หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 59 ให้ข้าสอนวิธีเป็นกุลสตรีให้เจ้า
บทที่ 59 ให้ข้าสอนวิธีเป็นกุลสตรีให้เจ้า
คนเหล่านั้นต่างขมวดคิ้วเข้ม ไม่เข้าใจว่านางกำลังพูดอะไร
ในตอนนั้นโจรผู้นั้นก็ลุกขึ้นจากพื้น ยิ้มมุมปากขึ้นทำทีเก่งเสียเต็มประดาแล้วเอ่ยขึ้น
“รู้ไหมว่าข้าเป็นใคร?กล้าทำร้ายข้า ข้าจะทำให้พวกเจ้าต้องรู้สึกที่เกิดมาเลยทีเดียว”
พูดด้วยน้ำเสียงอันทรงอำนาจ พลางหันหลังพยักพเยิดยังกลุ่มคนด้านหลังที่ถือมีดในมือ และยังกระซิบกระซาบข้างหูพวกเขาอีกยกใหญ่
หัวโจกของกลุ่มตาวาวขึ้น ปราดตามองไปยังตั๋วเงินที่อยู่ในมือหลานเยาเยา แล้วจึงละสายตาไป!
แล้วมองไปยังองค์หญิงจาวหยาง พลางแลบลิ้นเลียริมฝีปาก ลักษณะท่าทางราวกับหมาป่าผู้หื่นกระหาย
“คนหนึ่งมีตั๋วเงิน อีกคนรูปงาม ดีมาก ข้าชอบนัก”
แม้คนเหล่านั้นจะมองไม่เห็นรูปโฉมขององค์หญิงจาวหยาง แต่เพียงดูลักษณะท่าทางแช่มช้อยรูปร่างบอบบางแล้ว ก็คาดเดาได้ว่าภายใต้หมวกคลุมนั้นต้องเป็นหญิงงามคนหนึ่ง
แต่เมื่อพูดถึงหญิงอีกนางที่ทั้งผอมทั้งอัปลักษณ์แล้วนั้น… มีตั๋วเงินก็เพียงพอแล้ว
หลานเยาเยามองตรงไปราวกับไม่มีคนเหล่านั้นอยู่ พลางหันมองไปยังองค์หญิงจาวหยาง เอ่ยขึ้นอย่างกวนๆ
“เจ้าดูสิ เจ้าดู เจ้าเป็นคนดีเสียเปล่าจริงๆ พวกมันต้องการตั๋วเงิน ข้าให้พวกมันได้ แต่พวกมันต้องการตัวเจ้าจะทำอย่างไรดี?”
“ข้า ข้าจะไม่ทำให้เจ้าต้องลำบากไปด้วย แต่ให้ตายอย่างไรข้าก็จะไม่ให้พวกมันได้สมหวัง”
เยาเยาเพิ่งก้าวเข้าจวนเป็นพระชายาเสด็จอาหมาดๆ นางจะทำให้มีปัญหาไม่ได้ หากคนพวกนี้กล้าทำอะไรกับนาง นางก็จะทุ่มศีรษะตายที่นี่ไปเลย
โห!
สาวน้อยช่างกล้าหาญเสียจริง
“อย่า อย่า อย่า วันนี้เป็นมงคล อย่าให้เกิดเลือดตกยางออกอะไรเลย ไม่อย่างนั้นจะไม่มงคลเอาเสีย”
พูดไปพลางยื่นมือนำตั๋วเงินโยนไปยังมือองค์หญิงจาวหยาง สองมือซ้อนเข้าหากัน “กร๊อบ กร๊อบ” กระดูกลั่นตามข้อมือของนาง
โจรที่ถูกมองข้ามเหล่านั้นต่างไม่มองหลานเยาเยาอยู่ในสายตา เพราะสำหรับพวกมันแล้วหลานเยาเยาก็เป็นเพียงหญิงร่างผอมอ่อนแอ ไม่มีเรี่ยวแรงแถมยังอัปลักษณ์
ดังนั้น!
หัวหน้าโจรกล่าวขึ้นอย่างดุดัน “อาจหาญไม่สนใจข้า ข้าจะจัดการพวกเจ้าให้ดู”
เพียงเขาพูดจบลง กลับเห็นใบหน้าของหญิงที่เขาคิดว่าอ่อนแอไม่มีเรี่ยวแรง กลับปรากฏเบื้องหน้าเขารวดเร็วราวปีศาจ
แล้วพลันกำมือหนึ่งก็พุ่งเข้ามา สายตาเขาพลันดำมืดขึ้นครึ่งหนึ่ง จากนั้นกลับมีอีกกำมือหนึ่งพุ่งตรงเข้ามา ทำเขาหมดสิ้นสติในทันที
“หัวหน้า หัวหน้า ท่านหัวหน้า…”
ยังไม่ทันได้รับคำสั่งหัวหน้าของพวกเขา ก็พลันเห็นท่านหัวหน้าล้มร่วงลงพื้น อดไม่ได้ที่จะถามหลานเยาเยา “เจ้า เจ้าทำอะไรกับหัวหน้าพวกเรา?”
