หวางเฟยเสด็จ ท่านอ๋องหลีกไป - บทที่ 688 กลับคืนสู่ชีวิตสันโดษ
พูดถึงตรงนี้
เสียงของส้งเย่นกุยเศร้าและเบาลงมาก ยังอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะเย้ยตัวเอง ทั้งเหงาหงอยและเศร้าซึม
“ข้ากินยาฉางตานแล้ว สามารถมีอายุยืนยาวไม่แก่เฒ่า ยังเป็นคนที่เก่งกาจที่สุดบนแผ่นดินใหญ่อีก เดิมทีคิดว่าพยายามด้วยแรงของตัวเอง ช่วยฮ่องเต้รุ่นแรกที่กลับชาติมาเกิด ง่ายดายเป็นที่สุด
แค่ใครจะรู้……
ตั้งแต่เริ่ม ข้าช่วยใครไม่ได้เลย”
เสียงของเขาทั้งเหงาหงอยและเศร้าซึม ในใจเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก กดดันจนเขาค่อนข้างหายใจไม่ออก
ความรู้สึกชนิดนี้ย่ำแย่สุดๆแล้ว
“อาส้ง เขาเลือกถูกแล้ว เจ้าสามารถรักษาชีพจรหัวใจของเขาได้ถึงตอนนี้ ก็ทำดีสุดความสามารถแล้ว”
เย่แจ๋หยิ่งไม่เป็นวิชาการรักษา
หากว่าส้งเย่นกุยเกิดเรื่อง ร่างกายของเย่แจ๋หยิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส อีกทั้งเท้าทั้งสองข้างถูกแช่ในลาวามาก่อน เดิมทีก็ไม่มีทางค้ำยันให้เขายืนได้นานเท่าไหร่ ทั้งสภาพอากาศที่น่ากลัวชนิดนั้น พวกเขาสักคนเดียวก็มีชีวิตรอดไม่ได้
มีเพียงส้งเย่นกุยปลอดภัย
พวกเขาถึงมีโอกาสมีชีวิตรอดอยู่บ้าง
หลานเยาเยาเอามือของเย่แจ๋หยิ่งวางไว้ในอุ้งมือของตัวเอง บีบให้เขาเบาๆ หันหน้าไปมองด้านนอกแวบหนึ่ง ฟ้าร้องฟ้าแลบเหมือนดั่งวันสิ้นโลก
“ที่นี่เป็นเช่นนี้ทุกคืนหรือ?”
เปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ส้งเย่นกุยผ่อนคลายลงมากอย่างเห็นได้ชัด เขาส่ายหน้า
“แผ่นดินใหญ่ผืนนี้ทั้งหมดล้วนเป็นหินและดินที่ไหม้เกรียม สายฟ้าผ่าเหมือนดั่งวันสิ้นโลก แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่คนจากนอกแผ่นดินใกล้จะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ เห็นแอ่งหลุมเหล่านั้นบนพื้นหรือยังขอรับ? นั้นก็คือสาเหตุโดยตรงที่สุด”
หินและดินที่ไหม้เกรียมสีดำ ทั้งหมดเป็นลักษณะแอ่งหลุม สามารถทำเป็นเช่นนี้ได้ มีเพียงสาเหตุเดียว นั่นก็คือน้ำฝน
“ดูเหมือนว่าเพราะน้ำฝนเกิดปัญหาที่ร้ายแรง”
ส้งเย่นกุยพยักหน้า
“มาถึงที่นี่หลายวันมานี้ นอกจากคิดทุกวิถีทางเพื่อรักษาอ๋องเย่ ก็คือทำความเข้าใจสภาพของที่นี่อย่างละเอียด
ทีแรกคิดว่าสายฟ้าแลบคือสาเหตุการใกล้จะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ของคนจากนอกแผ่นดิน หลังจากนั้นจึงพบว่า เป็นน้ำฝน โดยปกติหลังจากที่เกิดฟ้าแลบฟ้าร้องที่น่าสะพรึงกลัวทั้งสองอย่างพร้อมกันแล้ว ก็คือฝนสีดำที่มาพร้อมด้วยการกัดกร่อนตกยาวนานถึงสองสามวันขอรับ”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้
