หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 664 เข้าใจเสียงฟ้าร้อง
ในดวงตาของพวกเขามองดูสิ่งของยิ่งใหญ่แข็งแกร่ง ยิ่งเข้าใกล้มาเรื่อยๆ จิตใจของเหล่าชาวประมงแต่ละคนล้วนตระหนกขึ้นมา ใกล้แล้วใกล้แล้ว หลังจากพบว่าเป็นเรือทำการค้าขนาดใหญ่มากใหญ่มากๆลำหนึ่งจริงๆ แต่ละคนทรุดลงไปนั่งบนพื้น สีหน้าดูไม่ได้
รอกระทั่งหลังจากที่เรือหยุดเทียบริมฝั่ง
ผู้ใหญ่บ้านแก่ชราภายใต้การพยุงของคนไม่กี่คน มาถึงข้างเรือแห่งความสิ้นหวังด้วยจิตใจที่มีความหวาดผวา มองดูเรือลำใหญ่อย่างละเอียด สีหน้าตกตะลึง!
ผู้ใหญ่บ้านแก่ชรามีชีวิตมาจนจะลงหลุมแล้ว
ยังเป็นครั้งแรกที่เคยเห็นเรือที่สามารถสร้างได้ใหญ่โตเพียงนี้ อีกทั้งแต่ละคนบนเรือยังสวมเสื้อผ้าหรูหรา ไม่เหมือนคนทำการค้าโดยสิ้นเชิง เหมือนเป็นบรรดาเทพเซียนที่ล่องเรือสวรรค์มาจากวิมานบนท้องทะเล
ระหว่างที่ตกตะลึง
ประโยคแรกของผู้ใหญ่บ้านที่แก่ชรา ถามคนแรกก็คือ:
“คนขับเรือท่านนี้มาจากที่ไหนหรือขอรับ?”
หลานเยาเยามึนงงเล็กน้อย
เพราะอยู่บนเรือตั้งนานขนาดนั้น นางค่อนข้างอุดอู้ จึงลงเรือไปสูดอากาศคนแรก เมื่อถูกชายชราถามเช่นนี้
นางอดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองเรือแห่งความสิ้นหวังแวบหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าด้านบนทำเครื่องหมายว่าเป็นเรือทำการค้า อีกทั้งโครงสร้างและการออกแบบเรือแห่งความสิ้นหวังล้วนสร้างขึ้นตามเรือทำการค้า เพียงแค่ส่วนด้านในเพิ่มเติมสิ่งของมากมาย ซึ่งสามารถใช้เป็นเรือรบได้ในเวลาที่จำเป็น
แต่ว่า!
ลักษณะภายนอกนี้มองไม่ออก
“เจ้าของเรือของข้าล่องเรือบริเวณรอบๆชายฝั่งทำการค้าโดยตลอด ผ่านสถานที่นี้จึงคิดอยากเทียบท่าหาเสบียง ได้ยินว่าที่นี่สินค้าประมงมากมาย หลากหลายชนิด ท่านผู้เฒ่า สินค้าประมงของพวกท่านขายหมดแล้วหรือ?”
เมื่อครู่อยู่บนเรือ นางชำเลืองเห็นทั้งภายในและภายนอกของหมู่บ้าน ทั่วทุกที่ล้วนมีสินค้าจากทะเลแขวนไว้
คิดว่าต้องเป็นเพราะผลกระทบของเสียงฟ้าร้อง
ทำให้คนทำการค้าไม่กล้ามาที่นี่ ทำให้สินค้าการประมงขายไม่ออก
ทันทีที่ได้ยินว่าพวกเขามาทำการค้าที่นี่
ความหม่นหมองบนใบหน้าของผู้ใหญ่บ้านที่แก่ชราถูกกวาดออกไป แล้วเปลี่ยนเป็นเผยสีหน้าความปีติออกมา
พวกเขาหมู่บ้านชาวประมงมีทางรอดแล้ว!
