หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 621 เหมือนดั่งวาจาของเพื่อนเก่า
เวลาเที่ยงวันต่อมา ในห้องส่วนตัวหรูหราเงียบสงบห้องหนึ่ง ด้านในตกแต่งอย่างเรียบง่าย บนโต๊ะ มีน้ำชาของว่าง ของว่างยังไม่ถูกแตะต้อง มีแก้วชาสองใบที่ถูกขยับ ด้านในมีน้ำชาครึ่งแก้ว ยังมีควันร้อนลอยขึ้นมาอยู่ แต่กลับไม่เห็นเงาใครสักคน
ในห้องด้านใน หญิงสาวผู้หนึ่งสีหน้าซีดขาวนอนอยู่บนเตียงอย่างไม่สงบสุข บนหน้าผากเหงื่อเล็กผุดเต็มไปหมด จิตใต้สำนึกกำลังคว้าผ้าห่มแน่น
ฉับพลันนั้น!
นางสะดุ้งตื่นจากความฝัน มองทุกอย่างด้านหน้าอย่างสับสน
นี่คือที่ไหน?
นางจำได้ว่าลอบสังหารไม่สำเร็จ กลับถูกโจมตีได้รับบาดเจ็บสาหัส เดิมทีหานแสปรารถนาจะฆ่านาง เหมือนกับว่าเป็นเพราะซ่างกวนหนานซู่ถึงไว้ชีวิตนาง ต้องการเอานางทำเป็นเหยื่อ ไม่รู้ว่าต้องการพิสูจน์อะไร
โดยสรุป
นางไม่ตาย ยังฟื้นมาอยู่ที่นี่อย่างแปลกประหลาด
นี่จะต้องเกี่ยวข้องกับซ่างกวนหนานซู่ผู้นั้นแน่
ฮัวหยู่อันกุมหน้าอก ไม่ได้เจ็บปวดอย่างที่คิดไว้ อีกทั้งทั้งปากของนางเต็มไปด้วยความขมฝาด นางรู้เป็นเพราะกินยาเป็นเหตุ
ค่อยๆยันร่างกายตัวเองขึ้นจากเตียง หลังค่อมนิดหน่อย เดินไปทางห้องด้านใน
ด้านในไม่มีคน ฮัวหยู่อันเตรียมตัวเดินไปดูทางด้านนอก เพิ่งเดินถึงประตูห้อง พบกับชายผู้หนึ่ง
ผิวพรรณขาวสะอาดมีเลือดฝาด สีหน้าเต็มไปด้วยความสุข สวมชุดสีอ่อน ดูหล่อเหลาสง่างาม เห็นนางปรากฏตัวกะทันหัน ในแววตามีประกาย
“เจ้าฟื้นแล้ว?”
เป็นเสียงของชายผู้นั้น สดในน่าฟัง ไพเราะ
“อืม!”
ฮัวหยู่อันพยักหน้าเบาๆ มองดูแล้วถามชายผู้นั้น : “เป็นเจ้าช่วยข้า?”
“แน่นอน ไม่เช่นนั้นเจ้าจะปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร? ในเมื่อเจ้าฟื้นแล้ว พวกเรามาพูดคุยกันเรื่องช่วยเหลือเจ้า ข้าช่วยชีวิตเจ้าไว้ครั้งหนึ่ง เจ้าควรจะตอบแทนข้าอย่างไร?”
ด้วยความตรงไปตรงมาของคนด้านหน้า ฮัวหยู่อันรู้สึกตะลึงเล็กน้อย นางตาละห้อยลง พูดด้วยเสียงต่ำ
“คุณชายมีเมตตาใหญ่หลวง ข้าไม่มีอะไรจะตอบแทน ในบ้านมีเหรียญเงินเล็กน้อย ยินยอมมอบให้ทั้งหมด”
“เหรียญเงิน? เอ๊ะ ไม่ถูกนี่! ไม่ใช่ว่าควรสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันหรือ?”