“แม่เอ้ย ยังดูไม่ออกอีกหรือ?ข้ากำลังสั่งสอนหัวหน้าเจ้าวิธีเป็นหัวหน้าอย่างไรเล่า?” จากนั้นหลานเยาเยาก็จดจ้องไปยังพวกเขา พลางเอามือกุมปากหัวเราะขึ้น “ตอนนี้ถึงเวลาที่ข้าจะสอนวิธีเป็นกุลสตรีให้พวกเจ้าแล้ว”
เพียงพูดจบลง หลานเยาเยาก็พุ่งตัวไปยังพวกเขา แตะเข้าที่ส่วนล่างของพวกมัน เพลงเอ่ยปาก
“หนึ่งขา สองขา สามขา…”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดดังเข้าหูเป็นระยะๆ ทำให้องค์หญิงจาวหยางที่ดูแลตั๋วเงินอยู่ข้างๆ ตกใจกลัวพลางเอ่ยห้ามขึ้น
พระชายาเสด็จอาของนางทำไมจึงดุดันป่าเถื่อนถึงเพียงนี้?
หรือนางควรเข้าไปเตือนดู ให้หลานเยาเยาระวังท่าทีเสียบ้าง?
นางในตอนนี้เป็นคนของจวนเย่อ๋องเชียวนะ!
แต่ยังไม่ทันที่นางจะทำอะไร เสียงอันไพเราะของหลานเยาเยาก็ลอยมา
“รีบมานี่เร็ว ตรงนี้ยังมีอีกคน”
คนอื่นๆ หลานเยาเยาจัดการเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงโจรคนสุดท้ายที่คิดจะหนี แต่ถูกนางกระชากเสื้อกลับมา แล้วเตะเขาจนล้มลงกลับพื้น
นางหันกลับมาถามองค์หญิงที่เพิ่งเดินมาอยู่ข้างนาง
“เจ้ายังดีอยู่ใช่ไหม?”
องค์หญิงจาวหยางความคิดว่างเปล่า พลันสั่นศีรษะไปมา
นางมึนงงไปหมดแล้ว และนางก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ความรู้สึกของนางดีหรือไม่ดี
“อย่างนั้นเจ้าก็เตะมัน เตะแรงๆ เลย เตะจนอารมณ์ดีขึ้นถึงจะหยุด”
องค์หญิงจาวหยาง “…” นี่มันเป็นเรื่องอะไรกัน?
โจร “…”
ขอพวกเจ้าโปรดเข้าใจความรู้สึกของโจรด้วย
เพียงดูท่าทางลังเลขององค์หญิงจาวหยางแล้ว ใจของโจรผู้นั้นมีเพลิงของความหวังแห่งการอยู่รอดขึ้นมาทันที
เมื่อครู่นางสัมผัสได้แล้ว แม่นางที่รูปร่างแช่มช้อยงดงามคนนั้น จิตใจเมตตา มองดูก็รู้ว่าเป็นคุณหนูจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ จะกล้าลงมือได้อย่างไร!
“อ้าก…”
โจรคนนั้นถูกองค์หญิงจาวหยางเตะครั้งหนึ่ง ก็มึนงงล้มลงไปแล้ว
แม่เอ้ย ไหนคุณหนูผู้สูงศักดิ์?ไหนหรือจิตใจเมตตา?
“เยาเยา ข้าเป็นสตรีที่รู้หนังสือมีการศึกษาทั้งยังอ่อนโยนและชาญฉลาด จะไม่ถูกเจ้ายุยงไปทำร้ายคนอื่นหรอก”
เพิ่งพูดจบลง นางก็รีบยกเท้าขึ้นเตะโจรอีกรอบหนึ่ง
คาดไม่ถึงเลย… การทำร้ายคนอื่นจะสะใจถึงขนาดนี้!
“… เจ้าเตะขาของเขาทั้งสองข้างแล้ว และยังเตะได้แรงกว่าข้าอีก”
องค์หญิงจาวหยางนี้เห็นอ่อนโยนเหมือนจะอ่อนแอ แต่กลับแรงเยอะเอาการเลยนะเนี่ย!
