หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 682 ฝังศพที่หุบเขาอัคนิคณะ
——
เมื่อฟื้นมา ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใดแล้ว แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไปหมดแล้ว
การเข้ารุกรานของคนจากนอกแผ่นดินจบสิ้นไปนานแล้ว
บนสนามรบเต็มไปด้วยซากศพระเกะระกะ ศพที่หน้าตาเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมมีเยอะมากเยอะมากๆ เหล่าประชาชนและทหารบาดเจ็บหนักที่เหลืออยู่ไม่มากออกมาด้วยตัวเองเอาศพไปฝังทีละศพ ได้จัดการเจ็ดวันเจ็ดคืนแล้ว แต่ยังมีร่างศพของทหารอีกมากมายที่ได้เสียชีวิตแล้วยังหาที่ฝังไม่ได้
กระดาษเงินสีขาวโปรยเป็นชั้นหนาๆเต็มท้องถนน ถนนตรอกซอยน้อยใหญ่ก็เหมือนดั่งหิมะในช่วงเวลาที่หนาวที่สุดในฤดูหนาวของเดือนสิบสอง ถูกย้อมเป็นสีขาวทั้งหมด
แม้แต่หลังคาบ้านสูงๆต่ำๆที่ต่อเนื่องกันก็ไม่เว้น
อีกทั้งทุกครัวเรือนล้วนเปลี่ยนเป็นผ้าแพรต่วนสีขาวและโคมไฟสีขาว
ไม่เพียงเมืองหมินเหลียนที่เป็นเช่นนี้ แผ่นดินใหญ่แทบจะเป็นเช่นนี้ทั้งผืน เพียงเพื่อไว้อาลัยแก่เหล่าทหารที่สังเวยชีวิตในสนามรบ และอ๋องเย่ที่ได้ตายไปพร้อมกับผู้บัญชาการทหารของคนจากนอกแผ่นดิน
การทำศึกสงครามที่ยาวนานถึงสองปีนี้
ทำให้ผู้คนของแผ่นดินใหญ่ผืนนี้เหลืออยู่ไม่ถึงหนึ่งส่วนสามเท่านั้น
ทหารและชายหนุ่มวัยฉกรรจ์ล้วนเสียชีวิตเกือบทั้งหมด
เหลือเพียงคนชราคนที่อ่อนแอผู้หญิงและเด็ก และทหารที่บาดเจ็บสาหัสจนพิการไม่กี่แสนนาย
กองกำลังทหารของแต่ละประเทศบาดเจ็บล้มตายทั้งหมด ราชสำนักแทบจะพังทลายยับเยิน สี่ประเทศมหาอำนาจ ฮ่องเต้ของสามประเทศมหาอำนาจสิ้นพระชนม์ เหลืออยู่คือฮ่องเต้แห่งประเทศก่วงส้าเย่หลีเฉินที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่บรรดาทหารขุนนางของเขาเหลือเพียงสิบเอ็ดคน สามารถเรียกได้ว่ามีเพียงหนึ่งคนที่มีชื่อเสียงและตำแหน่ง
บรรดาทหารขุนนางประเทศอื่นก็ล้วนไม่ต่างกันมาก ปัญหาอยู่ที่มากกว่ากี่คนและน้อยไปกี่คนเท่านั้น
ดีที่เหล่าประชาชนหลังจากรอดชีวิตหลังจากหายนะแล้ว พยายามอย่างสุดแรงสุดความสามารถทำงานอย่างขยัน ไม่เพิ่มความวุ่นวาย และไม่ก่อความวุ่นวาย
แต่สภาพจิตใจของประชาชนของทุกประเทศกลับเป็นจิตใจเศร้าสลดทั้งผืน
