หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 565 เรื่องเกิดกะทันหันค่อนข้างไม่ทันระวัง
บทที่ 565 เรื่องเกิดกะทันหันค่อนข้างไม่ทันระวัง
“ถูกต้อง ไม่กี่วันนี้เพิ่งจะมาเมืองหลวงขอที่พึ่งญาติพี่น้อง” หลานเยาเยารีบแต่งเรื่องมั่วทันที
“มิน่าล่ะท่านไม่รู้ ทะเลสาบหนานหูนี้ก่อตั้งเป็นทะเลสาบโดยแม่น้ำสายหนึ่ง เพิ่งก่อสร้างได้ครึ่งปีขอรับ
ในเวลาอันสั้นจึงได้รับความนิยมมากล้นจากบรรดาหนุ่มหล่อสาวงาม เป็นสถานที่น่าเที่ยวเล่นเป็นที่สุด ยังสามารถทดน้ำเข้านาที่สมบูรณ์ให้ประชาชนที่อยู่ชายแดนเมืองหลวงได้ด้วย
เมื่อฮ่องเต้องค์ใหม่ได้ยิน เคยไปที่นั่นด้วยตัวเอง ถูกหอที่งดงามเป็นเลิศดึงดูดอย่างล้ำลึก ฉะนั้นจึงได้ประทานชื่อหอเฟิ่งหวงที่ไพเราะขอรับ”
เถ้าแก่ยังอยากพูดอะไรอีก ด้านนอกก็มีลูกค้าเข้ามาอีกสองสามคน บนหน้าของเขาแสดงออกถึงความรู้สึกผิดทันที ท่าทางอยากพูดแต่ก็หยุดไว้
“คุณชาย……”
“เถ้าแก่ ไปทำธุระเถอะ!”
หลานเยาเยาผลักเหรียญเงินพันตำลึงในมือไปด้านหน้าเถ้าแก่ รอยยิ้มของเถ้าแก่ยิ่งสดใสมากขึ้น หยิบเหรียญเงินกล่าวขอบคุณติดต่อกัน แล้วรีบไปต้อนรับลูกค้าทันที
รอจนเถ้าแก่รับรองลูกค้าเสร็จแล้ว เมื่อเตรียมจะคุยเรื่อยเปื่อยกับพวกเขาอีกครั้ง
กลับพบว่า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่พวกเขาจากไปแล้ว แม้ว่าบนโต๊ะจะวางเงินค่าเหล้าอาหาร แต่เหล้าและอาหารทั้งหมดยังไม่ได้มีการแตะต้องสักน้อย
ส้งเย่นกุยที่อยู่บนรถม้าแล้ว ไม่เพียงมองไปทางหลานเยาเยา ในดวงตาเต็มไปด้วยความสับสน
เป้าหมายของหลานเยาเยาในเวลานี้คือทะเลสาบหนานหู มือจะแหวกผ้าม่านหน้าต่างรถม้าเป็นระยะๆ มองดูว่าถึงสถานที่เป้าแล้วหรือยัง
ความชอบทั้งหมดในอดีต อยู่ในช่วงความสัมพันธ์เบื้องหน้าที่เปราะบางเช่นนี้
“เจ้าเพ่งมองข้าทำอะไรนักหนา?”
หลานเยาเยาเก็บสายตาจากนอกหน้าต่างกลับมา เอียงหน้ามองเขา ในแววตาแฝงการมองสังเกตอย่างอดไม่ได้
สองสามวันนี้ส้งเย่นกุยผิดปกติมาก ไม่เพียงเปิดโปงด้านที่อ่อนแอของนางต่อหน้า ยังจะสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของนางเป็นระยะๆ เหมือนกับเจ้าหนูจำไม
ส้งเย่นกุยกระแอมเบาๆทีหนึ่ง
“มักจะรู้สึกว่าท่านไม่เหมือนกับอดีตแล้วอยู่บ่อยๆ”
อดีต ครั้งแรกที่หลานเยาเยาข้ามเวลามาที่แผ่นดินใหญ่นี้ หลังจากที่ระบบค่อยๆเลื่อนขั้น เขาจึงได้ติดตามอยู่รอบตัวนางเหมือนลักษณะของมนุษย์ อีกทั้งความคิดของทั้งสองเหมือนกัน รู้ความคิดของฝ่ายตรงข้าม
แต่ตอนนี้ เจ้านายของตัวเองเปลี่ยนไม่เหมือนเดิมแล้ว
เขาไม่มีวิถีทางรู้และเข้าใจสิ่งที่นางคิดทั้งหมดได้แล้ว มีบางครั้งที่เดาไม่ออกโดยสิ้นเชิง
แม้แต่เขาเองก็เปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว
สำหรับตรงไหนไม่เหมือนเดิม เขาเองก็บอกไม่ถูก
“ไม่ใช่ไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่เพราะเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้ และไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกที่สับสนเข้าใจยากของข้าในตอนนี้ได้ เจ้าค่อนข้างหวาดกลัวใช่หรือไม่?”
