลือดคนออกมาจากตรงไหน และก็ท่าทางที่ทำใบหน้าเหมือนถูกทอดทิ้ง……
เขาเสียใจแล้ว
ใช่!
ตาเฒ่าเย่นทำเพื่อนาง ก็รู้กันอยู่ว่าการมาครั้งนี้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะไม่สามารถหวนกลับมาได้ แต่เขาก็ยังคงไม่สนใจเรื่องในเมืองหลวง และมาทะเลทรายกับนาง ถ้าไม่รู้สึกซาบซึ้งนั่นก็ไม่จริงแล้ว
ตอนนี้พอเจอกับสถานการณ์อันตรายเขาก็ยังคงไม่หนีไปไหน และยืดอกเผชิญอย่างห้าวหาญ ตั้งใจที่จะปกป้องนาง ปกป้องทุกคนในขบวน
จะเหนื่อยจะลำบากแค่ไหน เขาก็ไม่เคยพูดกับใคร มีเพียงแค่ตอนที่อยู่ต่อหน้านาง ที่พยายามจะเรียกร้องความสนใจ
รู้ว่าเขาเก่งกาจ แต่ก็ลืมไปว่าเขานั้นเป็นชายชรา ที่มีผมขาวเต็มหัวแล้ว วิ่งเต้นในทะเลทรายเป็นเวลานาน ทั้งโดนมรสุมโจมตี ทั้งต้องจัดการกับงูทอง เขาจะไม่เหนื่อยได้อย่างไรหล่ะ!
ชายชราคนนี้ ได้เอาตนเองเป็นคนที่สนิทที่สุดแล้ว
แล้วนางหล่ะ!
มีเรื่องที่ต้องทำมากมาย จึงเอาใจใส่เขาน้อยไป แต่ก็ไม่สามารถที่จะอยู่พูดคุยกับเขาดีๆ ไม่สมควรจริงๆ
จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียใจและสะอื้นเล็กน้อยๆ เสียงร้องไห้นั้นจริงครึ่งไม่จริงครึ่ง แต่ก็ยังโผเข้าหาเขาโดยไม่สนใจอะไร และพูดว่า:
“ท่านปู่ ท่านปู่ ช่างดีจริงๆเลยที่ท่านไม่เป็นไร ข้ากังวลแทบตายแล้ว”
ได้ยินดังนั้น!
ตาเฒ่าเย่นก็อึ้งไป ไม่มีปฏิกิริยาใดๆกลับมาอยู่ครู่นึง รอจนหลังจากโต้ตอบมา ก็พูดโต้ขึ้นมาว่า:
“นังหนู เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม? เป็นไข้หรือไม่? ไม่งั้นเจ้าก็คงเรียกว่าตาเฒ่าเย่น?”
จู่ๆนางก็มาพูดว่าท่านปู่ มันก็ไม่ค่อยชินเท่าไหร่
หลานเยาเยาไม่ได้สนใจคำพูดของเขา เดินไปยังข้างกายเขา และคล้องแขนเขาไว้ มองเขาอยู่ตลอด พูดเสียงดังว่า:
“ท่านปู่ ท่านปู่ที่แสนดีของข้า ลำบากท่านแล้ว! อยากนั่งลงแล้วให้ข้าทุบหลังนวดไหล่ให้ท่านไหม?”
เดิมทีคิดว่าตาเฒ่าเย่นจะตอบอย่างสดชื่น แต่คิดไม่ถึงว่า พอหลังจากที่ได้ยินคำพูดนางแล้วเขาจะตัวสั่น ดึงมือออกมาทันที และมองนางด้วยท่าทางที่เหมือนเห็นผี
“นังหนู เจ้าทำเป็นปกติหน่อยเถอะ!”
หลานเยาเยาเงยหน้ามองฟ้าเงียบๆ
ก็ได้!