อดีตคนจากนอกแผ่นดินสามารถดำรงชีพอยู่บนแผ่นดินผืนนี้ได้ เช่นนั้นแผ่นดินผืนนี้ จำเป็นต้องมีเงื่อนไขพอเพียงที่จะสามารถดำรงชีพได้
คาดว่าก็เหมือนมนุษย์ที่ดำรงชีวิตในแผ่นดินใหญ่นั้นเช่นกัน
บางทีเพราะคนจากนอกแผ่นดินไม่รู้จักการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติอย่างสมเหตุสมผล ขุดหรือทำลายมากเกินไป จึงได้ทำให้สภาพแวดล้อมค่อยๆเกิดการเปลี่ยนแปลงไปจนร้ายแรง สภาพอากาศค่อยๆเปลี่ยนเป็นย่ำแย่
ในยุคแรกตอนนั้น
แผ่นดินใหญ่ผืนนี้ที่คนจากนอกแผ่นดินดำรงชีวิต คาดว่าก็ได้รับผลกระทบที่ค่อนข้างรุนแรงแล้ว ดังนั้นจึงได้เลือกบุกเข้าไปโจมตีสถานที่อื่น ทำอะไรไม่ได้สู้ไม่ชนะ ก็ทำได้เพียงกลับมาดำรงชีพที่นี่ต่ออีก
หลังจากผ่านไปหลายพันปี
ค่อยๆก่อตัวเป็นฝนสีดำทำให้น้ำมรกตเขาสีเขียวสูญหายไปทั้งหมด พื้นดินเปลี่ยนคุณสมบัติ สภาพอากาศถึงขีดสุด วัฏจักรที่เลวร้ายเช่นนี้ ก่อตัวเป็นสภาพแวดล้อมที่ไม่มีทางจะดำรงชีพได้
สุดท้าย ศพสะสมกองเป็นภูเขา คนจากนอกแผ่นดินใกล้จะสูญสิ้นเผ่าพันธุ์ พวกเขาจำเป็นต้องบุกเข้าโจมตีแผ่นดินที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตอีกครั้งเท่านั้น
“มิน่าล่ะ ผู้บัญชาการทหารของคนจากนอกแผ่นดินถึงได้ยอมนำกองกำลังใหญ่ไปสู่ศึกจนตาย แล้วไม่กลับมาที่นี่ ยังให้คนแอบพาลูกเด็กเล็กแดงของคนจากนอกแผ่นดินเข้าซ่อนตัวในป่าลึกอีก เพียงเพื่อไม่ให้คนจากนอกแผ่นดินสูญพันธุ์
แต่ว่า!
ผู้ที่เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ เป็นผู้เหมาะสมที่จะอยู่รอดได้
คนจากนอกแผ่นดินบุกเข้าโจมตีก่อน หลังจากนั้นมนุษย์โจมตีกลับ โกรธแค้นคนจากนอกแผ่นดินเข้ากระดูกดำ จนแทบจะถลกหนังดึงเส้นเอ็น ทอดผัดนึ่ง โปรยต้นหอมขิงกระเทียมเล็กน้อย จะหยุดไล่ล่าเพราะหลบหนีเข้าไปในป่าลึกได้อย่างไร?
คิดถึงตรงนี้
หลานเยาเยาก็คิดถึงอาวุธโบราณเหล่านั้นที่ตัวเองสร้างขึ้นอย่างกะทันหัน อดที่จะถอนหายใจเสียงหนึ่งไม่ได้ จะไม่เดินตามวิธีการเก่าๆของคนจากนอกแผ่นดินเด็ดขาด และไม่สามารถปรากฏขึ้นได้ในยุคแรก หลังจากสงครามใหญ่สิ่งที่ฮ่องเต้รุ่นแรกประสบ
ดังนั้นก่อนที่จะสร้างอาวุธโบราณ
นางก็ได้ติดตั้งอุปกรณ์ทำลายตัวเองเช่นกัน สงครามใหญ่สิ้นสุดแล้ว นอกจากไล่สังหารคนจากนอกแผ่นดินหลานคนที่พาลูกเด็กเล็กแดงของคนจากนอกแผ่นดินหลบหนี รถถังโบราณที่ทรงพลังเหล่านั้นก็ไม่ได้ใช้งานแล้วโดยสิ้นเชิง
ด้วยเหตุนี้!