หลานเยาเยาจำได้อย่างชัดเจน ครั้งแรกพบกับเสี่ยวฮัวในป่าทึบ นางช่วยชีวิตเสี่ยวฮัว นางอยากได้ทรัพย์สินเป็นการตอบแทน เสี่ยวฮัวต้องการสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกันให้ได้
ตอนนี่นางช่วยนางอีกรอบ ท่าทีของนางกลับกันโดยสิ้นเชิง สีหน้าเรียบเฉย กระทั่งมีความต่ำต้อยเล็กน้อย ราวกับว่าเข้าใจโลกมากขึ้น
ได้ยินดังนั้น!
ฮัวหยู่อันตะลึงเล็กน้อย สังเกตดูผู้ชายตรงหน้าอย่างละเอียด เลิกคิ้วเล็กน้อย มุมปากอมยิ้ม และกำลังมองจดจ่อที่นาง
แต่นางดูไม่ออกจริงๆ ที่คนผู้นี้กล่าวคือหยอกล้อ หรือว่าจริงจัง
“คุณชายเหมือนดั่งหยก เป็นคนสูงส่งเป็นแน่ ข้าเป็นเพียงคนด้อยค่า ไม่กล้าเอื้อมเด็ดขาด หากว่าคุณชายไม่ชอบเหรียญเงิน ข้ายินยอมเป็นทาสเป็นคนรับใช้ เพื่อตอบแทนบุญคุณที่คุณชายช่วยชีวิต”
หลานเยาเยายิ้มอ่อน
ผ่านการทดสอบอันยิ่งใหญ่ไปไม่กี่ปี เสี่ยวฮัวเข้าใจการพลิกแพลงอย่างมากนี่นา!
แต่ว่า ได้พบนาง การพลิกแพลงเช่นนี้ใช้ไม่การแล้ว
“เหรียญเงิน ใครไม่ชอบ? เพียงแค่ข้างกายข้าขาดสาวใช้ผู้หนึ่งจริงๆ ในเมื่อเจ้าเป็นคนเสนอเรื่องนี้เอง เช่นนั้นก็เป็นสาวใช้ของข้าเถอะ!”
ฮัวหยู่อันพูดไม่ออกชั่วขณะ
เพียงแค่คำพูดอย่างเกรงใจประโยคหนึ่ง ไม่คาดคิดว่าคุณชายผู้นี้จะทำเป็นเรื่องจริงแล้ว
เขาสวมชุดหรูหรา ราศีไม่ธรรมดา ไม่เหมือนกับคนที่ขาดแคลนสาวใช้ คงไม่ได้เป็นคนป่าเถื่อนในคราบผู้ดี คิดลามกกับนางหรอกนะ?
เห้อ!
ต้องโทษตัวเองที่มีเสน่ห์เกินไปแล้ว
คิดเช่นนี้ ฮัวหยู่อันดีใจอยู่ในใจ แต่ว่าเมื่อคิดถึงคนในเผ่าที่ตายไป ความดีใจเมื่อครู่ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยในพริบตา
เป็นสาวใช้ข้างกาย ก็ไร้อิสระ เช่นนั้นนางก็ไม่สามารถล้างแค้นได้ตามปรารถนาแล้ว
ครุ่นคิดไปมา ฮัวหยู่อันอยู่ในความลังเล
ในที่สุดนางแอบถอนหายใจ
นางบาดเจ็บภายในสาหัส จะไม่หายดีในเวลาอันสั้น อีกทั้ง บุญคุณยิ่งใหญ่อยู่ด้านหน้า นางจำเป็นต้องตอบแทนบุญคุณก่อน อย่างอื่นเอาไว้ด้านหลังก่อน
หลานเยาเยาตั้งใจขมวดคิ้ว อีกทั้งรอยยิ้มหายไป
“ทำไม ไม่ยินยอม?”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ สามารถติดตามข้างกายคุณชายได้ เป็นความโชคดีที่ข้าได้สะสมความดีจากชาติที่แล้ว”
“อืม น่าจะเป็นจริงตามนี้ เจ้าโชคดีมาก ถึงได้พบข้า” หลานเยาเยาไม่รู้สึกไม่เหมาะสมเลยสักนิด
ฮัวหยู่อัน : “…….”
