หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 667 หายนะกำลังมาหนีออกจากหมู่บ้าน
เดิมทีทั้งคืนผู้ใหญ่บ้านก็ไม่ได้หลับตา
เห็นสถานการณ์เช่นนี้ แทบจะสติแตก หลังจากครู่หนึ่ง ราวกับว่ายอมรับชะตากรรมแล้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงหนัก:
“ตะโกน ตะโกนหาอะไรกัน! มาก็มาสิ!ถึงตายข้าก็จะไม่จากที่นี่ไป พวกเจ้าพาครอบครัวหนีเอาชีวิตรอดไปเถอะ!”
“ไม่ใช่ ผู้ใหญ่บ้าน เป็นคนของเรือลำใหญ่กลับมาแล้วขอรับ พวกเขาฆ่าสัตว์ประหลาดตายแล้ว……”
เด็กหนุ่มรีบอธิบาย ชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูด ในที่สุดพูดจนแววตาอันน่าเหลือเชื่อของผู้ใหญ่บ้านกลายเป็นท่าทางปกติ เห็นผู้ใหญ่บ้านเชื่อแล้ว เด็กหนุ่มรีบพูดต่อด้วยความตื่นเต้นอีก
“ผู้ใหญ่บ้าน พวกเราออกไปดูกันเถอะขอรับ! พวกเขาลากสัตว์ประหลาดมาถึงหน้าหมู่บ้านแล้ว”
“ดีดีดี…….”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าตอบรับติดกัน ทั้งๆที่ใบหน้าเต็มเปี่ยมด้วยความอยากเห็นว่าสัตว์ประหลาดที่ตายแล้วรูปลักษณ์อย่างไร แต่เท้ายังคงไม่มีการเคลื่อนย้ายสักก้าว
เด็กหนุ่มสงสัย:
“ผู้ใหญ่บ้าน ทำไมท่านไม่เดินล่ะขอรับ?”
“ข้ากำลังเดินอยู่นี่ไง! แต่ว่าขยับเท้าไม่ไป รีบมาช่วยข้าเร็ว”
หน้าหมู่บ้านชาวประมง
ถูกคนตะโกนเรียกขนาดนี้ ชาวบ้านทั้งหมดล้วนรวมตัวกันที่หน้าหมู่บ้าน แต่ละคนชะโงกหัวมองไปรอบๆ มีคนรีบสอบถามเด็กหนุ่มในหมู่บ้านผู้นั้นที่รอดตายกลับมาจากปากของสัตว์ประหลาด
“เจ้าเคยเจอสัตว์ประหลาด นั้นก็คือรูปร่างหน้าตาของสัตว์ประหลาดหรือ?”
หลังจากได้รับคำตอบกลับที่แม่นยำแล้ว พวกเขาก็ชะโงกหน้าออกไปมองไปรอบๆต่ออีก
ผู้ใหญ่บ้านรีบมาถึงหน้าหมู่บ้านอย่างลำบาก
ภายใต้หมอกยามเช้า คนกลุ่มหนึ่งลากศพของคนจากนอกแผ่นดินเคลื่อนที่ไปด้านหน้าช้าๆ ยิ่งมายิ่งใกล้ ผู้ใหญ่บ้านไม่กล้าเข้าใกล้ แต่ก็ได้เห็นรูปลักษณ์ของสัตว์ประหลาดอย่างชัดเจนแล้ว
ที่แท้ความลึกลับ สัตว์ประหลาดที่น่าสะพรึงกลัวสุดๆก็หน้าตาเช่นนี้นี่เอง!
เห็นชาวบ้านทั้งหมดอยู่ หานแสเดิมทีก็ไม่ชอบเจรจากับคนที่เขาคิดว่าเป็นคนชั้นต่ำ คิดเพียงจะรีบเอาศพคนนอกแผ่นดินขนย้ายไปบนเรือ
เขาไม่กลัวศพเน่าเปื่อยส่งกลิ่นเหม็น
เพราะหลานเยาเยามีตัวยารักษาศพ
และเรือแห่งความสิ้นหวังของเขาก็ใหญ่โตเพียงพอ ไม่เป็นปัญหาที่จะใส่ศพของคนนอกแผ่นดินสองศพ
ทีแรกเขาไม่อยากให้ชาวบ้านตกใจ ใส่ศพเสร็จก็สั่งให้ออกเรือจากไป
ใครจะรู้หลานเยาเยากลับบอกว่าต้องการเอาศพเคลื่อนจากในหมู่บ้านไปขึ้นเรือ เดิมทีเขาไม่เห็นด้วย แต่ขณะที่หลานเยาเยามองมาทางเขา นึกไม่ถึงว่าเขากลับพยักหน้าอย่างอธิบายไม่ถูกแล้ว
ตอนนี้เขาอยากตบหน้าตัวเองฉาดหนึ่งจริงๆ
ไม่รู้จริงๆว่าในสมองของหลานเยาเยากำลังคิดแผนการพิเรนทร์อะไรอีก
เพราะกลุ่มชาวบ้านคลุกคลีกับสินค้าประมงเป็นแรมปี บนตัวแผ่กระจายกลิ่นคาวปลาออกมา ทะลุออกมาจากกระดูกโดยแท้ ฉุนขึ้นสมองเกินไปจริงๆ ไม่ด้อยไปกว่ากลิ่นในขวดเล็กๆอันงดงามที่หลานเยาเยาให้เขาดมโดยแท้……
หานแสแบนปาก!
