หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 587 อยากกินเท่าไหร่ก็กินเท่านั้น
บทที่ 587 อยากกินเท่าไหร่ก็กินเท่านั้น
หลานเยาเยาที่ไม่รู้ความคิดภายในใจมากมายของส้งเย่นกุยโดยสิ้นเชิง เวลานี้จิตใจทั้งหมดพุ่งไปอยู่บนเรื่องความเจ็บปวดที่หัวใจของเย่แจ๋หยิ่ง
นางตรวจดูครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่พบความเคลื่อนไหวผิดปกติที่หัวใจของเย่แจ๋หยิ่ง แต่นางคิดไม่ถึงแม้สักนิดว่าเย่แจ๋หยิ่งจะหลอกนาง อย่างไรเสีย ขณะอยู่ที่หอเฟิ่งหวง เขาที่แม้จะเอาพิษกู่ถงซินออกแล้ว ยังสามารถกระอักเลือดเพราะต้องการทำร้ายนางได้ นี่ก็ไม่มีวิธีใช้วิชาการรักษามาอธิบายได้
ดังนั้นเวลานี้ นางมีเหตุผลตามเย่แจ๋หยิ่งทั้งหมด
“เป็นอย่างไรบ้าง? ตอนนี้ดีขึ้นหน่อยหรือไม่?”
นางคลายลมให้เขา ลูบหน้าอกของเขาเบาๆ
เย่แจ๋หยิ่งใช้ท่าทางเหมือนกอดครึ่งหนึ่งโอบนางในอ้อมอก คิ้วบนหน้าขมวดเล็กน้อย ปากเม้มแน่น ราวกับว่ากำลังอดทนต่อความเจ็บปวดเป็นที่สุด แต่ในดวงตาแอบแฝงด้วยความสุข เผยให้เห็นอารมณ์จิตใจที่แท้จริงของเขา
เห็นหลานเยาเยาสบสายตาของเขา เขาจึงพยักหน้าเล็กน้อยอย่างจำใจ
“ดีขึ้นบ้างแล้ว”
ด้วยเหตุนี้
หลานเยาเยาได้คลายลมให้เขาครู่หนึ่งอีก สุดท้ายจึงได้สังเกตเห็นความผิดปกติของท่าทางของทั้งสองคน
เย่แจ๋หยิ่งนอนพิง มือข้างหนึ่งโอบไหล่นางไว้ มืออีกข้างหนึ่งโอบรอบเอวบางๆของนาง และนางกึ่งนอนในอ้อมอกของเย่แจ๋หยิ่ง บอกว่ากึ่งนอน ความจริงกลับไม่ต่างกับการฟุบลงไปบนร่างของเย่แจ๋หยิ่งโดยสิ้นเชิง เพียงแต่มืออีกข้างคลายลมให้เขา จึงทำให้นางรู้สึกว่านางกำลังคลายลมให้เขาจริงๆ
ท่าทางชั่งดึงดูดให้คนคิดไปไกลยิ่งนัก มือของหลานเยาเยาที่คลายลมให้เย่แจ๋หยิ่งชะงัก ดวงตาหมุนปริบๆ จากนั้นค่อยๆยันร่างขึ้น ผละออกจากอ้อมอกของเย่แจ๋หยิ่ง
นางยืดคอตรงแล้วถาม :
“ตอนนี้ล่ะ? หากว่าไม่ได้จริงๆงั้นก็ให้ท่านกินยาแก้ปวดหน่อยละกัน!”
“ไม่เป็นไร” เย่แจ๋หยิ่งยังพอใจไม่ถึงที่สุด ลุกขึ้นอย่างค่อนข้างเสียดาย “ไม่ค่อยปวดแล้ว เดินทางเองได้แล้ว”
หลานเยาเยาสงสัย หลังจากถามย้ำเพื่อความมั่นใจจึงตัดสินใจรีบไปสำนักหงอี
เมื่อยกเท้า มองดู คนผู้หนึ่งที่โอบกอดเสาของศาลา มองดูเขาดูสีหน้าหมดอาลัยตายอยาก
เอ่อ?