ใบหน้าของเหล่าชาวประมงแต่ละคนก็ปรากฏรอยยิ้ม รีบกลับบ้านเอาสินค้าประมงของบ้านตัวเองออกมา
บนเรือแห่งความสิ้นหวัง เย่แจ๋หยิ่งในชุดดำทรงอำนาจยืนเอามือไขว้หลังอย่างเย็นชา ยืนอยู่บนดาดฟ้าของเรือ ม่านตาลึกล้ำดั่งวังวน ทำให้คนมองเพียงแวบหนึ่งก็หลงไปในนั้นโดยไม่รู้ตัว สายตาเย็นชามองกวาดไปโดยรอบ เมื่อทอดสายตามองไป ขณะมองไกลออกไปทางป่าไม้ที่ไร้ขอบเขตเหมือนดั่งมหาสมุทรผืนนั้น แววตาที่เย็นยะเยือก ดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มความยะเยือกเย็นขึ้น
เมื่อเสียงที่สดใสน่าฟังดังเข้าในหู
เย่แจ๋หยิ่งเก็บสายตากลับ เปลี่ยนและหยุดลงบนตัวของหลานเยาเยาที่กำลังพูดคุยกับชาวประมง สายตาอ่อนโยนขึ้นมากในพริบตา
ด้านหลังเงาสีแดงเดินมาอย่างช้า ยืนข้างกายของเย่แจ๋หยิ่ง ได้ยินคำสนทนาของคนด้านล่างเรือพอดี มุมปากยกขึ้นในพริบตา ค่อนข้างแฝงไปด้วยความโอ้อวด
“ดูเหมือนว่าในใจของผู้ดูแลหลานยังคงมีที่ของข้า ไม่เช่นนั้นเจอปัญหานึกได้เป็นอย่างแรกก็คงไม่ใช่ข้าแล้ว”
สีหน้าของเย่แจ๋หยิ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลง
เพียงแค่กล่าวเยาะเย้ยเล็กน้อยประโยคหนึ่งเท่านั้น:
“ท่านชายหยิ่งทรัพย์สินอิทธิพลมากมาย รับสินค้าประมงจำนวนนี้ไว้ก็เพียงแค่เรื่องเล็กน้อย ฤดูฝน หวังว่าก่อนที่สินค้าประมงจำนวนนี้จะขึ้นราเน่าเปื่อย จะสามารถบริโภคได้หมด”
ความหมายนอกจากคำพูดก็คือ
เรือแห่งความสิ้นหวังไม่ขาดแคลนสินค้าประมง ตอนนี้ต้องการซื้ออีกจำนวนมากขนาดนี้ ทั้งจะเข้าหน้าฝนแล้ว ยังอยู่บนทะเลอีก ง่ายที่เรือจะเปียกชื้น อาหารบางชนิดไม่เหมาะจะเก็บรักษา ง่ายต่อการขึ้นราเน่าเปื่อยเป็นอย่างมาก
พูดจบ!
เย่แจ๋หยิ่งสะบัดแขนเสื้อ หมุนตัวลงเรือไปอย่างรวดเร็ว แม้แต่สายตาก็ไม่ทิ้งให้หานแส
หลังจากมองส่งเย่แจ๋หยิ่งแล้ว หานแสเปล่งเสียงไม่พอใจเสียงหนึ่ง
ยังไงซะก็ไม่ใช่เขากินคนเดียว คนที่อยู่ในที่นี้มีส่วนแบ่งทุกคน
ดังนั้น เขาโบกมือ เรียกลูกเรือมาผู้หนึ่ง กล่าวกำชับ:
“ตั้งแต่วันนี้ไป เพียงแค่อ๋องเย่ยังอยู่บนเรือ ก็ให้เขากินอาหารทะเลทุกวัน ทุกมื้อเช่นนี้” ดีที่สุดคือให้กินจนอ้วก
เย่แจ๋หยิ่งที่ไม่รู้ความคิดชั่วร้ายของหานแส เวลานี้เดินไปถึงข้างกายของหลานเยาเยาที่แต่งตัวเป็นผู้ชายแล้ว ยื่นมือไปวางบนตัวของนาง หันหน้าไปทางที่ลึกของป่าลึกลับ เสียงที่ดึงดูดค่อยๆออกจากปาก
“อยู่ในทะเลหลายสิบวัน น่าเบื่อจริงๆ ไปเดินเล่นที่ป่าลึกลับผืนนั้นเป็นเพื่อนข้าหน่อย”
ได้ยินดังนั้นหลานเยาเยาเลิกคิ้ว
เย่แจ๋หยิ่งไม่ได้กระซิบข้างหูของนาง แต่พูดออกมาต่อหน้าบรรดาชาวประมง จุดประสงค์ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบาย นางต้องร่วมมือด้วยอย่างเต็มที่แน่นอน
“ได้! ดูป่าไม้ที่เป็นผืนเป็นผืนนี่ จะต้องเป็นทิวทัศน์ที่งดงามแน่นอน”
เมื่อคำพูดนี้โพล่งออกไป!