เอาแขนเสื้อสีแดงสดขึ้นมา ไว้ตรงปลายจมูกเล็กน้อย
ฉวยโอกาสที่ทุกคนไม่สนใจ เขาแฉลบตัวทีหนึ่ง ก็หลบไปอีกด้านหนึ่งแล้ว
รอจนคนจากนอกแผ่นดินเข้าในหมู่บ้านแล้ว ขณะที่หลานเยาเยาหันหน้าหาคน ถึงได้พบว่าหานแสหายตัวไม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
นางเพียงแค่ยกมุมปากขึ้นบางๆ
และไม่ได้สนใจมากนัก
“พวกพ่อแม่พี่น้อง นี่ก็คือสัตว์ประหลาดที่พวกท่านพูดถึง พวกมันรูปร่างใหญ่โต พละกำลังมากมายดั่งวัว หนังหยาบเนื้อหนา อีกทั้งกินเนื้อสดเป็นอาหาร
เหมือนกับพวกเรา พวกมันรู้จักไตร่ตรอง สร้างกับดักเป็น มาจากจุดสิ้นสุดของทะเล เป้าหมายก็เพื่อบุกยึดแผ่นดินผืนนี้”
บรรดาชาวประมงเสียงดังอื้ออึง!
พวกเขาตกตะลึงต่อคุณชายซ่างกวนที่อยู่ตรงหน้า ที่รู้รายละเอียดของสัตว์ประหลาดนี่ขนาดนี้
แต่คิดแล้วคิดอีกในชั่วพริบตา พวกเขาสามารถสังหารพวกกินคนเป็นอาหารนี้ได้ จะต้องมีความเข้าใจต่อสัตว์ประหลาดเหล่านี้เป็นแน่
แต่ทว่าที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือ นึกไม่ถึงว่าเป้าหมายของสัตว์ประหลาดสองตัวนี้คือเพื่อบุกยึดแผ่นดินใหญ่ผืนนี้……
แต่ยังไม่รอให้พวกเขาได้ทำความเข้าใจข่าวสารเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ หลานเยาเยาก็รีบพูดต่อ:
“สองตัวนี้เป็นเพียงหน่วยสอดแนบของกลุ่มเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่โตของพวกมัน เข้าใจง่ายหน่อยก็คือ พวกเขาสองคนมาสืบข่าวก่อน ด้านหลังยังมีคนจากนอกแผ่นดินอีกกลุ่มใหญ่มาจากในทะเลอีก
ทุกคนทั้งหลายต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
เสียงของนางมีพลังผ่าเผย เร็วและชัดเจน จริงจังและรอบคอบ
เห็นได้ชัดเจนมาก!
นางไม่ได้ล้อเล่น
พวกชาวบ้านส่งเสียงอื้ออึงอีกครั้ง หลักฐานแท้จริงอยู่ต่อหน้า พวกเขาเชื่อเขาโดยสิ้นเชิง ตอนนี้เหลือเพียงความหวาดผวาและความตื่นกลัว
สัตว์ประหลาดขนาดมหึมานี้ และก็คือคนจากนอกแผ่นดินที่คุณชายซ่างกวนเอ่ย นึกไม่ถึงว่าทั้งหมดจะมีกลุ่มเผ่าพันธุ์ที่ใหญ่โต
ในใจของเหล่าชาวบ้านมีห้าคำวนเวียนอยู่:
หายนะใกล้จะถึงตัวแล้ว……
เห็นการตอบสนองของเหล่าชาวบ้าน การแสดงออกของหลานเยาเยายังคงเคร่งขรึม
ที่ต้องการก็คือผลลัพธ์เช่นนี้!