บางทีข่าวดีเพียงอย่างเดียวคือ เทพธิดายังมีชีวิตอยู่
บนถนนใหญ่
หญิงผู้หนึ่งผมเผ้าค่อนข้างยุ่งเหยิงเล็กน้อย สีหน้าค่อนข้างเศร้าสลด นางเท้าเปล่า เหยียบบนกระดาษเงินสีขาวซีดทีละก้าวๆ บนท้องถนนแทบจะว่างเปล่าไร้ผู้คน บางครั้งบางคราวมีเงาร่างคนปรากฏ ก็เพียงแค่วิ่งเข้าไปอย่างรีบร้อน
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาบนเตียง
ราวกับว่าอยู่คนละยุคคนละสมัย ข้างกายไม่มีคนที่คุ้นเคยสักคน มีเพียงพี่สะใภ้ที่มีอายุผู้หนึ่งและเด็กสาวสองคนดูแลนาง
หลังจากที่นางถามเรื่องสงครามกับพี่สะใภ้ที่มีอายุผู้หนึ่งบ้างแล้ว ก็นั่งอย่างไร้การตอบสนองอยู่ครึ่งวัน
ไม่ร้องไห้ไม่โวยวาย สงบนิ่งเป็นอย่างมาก
แต่ดวงตาแดงตลอด
เพียงแค่ขณะที่ลงจากเตียง ลืมสวมรองเท้า ล้างหน้าแล้วกลับลืมหวีผม เหยียบไปบนถนนที่เต็มไปด้วยกระดาษเงินทีละก้าว นึกไม่ถึงว่าจะไม่มีความรู้สึกสักน้อย หวังเพียงได้พบแม้จะเป็นแค่เงาร่างของคนที่คุ้นเคยผู้หนึ่ง
เดินไปเดินไป
มีคนเรียกนางไว้อย่างกะทันหัน “เจ้าสำนักขอรับ!”
สามารถเรียกนางว่าเจ้าสำนักได้จะต้องเป็นคนของสำนักหงอีแน่นอน หันหน้าไปเล็กน้อย เป็นยู่หลิวซูที่เดินอย่างรีบร้อน เขาพาคนแปลกหน้าไม่กี่คนเดินเข้ามาทางนางอย่างรวดเร็ว
เห็นได้ชัดว่ารู้สึกประหลาดใจต่อการปรากฏตัวของนางบนถนนในตอนนี้
เห็นนางเท้าเปล่า ยู่หลิวซูอดที่จะตกใจไม่ได้
จากนั้นกล่าวกับไม่กี่คนด้านหลัง
“พวกเจ้าไปก่อน อีกครู่ข้าก็จะไปถึง”
“ขอรับ” ไม่กี่คนนั้นรีบทำมือเคารพยู่หลิวซูทันที จากนั้นก็ทำมือเคารพต่อหลานเยาเยา จึงได้จากไปอย่างรีบร้อน
เมื่อพวกเขาไป
ยู่หลิวซูจึงนั่งยองๆลงมาด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ เตรียมจะแบกนาง “ข้าส่งท่านกลับไปขอรับ”
หลังจากสงครามใหญ่จบสิ้น ยู่หลิวซูโชคดีมีชีวิตรอด ได้ยินว่าหลานเยาเยาอยู่ที่นี่ เขาเคยมาเยี่ยมสองครั้ง ทั้งสองครั้งล้วนยังไม่ฟื้น ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสงครามโศกนาฏกรรมครั้งสุดท้ายนั่นแม้สักนิด
ไม่เห็นก็ดี
ตอนนี้ได้พบบนถนนใหญ่อย่างกะทันหัน ดูท่าทางของนาง ทั้งๆที่เฉยเมยเป็นอย่างมาก แต่ดวงตาโกหกคนไม่ได้
นางเจ็บปวดมาก เพียงแค่ไม่ยินยอมที่จะแสดงออกมาเท่านั้น…….