น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ นางเองก็สะอิดสะเอียนตัวเองสุดๆ
หลังจากนั้น หลานเยาเยา ตาเฒ่าเย่น แล้วก็จื่อเฟิง สำรวจรูปปั้นหินทารกยักษ์ตรงหน้าอย่างละเอียด จากนั้นก็อ้อมไปนั่งพักด้านหลัง
แม้ด้านหลังจะมีเย่หลีเฉินที่ตรวจสอบ แต่นางก็ยังไม่ค่อยวางใจ
รีบยืนขึ้นหยิบยาผงที่เหลือออกมา และโรยยาผงเป็นวงใหญ่ที่ด้านหลังรูปปั้นหินทารกยักษ์ สถานที่ที่พวกเขาพักผ่อน ตลอดจนถึงด้านของรูปปั้นหินทารกยักษ์ เพื่อป้องกันพวกงูมดหนูแมลง
หลังจากนั้นก็ไปยังตรงตำแหน่งส่วนขาของรูปปั้นหินทารกยักษ์เพียงลำพัง
ทันใดนั้น!
นางก็ได้ยินเสียงอาวุธสู้กัน
หัวใจก็จมลงทันที รีบแฉลบตัวไป
ก่อนหน้านี้ หลังจากที่เย่หลีเฉินรอดพ้นจากการโจมตีของงูทอง ก็ไปจัดเตรียมและสั่งให้ทุกคนห้ามแตะรูปปั้นหินทารกยักษ์มั่วซั่ว
จากนั้น ก็ได้ยินว่าเขาไปสำรวจส่วนขาของรูปปั้นหินทารกยักษ์ จนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา
ก็คิดว่าเขาจะไม่วางใจ และสำรวจรอบๆรูปปั้นหินทารกยักษ์อีกครั้ง แต่คิดไม่ถึงว่า เขาจะมาเจอกับสถานการณ์อันตราย
พอนางมาถึงตำแหน่งส่วนขาของรูปปั้นหินทารกยักษ์ ก็เห็นคนกลุ่มหนึ่ง อีกทั้งยังเป็นกลุ่มคนที่ซื่อสัตย์
เย่หลีเฉินที่สวมเครื่องแต่งกายของไท่จื่อ(องค์ชายรัชทายาท) กำลังต่อสู้กับผู้คุ้มกันหกคน ที่แต่งตัวเหมือนองครักษ์วังหลวง ส่วนด้านหลังของพวกเขาคือฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าที่อยู่ในสถานการณ์กระอักกระอ่วนใจ ข้างกายเขายังมีอีกสิบกว่าคนปกป้องเขา
“เจ้า เจ้าจะกบฏงั้นรึ?”ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าคำรามออกมา
เสียงโกรธจนยั้งอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ดวงตาก็สีแดง แววตาก็ประกายความอาฆาตอย่างรุนแรง
“ข้าเป็นเสด็จพ่อเจ้า เจ้ากล้าฆ่าพ่อตัวเอง เป็นโทษที่ไม่อาจให้อภัยได้ ลูกเนรคุณ ยังไม่หยุดอีก? เจ้าต้องรับผิดชอบ อย่ามาโทษว่าข้าโหดเหี้ยม รอเจ้าตายก็จะเอากระดูกไปบดขยี้เป็นเถ้าถ่าน”
เฮอะ!