“ไม่มีขอรับ” เขารีบปฏิเสธทันที
หวาดกลัว?
นั่นคือความรู้สึกอะไร? ไม่สงบสุขหรือ?
“บางทีหลังจากนี้ เจ้าจะดำเนินตามรอยข้า สามารถเข้าใจถึงความรู้สึกตอนนี้ของข้าได้อย่างชัดแจ้ง”
“ข้าไม่เอาหรอก ท่านแทบจะเปลี่ยนไปจนไม่เป็นท่านแล้ว หากข้าเปลี่ยนไปจนไม่ใช่ข้า ใครจะเตือนท่านให้รักษาคน ใครจะมารบเร้าท่านช่วยเหลือผดุงความเป็นธรรมขอรับ?”
เจ้านายเคยเป็นพวกที่เห็นแก่เงินทองเป็นนักกินจุอย่างสมบูรณ์ หากไม่ใช่เป็นมันเตือนนางทุกนาที คาดว่านางก็คือคนที่ทำเหมือนเรื่องไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง ไหนเลยขณะข้ามเวลามาครั้งแรกจะมีความสำเร็จยิ่งใหญ่ขนาดนั้น?
ดูๆ
ในการข้ามเวลาครั้งนี้เขาไม่อยู่ ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็มีเพียงชื่อเสียงนี้ของเทพธิดาแล้ว
แต่ว่าผลกระทบก็ไม่ได้ลึกซึ้งยาวนาน ไม่เกินสิบกว่าปีก็จะถูกบรรดาผู้คนลืมไปหมดสิ้น
ไหนเลยจะเหมือนฮ่องเต้รุ่นแรกยุคนั้น ชื่อเสียงและคุณูปการอันยิ่งใหญ่ของนาง จนถึงตอนนี้หลายพันปีหลัง ก็ยังคงมีคนจำได้
ได้ยินดังนั้น!
หลานเยาเยาตะลึงงันเล็กน้อย
“ช่วยเหลือผดุงความเป็นธรรม?” ฉับพลันนั้นคิดอะไรได้ นางรีบกล่าวทันที : “ทำไมภารกิจเลื่อนขั้นระบบของครั้งแรกที่ข้ามเวลา กับภารกิจเลื่อนขั้นระบบครั้งนี้แทบจะไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง?”
เห็นส้งเย่นกุยส่ายศีรษะเล็กน้อย หลานเยาเยาตกลงในห้วงความคิด
นอกจากการเลื่อนขึ้นครั้งแรกที่เป็นกี่รวบรวมกรุ๊ปเลือด A3ที่พิเศษหยดหนึ่งทั้งหมด นอกเหนือจากนั้นก็ไม่เหมือนกันเลย
การข้ามเวลาครั้งแรก หลังจากเลื่อนขั้นระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บขั้นที่หนึ่งแล้ว ข้างหลังก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ เช่นจำนวนการช่วยรักษาคนต้องถึงแปดร้อยคนถึงจะเปิดเครื่องมือทางการแพทย์ชั้นที่สองและวัสดุทางการแพทย์ได้ หลังจากนั้นระดับความยากในการเลื่อนขั้นก็ยากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ตอนนี้……
ภารกิจการเลื่อนขั้นระบบทั้งหมดเหมือนว่าจะเบี่ยงเบนไปจากหัวข้อการรักษาช่วยคนแล้ว ทั้งหมดคือการวนอยู่รอบๆเรื่องราวเรื่องหนึ่งและเลื่อนขั้น……
มีการบรรยายตัวละครอะไรที่เหมือนจริง
แต่นางก็ไม่สามารถจับจุดนั้นได้
เวลานี้ รถม้าเกิดการกระแทกกะทันหัน จากนั้นก็หยุดลง
ส้งเย่นกุยขมวดคิ้ว : “เกิดอะไรขึ้น?”