“ไม่ต้อง!” หลานเยาเยาปฏิเสธอย่างเด็ดขาด
ยู่หลิวซูยังอยากพูดอะไร เพียงแต่คำพูดยังไม่ออกจากปาก พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องอย่างหวาดผวาดังมาจากที่ไกลๆ จากนั้นก็มาพร้อมกับเสียงคำรามเสียงหนึ่งดั่งเสียงฟ้าร้อง
ทั้งสองขมวดคิ้วแน่นในพริบตา วินาทีถัดมา ก็ไปทางที่มาของเสียงทันที
ราวกับว่าเสียงอยู่ตรงสุดถนนที่หัวเลี้ยว ทั้งสองเพิ่งจะถึง ก็เห็นเงาร่างคนผู้หนึ่ง ล้มลุกคลุกคลานเอาชีวิตรอดออกมาจากในซอยซ้ายมือสุดของถนน เปรอะเปื้อนรอยเลือดไปทั้งร่าง ในปากเลือดไหลไม่หยุด
ดูท่าจะประสบกับการโจมตีของคนจากนอกแผ่นดินแล้ว
เพียงแค่โชคดีที่หนีออกมาได้และไม่ได้ตกเป็นอาหารในปาก
เห็นว่ามีคน คนผู้นั้นพยายามพุ่งมาทางพวกเขา
“ช่วย ช่วยด้วย……”
เวลานี้!
ยู่หลิวซูและหลานเยาเยาหยุดฝีเท้าแล้ว สีหน้าท่าทางของหลานเยาเยาเปลี่ยนเป็นเฉียบคมในพริบตา เมื่อยื่นแขน ทันทีที่แบมือ อาวุธโบราณชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นในมือทันที
จากนั้นเมื่อโยน ก็โยนไปในอ้อมแขนของยู่หลิวซู หลังจากที่ยู่หลิวซูรับไว้ได้ สุดท้ายในใจก็นับว่าเข้าใจแล้ว
ไม่เช่นนั้น!
มือเปล่าหมัดเปล่าต่อสู้กับคนจากนอกแผ่นดิน ไม่ต่างอะไรกับเอาของอ่อนไปงัดกับของแข็ง
คนที่ร้องขอความช่วยเหลือวิ่งผ่านข้างกายของพวกเขาไปด้วยความตื่นตระหนก เห็นในมือของพวกเขามีอาวุธ น้ำตานองในพริบตาแล้ว แต่น้ำตานองก็ส่วนของน้ำตานอง ควรหลบหนียังไงก็ควรที่จะรีบหนี
ในไม่ช้า
ด้านในซอยทางซ้ายมือ คนจากนอกแผ่นดินเดินสองสามก้าวก็ออกจากซอยแล้ว ซอยแคบและไม่สูง คนจากนอกแผ่นดินที่ตัวใหญ่กำยำเดินเหินไม่สะดวก แต่ออกจากซอยแคบๆเล็กๆแล้ว มันก็สามารถไล่ฆ่าคนได้ตามอำเภอใจแล้ว
เผชิญหน้ากับการมาของคนจากนอกแผ่นดิน สวมชุดเกราะสีเงินที่ขาดรุ่งริ่ง ทั้งร่างของมันคือบาดแผล โดยเฉพาะบนใบหน้าที่ใหญ่เท่าขนาดอ่างล้างเท้าใบใหญ่ๆเช่นนั้น มีบาดแผลยาวๆรอยหนึ่ง ท่าทางกำลังเจ็บปวดจนเป็นอย่างมาก อ้าปากใหญ่ที่หิวกระหาย ราวกับว่าต้องการจะเอามนุษย์ผู้อ่อนแอตัวเล็กๆ กลืนลงไป
แต่หลังจากที่เห็นในมือของหลานเยาเยาและยู่หลิวซูมีอาวุธโบราณแล้ว เห็นได้ชัดว่าถูกทำให้ตกใจ เหมือนว่าหลังจากชะงักไปเล็กน้อย ก็ยังคงพุ่งเข้ามาอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยว
อย่างไรเสีย!