“อาส้ง เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“…….” ส้งเย่นกุยน้ำตาตก คุณนาย ท่านสังเกตเห็นว่ายังมีคนที่สามดำรงอยู่ซักที “ไม่เช่นนั้นล่ะ? ข้าจะสามารถอยู่ที่ไหน?” เห็นความสำคัญของตัณหามากกว่าเห็นความสำคัญของระบบ
หลานเยาเยาเก้ๆกังๆเล็กน้อย
ตอนนี้นางเพิ่งคิดได้ เป็นส้งเย่นกุยพานางมาถึงที่นี่ ยังให้เขาพานางไปสำนักหงอีอีก
แต่เมื่อนางเห็นเย่แจ๋หยิ่ง ก็ลืมไปสนิทเลยว่าส้งเย่นกุยอยู่มุมไหน
จบเห่แล้ว
ส้งเย่นกุยจะต้องดูถูกนางจากก้นบึ้งของหัวใจแน่
แฮ่ม กระแอมเบาๆเสียงหนึ่ง นางฟื้นคืนเป็นท่าทางที่คุณชายซ่างกวนควรจะมีอีก “โชคดีที่มีเจ้า อาส้งลำบากแล้ว”
ส้งเย่นกุยออกจากเสา สองมือสะบัดแขนเสื้อ มือไขว้หลัง เหลือบมองนางแวบหนึ่ง สายตานั่นราวกับกำลังพูดว่า : ข้าจะมองดูท่านแสดงเงียบๆ
“……” ตัวเองละอายใจ ดังนั้นหลานเยาเยาก็ไม่ได้คิดเล็กคิดน้อยกับเขา แต่เป็นมองไปรอบๆ สีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกในพริบตา “อาส้ง นี่คือที่ไหน?”
เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ทางไปสำนักหงอี
“ทางไปสำนักป๋ายอีขอรับ “ อาส้งตอบอย่างมั่นใจ ไม่มีความผิดปกติแม้สักน้อย
ป๋าย、สำนักป๋ายอี?บ้าอะไร?
หลานเยาเยาตีหัวทันที ปวดสมอง
ส้งเย่นกุยมาเมืองหลวงครั้งแรก แม้แต่เมืองหลวงก็ล้วนไม่ค่อยคุ้นเคยนัก ยิ่งไปกว่านั้นสำนักหงอีลึกลับเป็นอย่างมาก เขาหาไม่พบสามารถเข้าใจได้ เพียงแต่นางเคยบอกเขาเอง คือสำนักหงอี สำนักหงอีไงนี่
นางขมวดคิ้ว หัวเราะเบาๆ
“เอาเถอะ! เดินตามข้า ข้ารู้จักทาง” ตอนนี้เรื่องสำคัญเร่งด่วน เรื่องวุ่นวายเล็กเหล่านี้นางไม่คิดเล็กคิดน้อย
ทำไมส้งเย่นกุยรู้สึกว่าเจ้านายของตัวเองหัวเราะอย่างฝืนใจเป็นอย่างมาก ขณะพูดจาเหมือนกับว่ายังจะกัดฟันอีก
หลานเยาเยาเดินออกจากศาลา ความคิดค่อนข้างงงงวยในพริบตา
หากว่านางเดาไม่ผิด ที่นี่คือศาลาแห่งหนึ่งด้านนอกประตูทางทิศเหนือของเมืองหลวง และสำนักหงอีของนางต้องไปจากทางประตูทางทิศใต้ของเมืองหลวง การเดินทางนี้ก็ชั่งแตกต่างกันมากเกินไปแล้วนะ?
เย่แจ๋หยิ่งเดินมาจากทางด้านหลัง หยุดลงข้างกายของนาง
“ทางไม่ถูก?”
