หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 613 พาเจ้า ให้เจ้าทำตัวรุ่มร่าม
เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขา หลานเยาเยาไม่ได้เห็นอกเห็นใจ แต่กล่าวด้วยความดูหมิ่น :
“ทั้งไม่อยากสูญเสียสำนักหงอี และไม่กล้าหักหลังหานแส นี่คือการเหยียบเรือสองแคบ พูดน่าฟังหน่อยคือสอดแนมทั้งสองฝั่ง พูดน่าเกลียดหน่อยคือชายชั่ว”
ป่ายเม่ยเซิงตะลึงเล็กน้อย ถามเบาๆประโยคหนึ่ง :
“ชายชั่ว? หมายความอย่างไร?” เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนนี่!
ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้ขณะที่เคยลังเลว่าจะต้องเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของตัวเองต่อยู่หลิวซูหรือไม่ ตัวเองอยู่หน้ากระจกตั้งใจทำท่าทางที่น่าสงสาร แม้ตัวเขาเองก็ล้วนเห็นอกเห็นใจตัวเองแล้ว
พูดตามหลัก ควรจะได้รับความเห็นอกเห็นใจถึงจะถูก
ทำไมเมื่ออยู่ต่อหน้าของซ่างกวนหนานซู่ผู้นี้ที่ดูเหมือนสง่างามและมีมโนธรรม ถึงใช้ไม่ได้ล่ะ?
“ขี้เกียจมากความกับเจ้า” หลานเยาเยาไม่อยากเปลืองเวลากับเขาที่นี่ มองดูส้งเย่นกุยแวบหนึ่ง “มัดเขาไว้ ส่งไปที่หานแสทางนั้นก่อน แล้วค่อยส่งไปที่สำนักหงอี ดูว่าเขาจะเป็นชายชั่วอย่างไรได้อีก”
ได้ยินดังนั้น!
ป่ายเม่ยเซิงหน้าซีด อยากจะพูดว่าไม่เอา ก็ถูกส้งเย่นกุยหยิบมุกเย่หมิงออกมาจากในช่องว่างที่ระบบรักษามาอุดปาก และหยิบเทปผ้าสำหรับการรักษามาปิดผลึก
หลานเยาเยามองไม่ชัด ไม่รู้ว่าส้งเย่นกุยยัดของอะไร
“อาส้ง เจ้าเอาอะไรยัดปาก?” ทำไมดูเหมือนไข่มุกเม็ดใหญ่กลมเกลี้ยงน่าดู?
“ลูกแก้วไร้คุณภาพเม็ดหนึ่ง” ส้งเย่นกุยพูดมั่วซั่วด้วยท่าทางจริงจัง
“หืม? จริงหรือ?”
ในช่องว่างที่ระบบรักษาของนางวางสิ่งของที่ไร้มูลค่าไว้ด้วย?
ไม่มีเหตุผลนี่!
ดีที่ภาพลักษณ์ของส้งเย่นกุย ในความทรงจำของนาง ซื่อสัตย์ภักดีมาตลอด เจ้าระบบที่จะไม่โกหกนาง
ดังนั้น นางไม่ได้สงสัยในคำพูดปลดของส้งเย่นกุย
……
หลังจากนั้นครึ่งชั่วยาม
ในทะเลสาปหนานหู บนเรือลำเล็ก
นอกจากคนขับเรือที่พายเรือ ในเรือเล็กยังมีคนอีกสามคน สองคนนั่งตรงข้ามกัน คนหนึ่งถูกปิดปากไว้นอนอยู่บนเรือ
ตลอดทาง ป่ายเม่ยเซิงจ้องเขม็งจนตาแทบบอดแล้ว ก็คือไม่มีคนมองเขาสักแวบ เริ่มแรกคนขับเรือให้ความสนใจเขาแล้ว ช่วยไม่ได้เขาสวมชุดไม่เรียบร้อย เสื้อผ้าเปิดครึ่งหนึ่ง ยังสามารถมองเห็นบาดแผลได้ทุกที่ แค่มองก็ไม่ใช่คนดี
แต่อีกสองคน ผู้หนึ่งสุภาพหล่อเหลา สง่างามดั่งหยก ดูนุ่มนวลอ่อนโยน ผู้หนึ่งท่าทางแก่กว่าเล็กน้อย ไว้หนวดเคราสองข้าง ดูเหมือนปัญญาชน แต่กับไม่เปื้อนโลกีย์บนโลก
ทั้งสองที่เป็นเช่นนี้ จะดูอย่างไรก็เป็นคนดี จึงได้ทำเป็นเมินเฉยซะ ทำเป็นมองไม่เห็น ยังไงซะไม่เกี่ยวกับเขา เขาเป็นเพียงคนขับเรือ
ทะเลสาปหนานหูคลื่นน้ำกระเพื่อม หมอกขาววนเวียน ล้อมรอบภูเขา สะอาดเหมือนดั่งไม่เปื้อนโลกีย์โลกมนุษย์ เขาเขียวน้ำมรกตในที่ไกล เรือเล็กพายไปทางภูเขาเตี้ยๆลูกในที่ไกลๆ งดงามดั่งภาพม้วนทิวทัศน์ธรรมชาติที่งดงามเป็นเลิศ
เข้าใกล้ระหว่างกลางภูเขาสองลูกแล้ว เข้าไปอีกก็เป็นหมอกใหญ่ครอบคลุม มองเห็นทางข้างหน้าไม่ชัดโดยสิ้นเชิง
คนขับเรือเตรียมเลี้ยวกลับ
“คนขับเรือ ทำไมไม่ไปแล้ว?” หลานเยาเยาถามอย่างไม่เข้าใจ
“เข้าไปอีกก็อันตรายแล้ว ด้านหน้าเป็นน้ำตกที่เป็นเหวสูง ไปไม่ได้ ไปไม่ได้ขอรับ”
สำหรับคำถามของเขา คนขับเรือคุ้นชินแล้ว เขาเคยบรรทุกลูกค้ามากมาย ส่วนใหญ่ล้วนถามเหมือนกัน เขาก็ล้วนอธิบายอย่างอดทน
หลานเยาเยาเบิกตาโพลงเล็กน้อย
น้ำตกเหวสูง? เป็นไปได้อย่างไร? หากว่าเป็นน้ำตกเหวสูง คนของถังเฉิงเสี้ยงจะขนสิ่งของที่ต้องการในการสร้างเรือเข้าไปได้อย่างไร?