เพียงแค่เหล่าชาวบ้านรู้สึกว่าหายนะใกล้จะถึงตัวแล้ว พวกเขาก็จะต้องหนีภัย จะไปหาที่ลี้ภัย จากนั้นเอาข่าวสารการต้องการมาบุกยึดแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ของคนจากนอกแผ่นดินเผยแพร่ออกไป
นางยอมรับ ว่านางกำลังใช้ประโยชน์ชาวบ้านกลุ่มนี้ กระจายข่าวสารแทนนาง เพื่อร่วมกันเตรียมพร้อมในการต่อต้านการบุกรุกของคนจากนอกแผ่นดิน
แต่……
ชาวบ้านของหมู่บ้านชาวประมงไม่ปลอดภัยที่จะอาศัยอยู่ที่นี่ต่อไป
ตอนที่คนจากนอกแผ่นดินขึ้นบกไม่ได้ผ่านหมู่บ้านผืนนี้ ก็คือเรื่องโชคดีเรื่องหนึ่ง
เพราะฉะนั้น!
ก่อนหน้านี้คนจากนอกแผ่นดินขึ้นฝั่ง สามารถทำได้เพียงจับคนสัญจรที่ผ่านทางและสัตว์ป่าในป่าลึกลับกินเป็นอาหาร
หากครั้งหน้าล่ะ?
เมื่อคนจากนอกแผ่นดินขึ้นฝั่งพบกับหมู่บ้านพอดี จะมีชาวบ้านกี่คนที่สามารถพอจะหนีรอดได้อีก?
แม้ว่าหมู่บ้านชาวประมงจะโชคดีแล้วโชคดีอีก ครั้งแรกครั้งที่สอง ครั้งที่สามครั้งที่สี่ กระทั่งครั้งที่เจ็ดครั้งที่แปด ล้วนไม่ได้ขึ้นฝั่งจากหมู่บ้านชาวประมง เช่นนั้นเวลาที่คนจากนอกแผ่นดินบุกรุกครั้งใหญ่ล่ะ?
ที่นี่จะต้องกลายเป็นสนามรบแน่นอน!
หมู่บ้านชาวประมงถูกลิขิตให้น่าสังเวช!
หลานเยาเยาทำให้พวกเขาตกใจหนีไป ก็ไม่เพียงแค่ใช้ประโยชน์เท่านั้น
พูดจบถึงตรงนี้ นางไม่ได้พูดต่อแล้ว แต่ให้พวกชาวบ้านหลีกทางเป็นเส้นทางหนึ่ง ให้พวกเขาเคลื่อนย้ายศพคนจากนอกแผ่นดินขึ้นเรือ
ยังไม่รอให้พวกเขาขึ้นเรือ……
เหล่าชาวบ้านวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว ทั้งหมดวิ่งกลับบ้านไปด้วยความรีบร้อนแล้ว
สินค้าทะเลที่ยังตากไม่แห้ง……
แหจับปลาที่ยังไม่ได้เก็บ……
อุปกรณ์หาของทะเลที่ทำขึ้นเอง…….
รวมถึงบ้านที่สืบทอดจากบรรพบุรุษหลายชั่วคน……
ถูกทอดทิ้งทั้งหมดแล้ว
เป็นธรรมดาตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือหนีเอาชีวิตรอดด้วยความรวดเร็ว!
ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม ทั้งหมู่บ้านชาวประมงหนีออกจากหมู่บ้าน คนสุดท้ายที่จากไปคือผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านชาวประมง
ทีแรกเขาไม่อยากจากไป คิดต้องการร่วมเป็นร่วมตายกับหมู่บ้านชาวประมง จนปัญญาทนต่อการรบเร้าของครอบครัวไม่ได้ เขาพยักหน้าแล้ว เห็นด้วยที่จะหนีไปพร้อมกับครอบครัว นึกไม่ถึงว่าตอนจากไป ขาแข้งว่องไวเป็นที่สุด วิ่งเร็วกว่าลูกชายที่ยังหนุ่มยังแน่นของเขาอีก
เรือแห่งความสิ้นหวังก็ไม่ได้อยู่นาน ไม่ช้าก็กลับไปตามทางเดิม
ข่าวสารกลุ่มเผ่าพันธุ์คนจากนอกแผ่นดินตัวใหญ่โตแข็งแกร่งต้องการบุกรุกแผ่นดินใหญ่ผืนนี้ ความรวดเร็วในการแพร่กระจายยังเร็วกว่าความเร็วของเรือแห่งความสิ้นหวังที่กลับไปถึงเมืองโยวกวงอีก ทำให้จิตใจของคนทั้งประเทศเชียนหลิงหวาดผวาเป็นอย่างมาก
ข่าวคราวแพร่กระจายไปถึงกระทั่งชายแดนของประเทศก่วงส้าแล้ว
และเรือแห่งความสิ้นหวังเทียบท่าอยู่นานหลายวันก่อนจะเข้าประเทศก่วงส้า เหตุผลเพียงแค่……
หลานเยาเยาหายไปแล้ว!