พูดเช่นนี้ต่อหน้านางดีจริงๆหรือ? ทำไมรู้สึกว่าคนผู้นี้ค่อนข้างหลงตัวเองนะ?
ความคิดในใจของนาง แต่นางไม่สามารถพูดได้ พูดแล้วกลัวว่าจะโดนตี
“ในเมื่อเป็นสาวใช้ของข้าแล้ว เช่นนั้นข้าจะตั้งชื่อให้เจ้า” และไม่ได้สนใจว่าฮัวหยู่อันจะเห็นด้วยหรือไม่ หลานเยาเยาก็ก้มหน้าคิดชื่อแล้ว ในไม่ช้า ดวงตานางเปล่งประกาย เมื่อเปิดปาก “ไอติมน้อย น่องไก่น้อย นมหมูน้อย ขาหมูน้อย ปีกย่างน้อย……”
พูดออกมาเป็นกอง
ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับของกิน แม้ว่ามีบางคำที่ฮัวหยู่อันฟังไม่เข้าใจ แต่จากอดีตนางก็นับได้ว่าเป็นนักกินที่มีฝีมือ ไม่ต้องเข้าใจ ก็รู้ว่าต้องเป็นของกินแน่นอน
ท่าทางการแสดงออกของฮัวหยู่อันไม่สามารถอธิบายได้ นางรู้สึกว่าตัวเองถูกทำเป็นอาหารจานหนึ่งแล้ว
แต่ว่า ก็เพราะสิ่งนี้ ในใจนางมีความอบอุ่นขึ้นในพริบตา
ต่อต้านประโยคหนึ่งเบาๆ : “เหมือนกับว่าจะไม่น่าฟังทั้งหมด”
ฮัวหยู่อันรู้สึกว่า ทั้งๆที่เป็นแค่การต่อต้านเสียงเบาๆมากๆเท่านั้น คนอื่นน่าจะฟังไม่ชัดว่านางพูดอะไรอยู่ แต่สายตาหนึ่งยิงมา คนด้านหน้าหรี่ตาลง กล่าวด้วยเสียงหนักแน่น :
“ไม่น่าฟัง? เจ้ากำลังสงสัยความสามารถในการตั้งชื่อของข้า?” ฮัวหยู่อันโบกมือ น่าจะเป็นการขอโทษ หรือแก้ตัวให้ตัวเอง หลานเยาเยาเปิดปากสกัดกั้นนางโดยตรง “ช่างเถอะ เห็นร่างกายเจ้าบาดเจ็บ ไม่เหมาะที่จะเอาชื่อมาทำให้เจ้าไม่สบายใจ แบบนี้ เจ้าชื่อฮัวหยู่อันสินะ? เช่นนั้นเรียกว่าเสี่ยวฮัวก็ได้แล้ว”
เมื่อคำพูดนี้โพล่งออกไป!
ฮัวหยู่อันตกตะลึงไปตรงนั้น
การเรียกที่คุ้นเคยอย่างมาก ทำให้นางคิดถึงช่วงเวลาที่เคยมีความสุขนั้นอย่างฉับพลัน น่าเสียดายบุคคลผู้นั้นที่สามารถนำความสุขมาให้นางได้ไม่อยู่ตั้งนานแล้ว
ตอนนี้มีคนเรียกนางเช่นนี้ นางรู้สึกได้ถึงความอบอุ่น
“ทำไม? ยังไม่ชอบอีก? ข้าเป็นถึงซ่างกวนหมอเทวดา น่าเกรงขามมากมีความโกรธมาก ไม่ว่าชอบหรือไม่ ยังไงซะก็จะเรียกเจ้าว่าเสี่ยวฮัวแล้ว”
พูดจบ!
หลานเยาเยาหันศีรษะ หมุนตัวแล้วจากไป
ฮัวหยู่อันมองส่งนางจากไปไกล ในตามีน้ำตาที่ส่องประกายเล็กน้อย เอ่ยปากพึมพำ:
“ชอบ!”