ทำให้บรรดาชาวประมงตกใจจนหน้าถอดสี
ทิวทัศน์งดงามก็งดงาม แต่ไปไม่ได้เด็ดขาดนะ! ไปได้กลับไม่ได้ไม่ดีแน่
ทั้งร่างของผู้ใหญ่บ้านที่แก่ชราสั่นเทาเปิดปากห้ามปรามทันที “ไปไม่ได้ ไปไม่ได้นะขอรับ! คุณชายสองท่าน ป่าลึกลับผืนนั้นไปไม่ได้ คนจะตายได้ขอรับ”
เย่แจ๋หยิ่งและหลานเยาเยาเผยสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยออกมา ราวกับว่าไม่ได้ถูกคำพูดของผู้ใหญ่บ้านที่แก่ชราขู่ให้ตกใจ หลานเยาเยาจึงพูดอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านผู้เฒ่า ไม่ต้องเอาคำเล่าลือพิสดารเหล่านั้นมาขู่พวกข้า แม้ว่าพวกข้าจะอายุน้อย แต่สะสมประสบการณ์ชีวิตมาไม่น้อย ขึ้นเหนือล่องใต้หลายปีขนาดนั้น ได้ยินคำร่ำลือน่าสะพรึงกลัวมากมายนัก แบบนี้ทำให้พวกข้าตกใจกลัวไม่ได้หรอก”
พูดจบทั้งสองก็ต้องการจะเดินอีก
ผู้ใหญ่บ้านที่แก่ชรารีบขึ้นหน้าไปขวางไว้อีกทันที
“คุณชาย คุณชายสองท่านขอรับ! พวกท่านฟังคำเตือนของข้าประโยคหนึ่ง ป่าลึกลับผืนนั้นกลับไม่ได้มีเรื่องเล่าน่าสะพรึงกลัวอะไร ก็แค่สัตว์ประหลาดที่รูปร่างเหมือนคนสองตัวที่สูงใหญ่ดั่งภูเขาที่ไปจากในทะเล กินคนไปไม่น้อย ทำให้พวกเราตัดขาดกับตัวเมืองทางนั้นของป่าลึกลับ”
เมื่อคำพูดเหล่านี้พูดออกมา
คนที่ได้ยินคำพูดนี้ล้วนเผยสีหน้าประหลาดใจ
ผู้ใหญ่บ้านที่แก่ชรายังคิดว่าพวกเขาไม่เชื่อ ดังนั้นจึงเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในหนึ่งปีที่ผ่านมาเล่าออกมาทั้งหมด หลังจากชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดแล้ว ในที่สุดเมื่อเห็นพวกเขายกเลิกความคิดที่จะเข้าไปในป่าลึกลับแล้ว สุดท้ายจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก
อย่างไรเสีย!