หายไปพร้อมกับหลานเยาเยายังมีอ๋องเย่เย่แจ๋หยิ่ง รวมถึงองครักษ์ลับสองคนที่ติดตามข้างกายเขา
กระทั่งยังมีส้งเย่นกุยที่ลึกลับผู้นั้นอีก……
โดยสรุป!
หลานเยาเยาคนทั้งกลุ่มนั้น ชั่วข้ามคืนก็หายตัวไปทั้งหมดแล้ว
เพราะเหตุนี้หานแสเดือดดาลเป็นอย่างมาก สายตาของเขาจ้องมองโจ๋จุนชิงเบาๆ ในสายตาเต็มไปด้วยแรงสังหาร
“ไม่ได้ให้เจ้าจับตาดูพวกเขาหรือ?”
“เจ้าของเรือได้โปรดอภัย ข้าน้อยสมควรตาย แต่ก่อนตายอนุญาตให้ข้าน้อยพูดสิ่งที่ไม่ควรพูดสักประโยคขอรับ”
หานแสหรี่ตาลงในพริบตา ริมฝีปากบนล่างชนกัน เสียงชั่วร้ายล้ำลึกลอยออกมาช้า
“ตั้งแต่ป่ายเม่ยเซิงและซาหมั่นเฉิงจากไปแล้ว ดูเหมือนว่าเจ้าก็เปลี่ยนไปมาก”
บุรุษพันหน้าป่ายเม่ยเซิง ร่องลอยอยู่ระหว่างความมืดมิดและแสงสว่างมาตลอด นิสัยจิตใจอิสระเสเพล ไม่คำนึงถึงรายละเอียดเล็กน้อย จะตัดใจจากเขาไปได้เขากลับไม่แปลกใจ
เพียงแค่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน……
พ่อครัวศักดิ์สิทธิ์ถูยู่ซาหมั่นเฉิงผู้นั้นที่ถูกคนทั้งเมืองเนรคุณอย่างหนัก สังหารทั้งเมืองด้วยความสิ้นหวัง ตกลงสู่ความมืดมิดในที่สุด กลายเป็นหนึ่งในผู้ดูแลเรือแห่งความสิ้นหวังของเขา
นึกไม่ถึงว่าเขาเริ่มโหยหาแสงสว่าง ออกไปอยู่อย่างสันโดษแล้ว ถึงวันนี้ไม่รู้ว่าตัวอยู่ที่ใด
มีเพียงโจ๋จุนชิงมือปีศาจเลือดเย็นที่ฆ่าคนนับไม่ถ้วนเพียงผู้เดียวที่อยู่ข้างกายเขามาโดยตลอด
พ่อแม่ของโจ๋จุนชิงตายด้วยอหิวาตกโรคตั้งแต่ยังเด็ก เพราะพรสวรรค์เฉลียวฉลาด เหมาะสมที่จะบ่มเพาะเป็นนักฆ่าที่สุด และบวกกับเขาเป็นเพียงอาวุธอย่างดีที่ฆ่าคนโดยปราศจากความรู้สึก ดังนั้นได้เจ้านายผู้หนึ่งก็ซื่อสัตย์ทั้งชีวิต จนตายก็ไม่เปลี่ยน
แต่หวนคิดดูอย่างฉับพลัน
เขาไม่ได้เลือดเย็นขนาดนั้นอีกแล้ว…….
และไม่ได้ฆ่าคนเป็นผักเป็นปลาเช่นนั้นแล้ว……
กระทั่งมีครั้งหนึ่ง เขาที่เข้าใจลึกซึ้งว่าตัดหญ้าไม่ถอนรากลมฤดูใบไม้ผลิพัดมาก็จะเกิดขึ้นใหม่ยังจงใจปล่อยเด็กสาวที่น้ำตานองหน้าไปอีก…….
โจ๋จุนชิงก็เริ่มเปลี่ยนแล้ว…….
หานแสไม่เข้าใจต่อสิ่งนี้เป็นอย่างมาก
นี่เป็นเพราะอะไรกันแน่?