คนขับรถม้าตอบกลับ : “คุณชายสองท่าน ถึงทะเลสาบหนานหูแล้วขอรับ”
ถึงแล้ว?
เร็วขนาดนี้เชียว?
ก่อนหน้านี้หลานเยาเยารู้สึกว่าช้าอย่างยิ่ง อดที่จะตะลึงไม่ได้ ที่แท้การสนทนาสามารถทำให้เวลาผ่านไปเร็วขึ้น
แทบจะลืมความรู้สึกชนิดนี้แล้ว
หลังจากที่ทั้งสองลงจากรถม้า ก็มุ่งตรงไปริมฝั่งข้างทะเลสาบหนานหู
ทัศนวิสัยกว้างขึ้นมาฉับพลัน ภายใต้ลมเบาๆ ระลอกคลื่นของน้ำทะเลสาบหนานหู กระเพื่อมขึ้นแล้วหายไปเงียบๆ เสียงระลอกคลื่น เหมือนคำพลอดรักระหว่างคู่รัก บางเบาจนไม่มีทางจะฟังได้อย่างชัดเจน
ทะเลสาบนี้ใหญ่มาก ทุกที่เป็นร่องรอยการบุกเบิกของแรงงานคน
ริมฝั่งข้างๆมีบ้านที่พักผุดขึ้นเรียงราย ผู้มาเที่ยวเยือนเป็นกลุ่มสามถึงห้าคน มีผู้สูงอายุอยู่ที่ร้านน้ำชาจิบชาดูทะเลสาบ และมีวัยรุ่นหนุ่มหล่อสาวงามเที่ยวเล่นอยู่ที่ริมฝั่ง นอกจากนี้มีเรือลำเล็กกระเพื่อมอยู่บนทะเลสาบ ดั่งเช่นใบไม้สีเหลืองที่ล่องลอยตามคลื่น
ทั้งๆที่เป็นช่วงที่หนาวที่สุดของเดือนสิบสอง เสียงลมแผ่วเบา กลับเป็นภาพที่ทำให้คนดูมีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยพลัง
มองไปที่ทุ่งนาที่สมบูรณ์ผืนใหญ่ที่อยู่ไกลๆนั่นอีก ทะเลสาบหนานหูเป็นสถานที่ดีๆที่น่าเที่ยวเล่นจริงๆ นอกจากนี้ยังเป็นทะเลสาบที่ยอดเยี่ยมในการทดน้ำเข้านาที่สมบูรณ์
ระหว่างทุ่งนาที่สมบูรณ์ในที่ไกลๆกับที่พักอาศัยที่ผุดขึ้นเรื่อยๆ มีหอที่สวยงามล่อตาล่อใจแห่งหนึ่ง มีความสูงทั้งหมดห้าชั้น ไต่ขึ้นไปมองไปที่ไกลๆที่ที่สูง มองทั้งหมดไว้ในดวงตา
“นั่นก็คือหอเฟิ่งหวง? งามที่สุด!”
“งดงามจริงๆ ไปสอบถามสถานการณ์ก่อนเถอะ!”