หมู่บ้านชาวประมงของพวกเขาก็พึ่งพิงการจำหน่ายสินค้าประมงเพื่ออยู่รอด
เส้นทางการดำรงชีพถูกสัตว์ประหลาดที่รูปร่างเหมือนคนสกัดกั้น หมู่บ้านชาวประมงของพวกเขาถูกขังอยู่ระหว่างทะเลกับป่าลึกลับ และเรือประมงจับปลาของพวกเขาไม่มีปัญญาแล่นไปตามชายฝั่ง ไปถึงตัวเมืองอื่นๆของประเทศเชียนหลิงได้
เพราะเรือประมงเล็กเกินไป
หลังจากใส่สินค้าแล้ว ก็ไม่มีที่วางเสบียงอาหารแห้งสำหรับสิบวันครึ่งเดือนได้
แม้ว่าจะมีที่พอเพียงวางเสบียงอาหารแห้ง ผู้คนในหมู่บ้านชาวประมงของพวกเขาก็ไม่เคยออกทะเลไกลเกินไปนัก และไม่เคยจากทะเลไปถึงสถานที่ที่อื่น หากประสบกับสภาพอากาศลมแรงฝนตก คลื่นซัดมาลูกหนึ่งก็สามารถทำให้เรือพลิกคว่ำได้ สูญเสียเรือ ก็เท่ากับสูญสิ้นความหวังของชีวิต
ตอนนี้ไม่ง่ายที่เรือทำการค้าจะมาแล้ว จะต้องไม่เกิดเรื่อง ตัดหนทางการเลี้ยงชีพของหมู่บ้านชาวประมง
ครั้งนี้!
หมู่บ้านชาวประมงไม่ใช้สินค้าประมงมาแลกเหรียญเงินอีก
แต่จะแลกเปลี่ยนเป็นอาหารโดยตรง
เนื่องจากมีสินค้าประมงบางอย่างยังไม่แห้งสนิทดี ผู้คนในหมู่บ้านชาวประมงก็คิดต้องการจะขายของทั้งหมดในนั้น ดังนั้นผู้ใหญ่บ้านที่แก่ชราก็ขอร้องเรือแห่งความสิ้นหวังให้ออกเดินทางหลังจากนี้สองสามวัน
ฐานะที่หานแสเป็นเจ้าของเรือ
เพียงตอบปัดสองสามครั้งก็ตอบตกลงแล้ว
มาถึงหมู่บ้านชาวประมงยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม พวกหลานเยาเยาก็ได้ยินเสียงฟ้าร้องที่คุ้นเคยเป็นพิเศษแล้ว แทบจะเหมือนกันทุกประการกับเสียงฟ้าร้องของเมืองเลยหมิง
แน่นอน!
แม้ว่าจะเป็นเสียงชนิดเดียวกัน
แต่เสียงร้องกลับไม่เหมือนกันเป็นที่สุด
เสียงร้องตะโกนนั่นที่เมืองเลยหมิง คือหิวโหย คือแค้นเคือง คือโมโห
แต่เสียงที่ดังมาจากในป่าลึกลับแปลกประหลาด คือเป็นระเบียบ เป็นลำดับ แต่ที่ถูกต้องที่สุดคือ……
“พวกเขากำลังสนทนากัน!”
หลานเยาเยาที่อยู่บนเรือแห่งความสิ้นหวังแล้ว พูดกับทุกคนเบาๆ
หลานเยาเยามีประสบการณ์ในยุคแรกมาก่อน เคยฟาดฟันกับคนจากนอกแผ่นดินนับไม่ถ้วน แน่นอนว่ามีความเข้าใจต่อพวกเขาพอควร
คนจากนอกแผ่นดินไม่ได้ตัวเล็กอ่อนแอเช่นนั้นเหมือนมนุษย์ พวกเขารูปร่างใหญ่มหึมา เสียงร้องดั่งฟ้าร้อง ตอนยุคแรกก็ต้องการจะทำลายแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ ถูกคนรุ่นแรกรวมกำลังโจมตีถอยไป ตอนนี้ผ่านไปไม่รู้กี่พันปีแล้ว คนจากนอกแผ่นดินพ่ายแพ้แล้วก็อยากกลับมาตั้งต้นใหม่
หึ!
จะทำให้พวกเขาสมปรารถนาได้อย่างไร?