หลานเยาเยาถีบป่ายเม่ยเซิงเท้าหนึ่ง หลังจากได้ยินเสียงที่เปล่งออกมาอย่างไม่พอใจ จึงโน้มตัวลงไป พูดเบาๆข้างหูของเขา :
“ข้าจะบอกกับเจ้า คนโดนมนต์ดำกับเจ้าของเรือของเจ้ามีความเกี่ยวข้องกันใหญ่หลวง ยังมีทูตแต่ละประเทศที่มาเมืองหลวง ถูกลอบฆ่าอย่างต่อเนื่อง จำนวนคนมากมาย เทียบได้กับทหารม้าหลายหมื่นเชียว
นักฆ่าบางคนจะปิดบังดีอย่างไร ก็ปิดบังนิสัยเลวทรามเดิมตอนที่อยู่ยิงจวนไว้ไม่อยู่ เป็นนักฆ่าศพแห้งยิงจวนหลายปีขนาดนั้น ทุกการกระทำทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา กับความคุ้นชินที่สะสมมาหลายปี ไม่ใช่ว่าจะสามารถเปลี่ยนได้ชั่วข้ามคืน
เจ้ารู้ว่าในเวลานี้ สกัดกั้นสังหารทูตแต่ละประเทศหมายถึงอะไรไหม?หากไม่ทำให้กระจ่าง หรือหยุดการทำลายได้ทันเวลา แผ่นดินใหญ่ผืนนี้ก็ตกอยู่ในสงครามที่ไม่สิ้นสุด
เจ้าคิดว่าชื่อเสียงบุรุษพันหน้าของเจ้ายิ่งใหญ่มาก?
ทันทีที่เกิดสงครามใหญ่ เจ้าป่ายเม่ยเซิงก็เพียงแค่ฝุ่นเม็ดหนึ่งเท่านั้น
ไม่เอ่ยถึงเจ้า ถึงเวลา สำนักหงอี ยิงจวน ยังมีเรือแห่งความสิ้นหวัง ล้วนแค่เท่านั้น สุดท้ายกลายเป็นเหยื่อสังเวยในสงคราม
ความหนักความเบา เจ้าชั่งน้ำหนักเอง”
เหตุผลที่เอาเรื่องบอกป่ายเม่ยเซิง เพื่อต้องการให้เขาไตร่ตรองสถานการณ์โดยรวม หากว่ายังลำบากใจทั้งสองด้าน เขาก็ไร้ทางเยียวยาแล้ว
ป่ายเม่ยเซิงเบิกตาโพลง
เขาไม่รู้ว่ายังมีเรื่องนักฆ่าซุ่มสังหารทูตโดยสิ้นเชิง ดูท่าแล้ว สถานการณ์ยังอันตรายเป็นอย่างมากด้วย
กำลังคิด ก็ถูกคนถีบอีกเท้า ถีบเข้าหน้าเขาพอดี มุกเย่หมิงในปากชนกับฟันอย่างรุนแรง เจ็บราวกับฟันถูกชนแตกแล้ว
“คิดดีหรือยัง?”
“……” ป่ายเม่ยเซิงไม่รู้จะพูดอะไรในพริบตา จ้องซ่างกวนหนานซู่อย่างดุดันแวบหนึ่ง
เพิ่งจะพูดจบ ยังบอกให้เขาชั่งน้ำหนัก เขาก็กำลังชั่งน้ำหนักไง?
ถีบเขามีความหมายกี่อย่าง?
ให้เวลาเขาคิดดีดีแล้วหรือ?