แค่มนุษย์ที่ตัวเล็กอ่อนแอสองคนเท่านั้น
และหลานเยาเยากับยู่หลิวซูเห็นชุดเกราะสีเงินของคนจากนอกแผ่นดินแล้ว ก็เบิกตาขึ้นเล็กน้อยด้วยสัญชาตญาณ
เดิมทีพลังการต่อสู้ของคนจากนอกแผ่นดินที่สวมชุดเกราะสีเงินก็ทำให้คนทึ่ง เพราะว่าความสามารถยิ่งแข็งแกร่ง ตำแหน่งในหมู่คนจากนอกแผ่นดินจะยิ่งสูง สีบรอนซ์แดงอ่อนแอที่สุด สีทองแข็งแกร่งที่สุด และก็มีเพียงผู้บัญชาการทหารของคนจากนอกแผ่นดินผู้เดียวที่สวมชุดเกราะสีทอง ต่อจากชุดเกราะสีทองก็คือคนจากนอกแผ่นดินชุดเกราะสีเงินแล้ว
เดิมทีจำนวนของพวกเขาก็ไม่มาก เป็นทหารคนโปรดของผู้บัญชาการทหารของคนจากนอกแผ่นดิน
บาดแผลมากมายบนตัวของคนจากนอกแผ่นดินด้านหน้าผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าเคยผ่านประสบการณ์อันโหดร้ายของสนามรบมาแล้ว และท้ายที่สุดของสงครามใหญ่ ได้หลบหนีมาที่นี่ แอบซ่อนอยู่ในที่มืดเล็กๆ จับมนุษย์ที่ผ่านมาเป็นอาหาร
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นมัน!” ยู่หลิวซูกล่าวอย่างแค้นเคืองประโยคหนึ่ง
“เจ้ารู้จัก?” หลานเยาเยาถามด้วยลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
“มันอยู่ข้างกายผู้บัญชาการทหารของคนจากนอกแผ่นดินตลอด สุดท้ายของสงครามใหญ่ฉากนั้น หน้าของมันก็คือถูก……ถูกอ๋องเย่กรีดเป็นแผลแล้ว” ประโยคสุดท้าย ยู่หลิวซูมองไปทางหลานเยาเยา เสียงเบาลงอย่างชัดเจน
เขาไม่ควรเอ่ยถึงอ๋องเย่
เกรงว่าหลานเยาเยาจะเสียใจ
หลานเยาเยาใจหวิวเล็กน้อยทันที ร่างกายก็สั่นเทาอย่างรุนแรง นางเปิดปากแล้วเปิดปากอีกแต่กลับไม่ได้ถามอะไร
เห็นนางไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองมากนัก ยู่หลิวซูรีบพูดต่อ
“วันนั้นมันล้มลงในกองเลือด ไม่ขยับเขยื้อน คิดไม่ถึงว่าจะยังไม่ตาย”
ได้ยินดังนั้น!
หลานเยาเยาหรี่ตาลงทันที กล่าวอย่างน่ากลัว
“ข้าต้องการมีชีวิตอยู่”
“ได้ขอรับ”
คำพูดยังไม่สิ้นสุด ยู่หลิวซูใช้อาวุธโบราณในมือก่อนแล้ว หลังจากยิงกระสุนยาไปสองสามนัดแล้ว คนจากนอกแผ่นดินหลบหลีกอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่รู้ว่าหลานเยาเยาและยู่หลิวซูล้วนเป็นคนที่มีประสบการณ์ในสงครามใหญ่มาก่อน
ต่อสู้กับคนจากนอกแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่แข็งแกร่ง ก็ต้องพึ่งพาคนสี่ห้าคนหรือสิบกว่าคนร่วมมือกันต่อสู้กับหนึ่งคน พึ่งพาการร่วมมือกันเป็นกลุ่ม
ยู่หลิวซูใช้อาวุธโบราณก่อน เพียงแค่ไม่กี่นัดเป็นวิธีหลอกล่อ ทำให้คนจากนอกแผ่นดินหลบหลีก และจากนั้นคนที่ใช้อาวุธโบราณ จึงจะเป็นคนที่เล็งเป้าตรงจุดสำคัญของมันอย่างแท้จริง
“ปัง! ปัง! ปัง!”