“เจ้าเข้าใจภาษาของพวกเขา?”
หานแสถาม ยังอดที่จะยืนขึ้นช้าๆไม่ได้ มองหลานเยาเยาอย่างเหลือเชื่อ ขณะที่ยังไม่เคยพบคนจากนอกแผ่นดิน เขาเคยสงสัยมาก่อนว่า นั่นเป็นเพียงตำนาน
แต่ตอนนี้คนจากนอกแผ่นดินใหญ่ดำรงอยู่จริง อีกทั้งมีคนสามารถพอที่จะเข้าใจภาษาของพวกมัน นี่ทำให้เขานึกถึงหนังสือโบราณที่เรือแห่งความสิ้นหวังถ่ายทอดสืบสานต่อมา ก็คือของสิ่งนั้นที่ผูกมัดเจ้าของเรือทุกรุ่นทุกสมัย รวมถึงรุ่นของเขานี้ด้วย
และทุกรุ่นทุกสมัยล้วนจะต้องสืบหาคนรุ่นหลังของตระกูลหลาน…….
“ไม่เพียงข้า อาส้งก็ฟังเข้าใจ เป็นอาส้งที่สอนข้า”
หลานเยาเยาชี้ไปที่ส้งเย่นกุย
อย่างไรเสียส้งเย่นกุยก็ลึกลับเป็นพิเศษ ต้นกำเนิดมีความลี้ลับซับซ้อนมาก เอาเรื่องทุกอย่างที่ไม่มีปัญญาพูดออกมาได้ปัดไปที่ตัวของส้งเย่นกุยทั้งหมด ก็ไม่มีคนสงสัยแล้ว
แน่นอน!
นอกจากนางและส้งเย่นกุย เย่แจ๋หยิ่งมีความทรงจำทั้งหมดของฮ่องเต้รุ่นแรก เขาก็สามารถฟังเข้าใจอยู่บ้างเป็นธรรมดา
“…….” ส้งเย่นกุยเหลือบมองเจ้านายของตัวเองแวบหนึ่ง ราวกับว่ารังเกียจเล็กน้อย
ไม่รู้ว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ เจ้านายของตัวเองมักจะชอบโยนความผิดให้เขา และหลังจากที่คนอื่นมองเห็นเขา ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องธรรมดาแล้ว
เอาเถอะ!
สำหรับเขาวัตถุโบราณที่เก่าแก่จนไม่สามารถจะเก่าแก่ได้แล้วนั้น อยู่ในทะเลทราย คนที่รู้ประวัติความเป็นมาของเขา ล้วนรู้สึกว่าเขาลึกลับมาก
แต่ว่า อันที่จริงเขาเป็นเพียงแค่เจ้าระบบ พึ่งพาอาศัยอยู่บนร่างของมนุษย์ผู้หนึ่ง และหลังจากที่หลอมรวมกับมนุษย์ผู้นี้อย่างสมบูรณ์แล้ว ยังกินยาฉางตานอีก สามารถมีอายุยืนไม่แก่เฒ่าเท่านั้น ไม่มีอะไรลึกลับ
หากพูดถึงคนที่ลึกลับที่สุด
ต้องเป็นเจ้านายของเขาหลานเยาเยาแล้ว
ผู้หญิงผู้หนึ่งที่มีพลังความคิดไม่ธรรมดา กลายเป็นคนในประวัติศาสตร์ผู้เดียวที่สามารถปลูกถ่ายระบบการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้ ยังสามารถข้ามเวลาไปมายุคปัจจุบันกับยุคโบราณที่ไม่มีบันทึกในประวัติศาสตร์ได้ ข้ามเวลามาทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ จิตวิญญาณข้ามเวลามามีทั้งหมด
ยาอายุวัฒนะที่อดีตเคยทำให้แผ่นดินใหญ่ผืนนี้บ้าคลั่ง และก็คือยาฉางตาน นางเป็นผู้สร้างขึ้น
สายตาของทุกคน รวมอยู่บนตัวของส้งเย่นกุยในทันที
“แฮ่ม!”