แต่ทว่า
คนที่ก้มมามองดูเขา ราวกับว่าเข้าใจสิ่งที่เขาคิดในใจ บีบรอยยิ้มที่น่ากลัวออกมา เสียงแฝงด้วยความยั่วยวน
“คิดดีแล้วหรือ? ถ้าไม่ลงไปเป็นอาหารปลา ก็พาข้าไปหาเจ้าของเรือของเจ้า”
เขาไม่ได้พูดชื่อหานแสออกมา และไม่มีการเอ่ยถึงการสร้างเรือแห่งความสิ้นหวังอีกครั้ง
ก็คือกลัวหลังจากจบเรื่องแล้ว คนขับเรือจะถูกฆ่าปิดปาก
คำถามนี้ ก็ไม่ได้ให้โอกาสป่ายเม่ยเซิงไตร่ตรองเหมือนกัน ฐานะที่หลานเยาเยาเป็นพวกปฏิบัติ ทันทีที่พูดจบ ก็คว้าเชือกที่มัดป่ายเม่ยเซิง ลากเขาแล้วไปทางท้ายเรือ
ทีแรกป่ายเม่ยเซิงไม่มีความกลัว แต่เมื่อถึงท้ายเรือ ศีรษะสัมผัสถูกน้ำนาทีนั้น เขากลัวแล้ว
จะบอกว่ากลัว บอกว่าไม่สมัครใจยังดีซะกว่า
ทักษะน้ำดีเลิศแบบเขา จมน้ำตาย? ชั่งแค้นใจแล้ว
เขาไม่ยินยอม
จะตายก็ไม่สามารถตายไปอย่างไร้วี่แววได้
เขาพยายามงอตัวขึ้น ส่ายหัวต่อซ่างกวนหนานซู่ที่ต้องการโยนเขาลงในทะเลสาบ
—
หลังจากหมอกที่หนาทึบ ยังคงเป็นทะเลสาบที่น้ำใสสวยงามเป็นที่สุด เพียงแต่หลังจากเขาทั้งสอง ไม่ได้เป็นภูเขาเชื่อมต่อ แต่เป็นป่าทึบ ริมฝั่งเชื่อมกับผิวทะเลสาบ
บนผิวทะเลสาบมีศาลาเล็กๆหลังหนึ่ง งามสง่า ในศาลายังมีชุดเครื่องใช้ดื่มชาและขนม เหมือนกับว่ามีคนมาดูทิวทัศน์ที่นี่บ่อยๆ
มีคนสามคนมาจากฝั่งด้านหนึ่ง ขึ้นฝั่งเงียบๆ
คนขับเรือไม่กล้าพายเรือข้ามผ่านหมอกหนา พวกเขาทำได้เพียงลงน้ำเอง ว่ายข้ามไป
ความจริงน้ำตกเหวสูงอะไรมีที่ไหน?
เป็นเพียงน้ำตกสูงสามเมตรเท่านั้น ดูจากด้านบนค่อนข้างน่ากลัวมาก หลังจากลงไปแล้วก็ไม่มีอะไร
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาทะลุผ่านหมอกหนาอย่างรวดเร็ว เห็นริมฝั่งแล้ว
ทั้งตัวเปียกโชก บนตัวป่ายเม่ยเซิงที่ไม่ได้ถูกมัดแล้ว เพิ่งต้องการจะยืดอก เพื่อกอบกู้เกียรติของตัวเอง ก็ถูกสะกดจุดอย่างฉับพลัน
แววตาชำเลืองมอง ก็เห็นซ่างกวนหนานซู่และอาส้งกระโดดไปอีกทางแล้ว
“นี่ พวกเจ้าไปไหน? เดินผิดทางแล้ว”
เขาเตือนอย่างหวังดี กลับไม่มีคนสนใจเขา ป่ายเม่ยเซิงก็จนปัญญา
ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็กลับมาแล้ว ป่ายเม่ยเซิงยิ้มแล้ว
“บอกแล้วว่าเดินผิดทาง ยังไม่เชื่อ……”
เพียงแค่ยังพูดไม่จบ สายตาเขาก็ตกไปบนเสื้อผ้าของพวกเขา ทำได้เพียงหุบปากอย่างว่านอนสอนง่าย
คนอื่นเขาไปหาทางที่ไหน?
เห็นได้ชัดว่าคนอื่นเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
พวกเขามาหาคนด้วยความร้อนใจหรือ? ดูท่าทางเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ามาเที่ยว
อย่างไรเสียเขากลายเป็นคนผู้หนึ่งที่รีบร้อนที่สุด ไม่มีเหตุผลนี่!
“นี่ พวกเจ้ามีน้ำใจหรือไม่? เปลี่ยนเสื้อผ้าก็ไม่พาข้าด้วย”
ประโยคนี้ แลกการขึ้นเสียงของส้งเย่นกุยมาได้สำเร็จ และได้รับการเหยียดหยาม
“พาเจ้า ทำเจ้าทำตัวรุ่มร่าม?”
“…….”
ป่ายเม่ยเซิงมุมปากกระตุกอย่างแรง
เป็นผู้ชายหมด เขามีอะไรให้ทำตัวรุ่มร่าม เขาไม่ได้ชอบผู้ชายด้วยกัน