เขาคือซ่างกวนหนานซู่จริงๆ
แต่ทำไมเขาถึงต้องการช่วยตัวเอง?
…….
ครึ่งเดือนผ่านไป
เรื่องทูตแต่ละประเทศถูกลอบสังหาร โดยพื้นฐานได้มีการเจรจาอย่างเหมาะสมแล้ว เพราะวันนั้นที่ประเทศอื่นนำกองทหารมาประณามความผิด ในราชสำนักปรากฏเงาของอ๋องเย่ อ๋องเย่ไปยืนตรงนั้น ก็คือผู้ที่สามารถแก้ไขเรื่องราวของประเทศก่วงส้า น้ำเสียงการพูดจาของฮ่องเต้องค์ใหม่เย่หลีเฉินก็เพียงพอมากขึ้น
เพราะมีพยานหลักฐานพิสูจน์ว่าเรื่องการลอบสังหาร ไม่ใช่ราชสำนักทำ แต่เป็นฝีมือองค์กรนักฆ่าของยุทธจักร จุดประสงค์เพื่อยุยงให้เกิดสงครามระหว่างประเทศ
ดังนั้น แต่ละประเทศทางวาจาให้ปรองดองสงบศึก ในเบื้องหลังมีความคิดของแต่ละประเทศ
อย่างไรเสียทูตแต่ละประเทศถูกลอบสังหารในประเทศก่วงส้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชดเชยสักหน่อยสิ?
ไม่ใช่นั้นคนก็ตายเปล่าแล้วไม่ใช่หรือ?
ทูตผู้นำแต่ละประเทศเป็นถึงบุคคลสูงส่ง
แต่มีอ๋องเย่อยู่ พวกเขาไม่กล้าเอ่ยถึง
กลับเป็นฮ่องเต้องค์ใหม่เย่หลีเฉินที่เอ่ยขึ้นเอง เรื่องส่งทูตไปแสดงความเสียใจกับแต่ละประเทศ นี่เป็นธรรมดาที่ต้องเตรียมของกำนัลเล็กๆน้อยๆชิ้นหนึ่ง
ความจริงของกำนัลเล็กๆนี้ ทุกคนล้วนรู้ดี ก็คือการชดเชย
แต่ว่า…….
เดิมทีเรื่องชดเชยการลอบสังหารทูตและไปแต่ละประเทศนั้นแยกกัน ตอนนี้เป็นเช่นนี้ รวมกันเป็นเรื่องเดียว ของกำนัลเล็กๆน้อยๆชิ้นหนึ่งก็ได้แล้ว
ทูตที่นำกองทหารมาประณามความผิดแอบด่าในใจ มีอ๋องเย่ให้ท้าย เย่หลีเฉินก็เพียงหมาป่าเจ้าเล่ห์เท่านั้น
แต่ทว่า ถึงจะไม่พอใจ พวกเขาก็พูดอะไรไม่ได้
หากว่าต้องเปิดสงครามจริง เช่นนั้นก็ตกในกับดักของผู้อื่นแล้ว ผลลัพธ์จะต้องได้ไม่คุ้มเสียเป็นแน่
ดังนั้น เรื่องทูตถูกซุ่มสังหาร จบไปอีกครั้ง อย่างน้อยในช่วงนี้ จะไม่เกิดสงคราม สามารถฉลองปีใหม่ได้อย่างสงบสุข
ด้วยเหตุนี้ วันที่สามหลังจากที่คนของแต่ละประเทศจากไป ราชสำนักจึงมีความสงบสุขปล่อยออกมา จากเจ็บวันเปลี่ยนเป็นสิบวัน ทำให้แต่ละครัวเรือนขึ้นปีใหม่อย่างดี
อย่างไรเสียหลังจากผ่านปีนี้ ไม่รู้ว่าที่ต้องเผชิญหน้าจะเป็นความสงบสุขหรือความวุ่นวาย