ส้งเย่นกุยทำได้เพียงกระแอมเบาๆเสียงหนึ่ง “เป็นข้า เป็นข้า คนจากนอกแผ่นดินใหญ่ พวกเขามาจากจุดสิ้นสุดของทะเล ในช่วงยุคแรก พวกเขาก็ดำรงอยู่แล้ว ยังคิดวางแผนจะบุกยึดแผ่นดินใหญ่ผืนนี้…….”
จากนั้น ส้งเย่นกุยก็บอกเรื่องสงครามใหญ่ที่แทบจะสังหารคนบนแผ่นดินใหญ่ผืนนี้อย่างราบคาบเหตุการณ์นั้นให้พวกเขาฟัง
แน่นอนว่าปกปิดชื่อซ่างกวนหนานซู่ชื่อนี้ไปแล้ว
พูดชื่อของเทพธิดาออกมาแทน
แน่นอน!
มีจุดหนึ่งที่ส้งเย่นกุยไม่ได้ปิดบัง นั่นก็คือความสามารถของเขา ในยุคแรก เจ้านายสำเร็จภารกิจของระบบทุกอย่าง เขาถึงสามารถพึ่งพาบนร่างของมนุษย์ได้
เวลานั้นเขาอ่อนแอเป็นที่สุด ติดตามเป็นเด็กจัดยาข้างกายเจ้านาย วิทยายุทธกำลังภายในห่างไกลมากๆกับฮ่องเต้รุ่นแรกคนกลุ่มนั้น
ต่อกรกับคนจากนอกแผ่นดิน เขาสามารถทำได้เพียงเป็นผู้ช่วย
ตอนนี้เขายังคงไม่ได้พัฒนามากนัก แต่เทียบกับคนหลายพันปีหลัง เขาก็ดำรงอยู่แบบเงยหน้ามองได้แต่ไม่สามารถใกล้ชิดได้แล้ว
ดังนั้น…….
หลังจากพูดจบ ทุกคนล้วนเงียบงัน ทั้งหมดมองไปทางทะเลทางนั้นอย่างอดไม่ได้
แม้แต่คนที่วิทยายุทธกำลังภายในยังเก่งกาจกว่าราชครูเทียนเวิง อยู่ในยุคที่คนจากนอกแผ่นดินบุกเข้าโจมตีอย่างดุเดือด กลับเป็นเพียงแค่ผู้ช่วยทั่วไป
หากว่าคนจากนอกแผ่นดินมาบุกรุกเป็นการใหญ่ ไม่ต้องพูดถึงพวกเขาคนเหล่านี้ แม้ว่าทหารม้าทั้งหมดของทั้งแผ่นดินใหญ่ร่วมมือกันขึ้นมา ก็เป็นเพียงแค่ไม้ซี่งัดไม้ซุง
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่แตกแยกออกเป็นสี่ส่วนห้าส่วนบนแผ่นใหญ่ในปัจจุบัน กลายเป็นประเทศมากมาย อีกทั้งระหว่างประเทศใหญ่ก็ไม่ปรองดองสามัคคีกันเป็นที่สุด ยังต้องการจะฆ่าฟันกันอีก……
ตอนนี้ คนจากนอกแผ่นดินมีการเคลื่อนไหวจะเข้ามาโจมตีอย่างยิ่งใหญ่
พวกเขาควรทำอย่างไร?
ถึงยามค่ำคืน เสียงฟ้าร้องดังกึกก้องสนั่นหูเป็นระยะๆ ภายใต้การทอแสงที่เจิดจ้าของดวงจันทร์ มองไปไกลๆ ดูเหมือนว่ามีสิ่งของอะไรในป่าลึกลับเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วและทำให้ป่าไม้สั่นไหว
คนกลุ่มหนึ่งของเรือแห่งความสิ้นหวัง ได้เตรียมการเรียบร้อยล่วงหน้าแล้ว ในไม่ช้าก็ออกเดินทางไปตรงที่ลึกในป่าลึกลับแล้ว