เมื่อพูดคำพูดนี้ ได้แฉลบตัวไปอยู่อีกด้านของหลานเยาเยาแล้ว ส้งเย่นกุยพยายามหลีกเลี่ยงการเข้าใกล้กับเย่แจ๋หยิ่งเป็นที่สุด รีบหูตั้งทันที
จากหลักการ ความแม่นยำในการนำทางของเขาคือแปดถึงเก้าส่วนในสิบ
ตอนนี้เห็นท่าทางการแสดงออกของเจ้านายตัวเองค่อนข้างลำบากใจ เขากะพริบตาเงียบๆ น่าจะผิดเพี้ยนไปนิดหน่อย
หลานเยาเยา : “ไม่มี ถูกทางเป็นอย่างมาก”
ไปถึงเป้าหมายมีหลายวิธี พวกเราเพียงจำเป็นต้องอ้อมจากทิศเหนือของเมืองหลวงไปถึงทิศใต้ของเมืองหลวงเท่านั้น ไม่มีอะไรหนักหนา เพียงแต่ต้องเดินมากกว่าครึ่งหนึ่งของการเดินทาง อีกทั้งยังต้องเดินเท้า
“เหอะ!”
นางไม่ได้หัวเราะอย่างเย็นชา แต่เป็นยิ้มเจื่อนๆ หลังจากนี้ต้องช่วยส้งเย่นกุยเพิ่มเติมด้านแคว้นเมืองกับถนนหนทางของแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ให้ดีๆ เพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอเรื่องด่วน คนรีบจะตายอยู่แล้ว เขายังเดินเล่นเอ้อระเหยอย่างมั่นใจในตัวเอง
ออกจากศาลาแล้ว ทั้งสามคนออกเดินทางพร้อมกัน
อ้อมมาทั้งวัน ไปถึงประตูทางทิศใต้ของเมืองหลวงทางนั้นแล้ว เดิมทีวางแผนกลับเข้าในเมืองเอาม้าสองสามตัว แต่เดินไม่ไหวแล้วจริงๆ
แต่เย่แจ๋หยิ่งกลับอารมณ์สงบสีหน้าสบายๆ มองดูทิศทางของเมืองหลวง ผุดรอยยิ้มบางๆออกมา
ไม่นาน องครักษ์ลับผู้หนึ่งขี่รถม้ามาแล้ว ด้านหลังรถม้ายังมีม้าพันธุ์ดีตัวหนึ่งตามมา
“เจ้านาย รถม้ามาแล้วขอรับ”
เย่แจ๋หยิ่งตอบรับเบาๆเสียงหนึ่ง เมื่อมาถึงด้านหน้าของหลานเยาเยา กล่าวขึ้นเบาๆ :
“ซู่เอ๋อ ขึ้นรถม้าพักผ่อนสักครู่!”
“ขอบใจมาก” หลานเยาเยาทอดถอนใจเย่แจ๋หยิ่งก็คือพยาธิในท้องของนาง ที่บอกว่าขี่ม้า เพียงแค่รู้สึกว่าความเร็วของรถม้าเทียบกับขี่ม้าไม่ได้ แต่ร่างกายของนางไม่ได้เป็นอะไร เพียงต้องการบำรุงสักหน่อย แต่เย่แจ๋หยิ่งไม่เหมือนกันแล้ว เจ็บปวดหัวใจเป็นระยะๆ ขี่ม้าไม่เหมาะสม
“ระหว่างข้ากับเจ้าไม่จำเป็นต้องพูดขอบใจมาก”
เห็นนางยังลังเลอยู่เล็กน้อย เย่แจ๋หยิ่งจึงได้ดึงนางขึ้นรถม้าโดยตรง รอครู่หนึ่ง ไม่เห็นส้งเย่นกุยขึ้นมา หลานเยาเยาจึงเปิดม่าน มองไปทางส้งเย่นกุย
“อาส้ง รีบขึ้นมา”
ส้งเย่นกุยยืดตัวตรง มองดูหลานเยาเยาแวบหนึ่ง ทำปากแบน กล่าวอย่างจนปัญญา :
“ข้าชอบขี่ม้าขอรับ”
เดินทางพร้อมกับอ๋องเย่ เขากล้าอยู่เพียงแค่ข้างๆของเจ้านายตัวเอง ห่างจากอ๋องเย่ยิ่งไกลยิ่งดี หากว่านั่งรถม้าคันเดียวกัน เขาจะต้องประสาท
ยิ่งไปกว่านั้น แววตาที่เย็นยะเยือกนั่นของอ๋องเย่ ไม่รู้ว่าเฉียดคอของเขาไปกี่ครั้งแล้ว
ดู แม้แต่ม้ายังเตรียมให้เขาอย่าง‘หวังดี’แล้ว
เห็นสีหน้าของส้งเย่นกุย หลานเยาเยายังมีความสงสัยเล็กน้อย แต่คิดถึงในยุคแรก ทุกครั้งที่นางกับเย่ซางหลิงนั่งรถม้าคันเดียวกัน อาส้งก็ชอบขี่ม้าคนเดียว ราวกับว่ายังชอบทำจนไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
ดูท่าแล้ว เขาชอบการขี่ม้าจริงๆ
เพียงแค่สีหน้าโกรธเคืองนั่นเกิดอะไรขึ้น?