เอ่อ?
หรือว่านางทำคนอื่นเสียคนไปแล้วหรือนี่?
ในขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าจะเข้าไปไปห้ามการกระทำอันป่าเถื่อนขององค์หญิงจาวหยางหรือไม่ นางก็เห็นองค์หญิงจาวหยางยื่นตั๋วเงินในมือของนางมาให้ แล้วจึงเตะและต่อยโจรอีกครั้ง
“เออ เออ เจาหยาง…”
“เรียกข้าโหลวเย่ว”
เรียกอะไรเจาหยาง นั้นมันแค่ชื่อศักดิ์ของนางเท่านั้น เรียกแล้วเปิดเผยบรรดาศักดิ์ของนาง เรียกว่าโหลวเย่วจะสนิทสนมกว่า!
“โอ ได้ๆ โหลวเย่ว!เป็นสตรีไม่ควรจะป่าเถื่อนอย่างนี้ จะมีผลกับภาพลักษณ์อันงดงามของเรา”
คำพูดนี้เหมือนจะมีผลกับโหลวเย่วที่กำลังจะทำร้ายโจรผู้นั้นในทันที นางรีบหยุดการกระทำของนาง และมองมายังหลานเยาเยาด้วยความเก้อเขิน
“เจ้าพูดดูมีเหตุผล!”
“นี่เป็นการออกมาครั้งแรกของเจ้า ข้าควรสอนเจ้าหลักเกณฑ์ของมนุษย์อยู่ข้อหนึ่ง วิธีรับมือกับคนชั่ว พวกเราอย่าได้ทำรุนแรง แต่ต้องปฏิบัติด้วยความอ่อนโยนเช่นนี้”
หลานเยาเยาถอยหลังหนึ่งก้าว เตรียมพร้อมร่างกาย ไม่พูดพร่ำทำเพลงใดๆ ออกแรงเหยียบลงไปเต็มที่ เมื่อได้ยินเสียงร้องโอดครวญ จึงเตะเข้าไปอย่างดุดันอีกรอบ
เมื่อเห็นหลานเยาเยาที่หยุดไม่อยู่แล้ว โหลวเย่วกลืนน้ำลายลงไป พลางถกแขนเสื้อขึ้น พร้อมเข้าร่วมสู้ในสมรภูมิที่สู้กันอยู่ฝ่ายเดียว
โจรผู้นั้นถูกทำร้ายทารุณ อยากร้องไห้แต่กลับไม่มีน้ำตา
สวรรค์เอย!พื้นพสุธาเอย!
แม่นางทั้งสองตอนนี้ดูราวกับเป็นบ้า
ในขณะนั้น!
น้ำเสียงที่อ่อนโยนราวสายลมฤดูใบไม้ผลิก็ดังขึ้น “แม่นางทั้งสองต้องการความช่วยเหลืออะไรหรือไม่?”
เสียงอะไรกัน!
เสีงชกต่อยและเสียงอวดครวญชะงักงันในทันที ทั้งสามคนต่างหันไปยังต้นเสียง ชายที่สง่างามมีภูมิความรู้คนหนึ่งยืนอยู่ไม่ไกล มองมาพวกเขาด้วยรอยยิ้มที่เสมือนไม่ยิ้ม
เบื้องหลังเขายังมีชายรูปงามอีกสองคน ชายทั้งสองในตอนนี้ต่างอ้อปากค้างราวกับสามารถใส่ไข่เป็ดทั้งฟองลงไปได้
เอ่อ…
ทั้งสามมิใช่สามองค์ชายในเจ็ดองค์ชายแห่งเมืองหลวงหรอกหรือ ทั้งสามมาปรากฏตัวที่ได้ได้อย่างไร?
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง!”
หลานเยาเยาถอนหายใจเบาๆ อย่างยืนขึ้น แล้วศอกสะกิดโหลวเย่วที่แน่นิ่งไปแล้ว
เมื่อเห็นนางเรียกสติกลับมาได้แล้ว นางรีบแสร้งทำเป็นไม่มีเรื่องอะไรพลางเอ่ย “วันนี้อากาศดีมาก ออกกำลังยืดเส้นยืดสายแล้วสบายขึ้นเยอะ ตอนนี้ก็ขอมอบพวกมันให้กับพวกเจ้าแล้วกัน ให้พวกเจ้ายืนเส้นสายบ้าง”
โจรผู้นั้น “…”
ในตอนแรกคาดว่าทุกอย่างจบลงแล้ว โจรผู้นั้นเมื่อได้ยินคำพูดของหลานเยาเยาก็เป็นลมล้มลงไป