หาร้านน้ำชาร้านหนึ่งง่ายๆ หลานเยาเยากับส้งเย่นกุยดื่มชาไปพลางเอาข้อมูลโดยทางอ้อมจากผู้ที่มาดื่มชาไปพลาง
ที่แท้ :
เดิมทีทะเลสาบหนานหูก็เป็นสถานที่ที่น่าเที่ยวเล่นเป็นที่สุด เพราะการทดน้ำเข้านาที่สมบูรณ์ บวกกับฮ่องเต้องค์ใหม่เสด็จมาด้วยตัวเอง พระราชทานชื่อให้ ชื่อเสียงของทะเลสาบหนานหูจึงได้รับความนิยมแพร่หลายที่สุดในระยะเวลาหนึ่ง คนมาเที่ยวเล่นไม่ขาดสาย
สำหรับหอเฟิ่งหวง มีเพื่อให้ชม ไม่อนุญาตให้เข้าไป
เนื่องด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่งดงาม สลักมังกรภาพวาดหงส์ แขวนด้วยกระดิ่งผ้าแดง เป็นการตกแต่งที่สวยงามถูกตาต้องใจ บวกกับเสียงเสนาะหู จึงเหมือนดั่งหญิงสาวผู้หนึ่งเต้นระบำอยู่ท่ามกลางสายลมเหน็บหนาว มองดูไปไกลๆ สวยงามเหมือนสาวงามเป็นเลิศผู้หนึ่งสวมชุดสีแดง
เพราะแบบนี้ หอเฟิ่งหวงที่สวยงามเป็นที่สุดถูกปกคลุมด้วยผ้าคลุมหน้าที่ลึกลับและสลัวชั้นหนึ่ง
แต่คนครอบครัวขุนนางไม่กี่คน ไม่พอใจกับการชื่นชมรูปลักษณ์ภายนอก ด้วยเหตุนี้ได้แอบเข้าไปดูความเป็นจริง ตามอำเภอใจจึงได้เกิดอุบัติเหตุ
เมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้น หอเฟิ่งหวงนอกจากจะลึกลับและสลัวแล้ว ผ้าคลุมหน้าที่เพิ่มมาอย่างแปลกประหลาดอีกชั้น ทำให้หลายคนตกใจจนไม่กล้ามาอีก
ตอนนี้กลุ่มคนบางตา จนเป็นความเงียบสงัดแล้ว
คนสูงอายุในร้านน้ำชา เตือนพวกเขาว่าอย่าเข้าใกล้หอเฟิ่งหวง ตอนนี้ที่นั่นไม่สงบ องครักษ์ของเมืองหลวงมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า กลับยังคงหาสาเหตุอื่นที่คนครอบครัวขุนนางสองไม่กี่คนเสียชีวิตไม่ได้
ออกมาจากร้านน้ำชา
พวกเขาสองคนหลีกเลี่ยงกลุ่มคน ตรงไปทางหอเฟิ่งหวงทันที
ประตูใหญ่ของหอเฟิ่งหวงแปะกระดาษผนึกไว้ อีกทั้งยังไม่มีร่องรอยการแตะต้องมาก่อน ทั้งสองสบตากัน
หลานเยาเยารีบก้มหน้ามองตรงเข็มขัดของตัวเอง นั้นคือผ้าไหมสีแดงเส้นหนึ่ง โดยปกติใช้ทำเป็นเข็มขัด เป็นของจำเป็นต้องเตรียมสำหรับเวลาที่จำเป็นต้องปีนตึกปีนกำแพง
หลานเยาเยานิสัยใจร้อน ใช้ผ้าไหมสีแดงช่วยขึ้นไปที่ชั้นสองก่อนหน้าส้งเย่นกุย เข้าไปทางหน้าต่างชั้นสองโดยตรง
เพื่อเข้าไป หลานเยาเยาก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติ ดวงตาหรี่ลง หันหน้ากลับไปมองทันที
แหขนาดใหญ่หลังหนึ่งลอยคลุมลงมาทันที เหมือนดั่งเป็นการป้องกันศัตรู
ร่างกายนางแฉลบทันที จากทางเดินไปยังตรงกลางโดยตรง แต่ทว่าตรงกลางกลับว่างเปล่า
นางตกลงไปทันใด ตกลงไปถึงชั้นหนึ่งโซเซสองสามก้าว ยังไม่ทันยืนนิ่งๆ และยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เห็นเพียงเงาดำแฉลบ ปรากฏลำแสงเย็นยะเยือก ความหนาวเหน็บของความตายประชิดบีบคั้นมาตรงหน้า
ทันใดนั้นนางใช้ผ้าแพรสีแดงที่ทำเป็นอาวุธ เมื่อโบกมือ ขวางกั้นแรงของดาบที่โบกมา ผ้าแพรสีแดงถูกตัดขาด ดาบยาวด้ามหนึ่งที่ชัดเจนสังหารไปด้านหน้า
แต่ทว่า!
ระหว่างความเป็นความตาย หลานเยาเยากลับตะลึงงันทันใด การเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดลงแล้ว ดวงตาแดงก่ำทันที……