จากนั้นจากการชี้ทางของหลานเยาเยา ไม่กี่คนก็มุ่งหน้าไปทางสำนักหงอี
ไม่รู้ว่ารถม้าดำเนินนานเท่าไหร่แล้ว คาดว่าเกือบจะเป็นเวลาอาหารเย็นแล้ว เย่แจ๋หยิ่งจากในช่องลับของรถม้า หยิบเสบียงอาหารออกมาห่อหนึ่ง ยังหยิบกระเป๋าพยาบาลอัตโนมัติออกมาด้วย นั่นคือกระเป๋าพยาบาลที่หลานเยาเยาเคยประมูล ถูกซื้อมาด้วยมุกเย่หมิงของเย่แจ๋หยิ่ง
ตอนนี้เห็นสิ่งนี้แล้ว หลานเยาเยาจิตใจสั่นไหวเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้
เขายังพกมันไว้…….
“ท่าพกสิ่งนี่ทำไม?”
กระเป๋าพยาบาลใส่สิ่งของใช้ในการรักษา หรือห่อยาฉุกเฉินอะไร เย่แจ๋หยิ่งพกของเหล่านี้ทำไม?
ใครจะรู้ รอจนเย่แจ๋หยิ่งเปิดกระเป๋าพยาบาล กลิ่นหอมลอยเข้าปลายจมูก ฉับพลันนั้นนางอึ้งไปแล้ว
ด้านในกระเป๋าพยาบาลไม่ได้ใส่สิ่งของใช้ในการรักษา แต่เป็นน่องไก่ ขาหมู ผลไม้ขนม กระทั่งยังมีเมล็ดธัญพืชห้าชนิด
เหล่านี้ล้วนเป็นของที่นางชอบกิน
เย่แจ๋หยิ่งเอากระเป๋าพยาบาลอัตโนมัติวางไว้บนตักของนาง เอนตัวเข้าใกล้นาง กล่าวด้วยเสียงต่ำข้างหูของนาง :
“อยากกินเท่าไหร่ก็กินเท่านั้น”
พูดจบ ก็ถอยกลับไปแล้ว หยิบเสบียงอาหารสองห่อด้านข้างขึ้น อันหนึ่งโยนออกไปอย่างง่ายดาย ลอยออกไปจากหน้าต่างรถม้าในพริบตา ส้งเย่นกุยที่อยู่ด้านนอกเอื้อมมือรับไว้ ชั่งน้ำหนักของห่อเสบียงอาหารเล็กน้อย จึงเปล่งเสียงไม่พอใจเสียงหนึ่ง ไม่ได้โยนกลับไป
ชำเลืองมององครักษ์ลับที่ทำหน้าที่ขับรถม้า เขาได้กินเสบียงอาหารแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเปล่งเสียงไม่พอใจอีกครั้ง