ลูกเนรคุณทรยศ
เขาไม่เคยเอาเย่หลีเฉินอยู่ในสายตา ตั้งให้เขาเป็นไท่จื่อ(องค์ชายรัชทายาท)ก็คือเห็นความสำคัญกับการดูถูกถากถางเขา ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ดุด่าเขาตลอด
ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าในตอนนี้เหมือนเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว
องครักษ์วังหลวงที่เขาพามาหกสิบ เจ็ดสิบคน เป็นคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดในบรรดาองครักษ์วังหลวงที่เขาฝึกอบรม เพียงพริบตาเดียวก็เหลือคนเพียงนิดเดียว เกือบจะพ่ายแพ้แล้ว
ภายในสายตาของเขามีความสิ้นหวัง แต่พอเห็นเย่หลีเฉินเมื่อครู่นี้ก็มีความหวังอันริบหรี่เกิดขึ้นในใจ
เขายังมีชีวิตอยู่ นั่นก็บอกได้ว่าพวกเทพธิดาน่าจะยังมีชีวิตอยู่
ทางด้านพวกเขาจะต้องมีน้ำและอาหารแน่ๆ เขาเพียงแค่อยากให้เย่หลีเฉินไปขโมยเอาน้ำอาหารมาให้เขา
แต่เขากลับกัน
พอเห็นเขา ก็ทำเหมือนเห็นศัตรู จะฆ่าฮ่องเต้ผู้นี้ และยังพูดสิ่งทรยศมากมาย ทำให้เขาโกรธจนเสียอยากจะยกกระบี่ขึ้นมาฆ่า
ทันใดนั้นองครักษ์วังหลวงไม่กี่คนก็มาล้อมเย่หลีเฉินเอาไว้ หลานเยาเยารีบใช้กำลังภายใน ส่งออกไปตบพวกเขา ทั้งหกคนก็กระเด็นล้มไปที่พื้น
เมื่อเห็นว่านางมา นัยน์ตาของเย่หลีเฉินก็ฉายความประหลาดใจ คิดไม่ถึงว่านางจะมาปรากฏตัวที่นี่
ตอนนี้ไม่มีเวลาอธิบาย
ตอนที่มองไปทางฮ่องเต้ประเทศก่วงส้า นัยน์ตาของเขามีความเกลียดชังออกมา และก็มีแต่ความโกรธแค้น
“กล้าฆ่าพ่อตัวเอง? ในตอนที่เจ้าคิดจะเผาจาวหยางให้ตายในตอนนั้น เจ้าก็ไม่ใช่เสด็จพ่อของข้าอีกแล้ว ขณะนี้ข้าแทบจะไม่ไหวที่จะฆ่าเจ้าในตอนนี้แล้ว”
“เย่หลีเฉิน ตอนนี้เจ้าโดนปีศาจทำให้หลงลืมสติปัญญาไปหมดแล้ว เจ้าอย่าลืมสิว่าเจ้าแซ่เย่ เลือดของราชวงศ์ไหลเวียนอยู่ในกระดูกเจ้า
ข้าคือเสด็จพ่อของเจ้า เลือดนั้นข้นกว่าน้ำ เจ้าต้องการฆ่าข้าเพื่อนางงั้นหรือ? เจ้าต้องได้สติได้แล้ว ต้องแบ่งศัตรูกับข้า”
การปรากฏตัวของเทพธิดา ทำให้เขาจำเป็นต้องพูดกับเย่หลีเฉินดีๆ
อย่างไรเสีย!
สายตาที่เทพธิดามองเขานั้นปกปิดความอาฆาตอยู่ ดังนั้นเข้าต้องให้เย่หลีเฉินทรยศ มาทางฝั่งเขา และปกป้องเขา
แต่ว่า!
การเปลี่ยนทิศทางของเย่หลีเฉินมันเหนือความคาดหมายของเขา เย่หลีเฉินแต่ก่อน ที่ไม่เคยโต้ตอบอะไร เชื่อฟังคำพูดและปฏิบัติตามเขาตลอด บอกให้ไปทางไหนก็ไปทางนั้น
ตอนนี้ ไม่เพียงแต่กล้าต่อต้านเขา
กลับยังกล้าถือกระบี่บอกว่าจะฆ่าเขาอีก!
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็จะได้ฆ่าเขาไปตั้งแต่ตอนแรก จะให้ข้าเก็บเขาเอาไว้ และมายืนชื่นชมต่อหน้าเขามาจนถึงตอนนี้ทำไม?
“ฮ่าๆๆ น่าตลกจริงๆ เจ้าดูท่าทางของเจ้าตอนนี้สิ เปลี่ยนเป็นน่าเกลียดหมดแล้ว
และยังคิดเพ้อเจ้อบอกให้ข้าได้สติ? คนที่ควรได้สติน่าจะเป็นเจ้ามากกว่า เจ้านั้นแหล่ะที่เป็นคนหลงลืมสติปัญญา”
เมื่อเผชิญหน้ากับคำประณามที่โกรธเกรี้ยวของเย่หลีเฉิน ฮ่องเต้ประเทศก่วงส้าก็โมโหจนเส้นเลือดขึ้น