เสียงอาวุธโบราณดังขึ้นสามนัด แต่ละนัดที่ยิงโดนบาดแผลของคนจากนอกแผ่นดิน เลือดสดพุ่งกระฉูดในพริบตา ลูกกระสุนยาออกฤทธิ์ในบาดแผลของคนจากนอกแผ่นดินในทันที
เดิมทีร่างกายของคนจากนอกแผ่นดินชุดเกราะสีเงินก็บาดเจ็บสาหัส ส่งเสียงคำรามด้วยความโมโหในพริบตา มันจะรู้ที่ไหนว่า มนุษย์ทั้งสองที่อ่อนแอได้จับตาดูทุกการเคลื่อนไหวทุกการกระทำของมันไว้ในสายตา ไม่เพียงเป็นการร่วมมือกันอย่างสมบูรณ์แบบ ยังสามารถคาดเดาตำแหน่งการเดินของมันได้อีกด้วย
รู้ตัวว่าเดินชนกับตอแข็ง
คนจากนอกแผ่นดินหมุนตัวก็หนี หลานเยาเยากับยู่หลิวซูแฉลบตัวก็ไล่ตาม
หลังจากนั้นสิบห้านาที
คนจากนอกแผ่นดินเกราะสีเงินได้รับผลกระทบจากกระสุนยาอย่างรุนแรง หนีต่อไปไม่ได้อีก ล้มบนพื้นเสียงดังสะเทือนเลื่อนลั่น
หลานเยาเยามองดูคนจากนอกแผ่นดินอย่างเย็นชา ยู่หลิวซูถามนางว่าจะทำอย่างไร
นางไม่ได้ตอบ โน้มตัวเข้าใกล้คนจากนอกแผ่นดินเกราะสีเงินเล็กน้อย ถามกลับว่า “บนมือของเขาได้เปื้อนเลือดของเย่แจ๋หยิ่งหรือไม่?”
นี่คือตั้งแต่หลังจากที่ฟื้นมา ครั้งแรกที่นางพูดถึงสิ่งที่เพียงแค่เอ่ยถึง ชื่อที่ทำให้นางหยุดหายใจได้ นางเคยไถ่ถามถึงสถานการณ์ของสงครามใหญ่กับพี่สะใภ้ที่มีอายุมาก่อน แต่กลับไม่กล้าถามอย่างละเอียด
อีกทั้งพี่สะใภ้ที่มีอายุเป็นเพียงแค่ประชาชนธรรมดา
รู้ไม่มาก รู้เพียงแค่อ๋องเย่บัญชาการทุกคนอยู่ที่หุบเขาอัคนิคณะ ตายไปพร้อมกับคนจากนอกแผ่นดินทั้งหมดแล้ว
ประชาชนเหล่านี้ก็ไม่ต้องกลัวคนจากนอกแผ่นดินกินคนอีกแล้ว
“ไม่เคยขอรับ เป็นในมือของอ๋องเย่ที่เปื้อนเลือดของมัน ตอนนั้นข้าก็อยู่ในเหตุการณ์ คนของสำนักหงอีของพวกเราเดิมทีก็ตายในสงครามมากมาย อีกทั้งถูกคนจากนอกแผ่นดินล้อมรอบ ไม่มีทางที่จะติดตามอ๋องเย่ไปที่หุบเขาอัคนิคณะได้ขอรับ”
หุบเขาอัคนิคณะ? !
เหตุผลที่เรียกหุบเขาอัคนิคณะว่าหุบเขาอัคนิคณะ นั่นก็เพราะด้านล่างของหุบเหวนั่นทั้งหมดล้วนเป็นหินหนืด…