นาทีนั้นที่ฝนสีดำตกลงมาจากท้องฟ้ายามค่ำคืน นางเปิดใช้การอุปกรณ์ทำลายตัวเอง รถถังโบราณทั้งหมดที่อยู่ไกลถึงอีกฝั่งหนึ่งของท้องทะเลกว้างใหญ่ถูกลายลงอัตโนมัติในเวลาเดียวกัน
คนที่รับผิดรับเฝ้าดูแลรถถังโบราณ ตกใจอย่างรุนแรง รีบเอาเรื่องไปรายงานทันที
บรรดาผู้คนล้วนคิดว่าแม้กระทั่งเทพธิดาก็สิ้นชีพแล้ว ทุกประเทศไว้อาลัยด้วยความเศร้าโศก ราษฎรทั้งหมดเป็นทุกข์ใจอย่างที่สุด
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน
เรือแห่งความสิ้นหวังมาจากทะเล เทพธิดาก็พาเย่แจ๋หยิ่งกลับมาแล้ว
ทำให้ทุกประเทศตกตะลึง ทยอยสั่งให้คนรื้อถอนรูปปั้นและสุสานที่สร้างขึ้นเพื่ออ๋องเย่และเทพธิดาโดยเฉพาะ
ทุกประเทศรวมตัวกัน เอ่ยถึงเรื่องรถถังโบราณที่ทำลายตัวเอง
หลานเยาเยาตอบเพียงเรียบๆเท่านั้น “ใช้ไม่ได้แล้ว พวกมันก็ต้องทำลายตัวเองเป็นธรรมชาติ อาวุธโบราณเหล่านั้นยังคงสามารถใช้ต่อกรกับคนจากนอกแผ่นดินที่เหลือรอดได้ แต่ว่า พวกมันก็จะค่อยๆเก่าไป จากนั้นเหมือนรถถังโบราณเช่นนั้น ทำลายตัวเอง”
ตอนนี้ สงครามใหญ่เพิ่งจะสิ้นสุด ทุกประเทศยังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สามัคคีกันเป็นหนึ่ง
แต่จากกาลเวลาที่เปลี่ยนไป ไม่มีการข่มขู่จากภายนอก แผ่นดินใหญ่เกิดความวุ่นวายภายในแตกแยกกระจัดกระจายเป็นเรื่องที่ต้องเกิดไม่ช้าก็เร็ว
นางไม่สามารถให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยได้!
ต่อจากนั้นนางยังบอกบรรดาฮ่องเต้ทุกๆประเทศ นางต้องการพาอ๋องเย่ที่เหมือนดั่งคนตายกลับคืนสู่ชีวิตสันโดษในป่าเขา ไม่ไถ่ถามถึงเรื่องทางโลกอีกตั้งแต่นี้เป็นต้นไป บรรดาฮ่องเต้ของทุกๆประเทศทำทุกวิถีทางให้อยู่ต่อ แต่หลานเยาเยากลับตัดสินใจที่จะไป เหล่าฮ่องเต้เพียงแค่จัดงานเลี้ยงเพื่อการเดินทางของพวกเขา
ขณะที่ถูกถามว่าจะไปแห่งใด
หลานเยาเยาเพียงแค่ส่ายศีรษะ “ไม่รู้ ทุกหนทุกแห่งเป็นบ้านล่ะมัง!”
ในความเป็นจริง นางคิดไว้ล่วงหน้าแล้วว่าต้องการไปที่ไหน นั่นก็คือภูเขาป่ายฉีที่ภูมิประเทศสูงและอันตรายเป็นที่สุด
เพราะที่นั่นทิวทัศน์งดงาม เหมาะแก่การบำรุงรักษาร่างกาย ที่สำคัญที่สุดคือ ที่นั่นยาแต่ละชนิดมีพร้อมมากที่สุด และไม่เคยมีผู้ใดเหยียบย่ำ นางสามารถรักษาเย่แจ๋หยิ่งให้ดีๆ เพราะเป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด
หานแสที่ชีวิตไร้ความกังวล ตัดสินใจให้เรือแห่งความสิ้นหวังแล่นต่อไป เพียงเพื่อความมั่นใจและศรัทธาอย่างหนึ่ง นั่นก็คือเฝ้าปกป้องรักษา
ไม่สามารถเฝ้าปกป้องรักษาข้างกาย เป็นสามี เช่นนั้นก็ปกป้องชายฝั่งเพื่อนาง ปกป้องให้นางไร้ความกังวลภายนอก
แน่นอน!
การค้าก็ยังต้องการทำ ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็อดตายสิ!
ก่อนจากไป คนคุ้นเคยมีไม่มาก นอกจากเย่แจ๋หยิ่งที่นอนอยู่บนรถม้า นางพาไปเพียงส้งเย่นกุยผู้เดียว ญาติและคนใช้ไม่เอาสักคน ทั้งยังปฏิเสธของล้ำค่าที่ฮ่องเต้แต่ละประเทศมอบให้อีก
ไม่ใช่นางไม่อยากเอา
แต่เพราะทุกประเทศมีหลายอย่างที่ค้างคารอให้ไปทำ อีกทั้งล้วนไม่ได้ล้ำค่าเท่าสิ่งของในคลังเล็กๆของนาง นางในตอนนี้ ร่ำรวยจนสามารถสู้กับทั้งแผ่นดินใหญ่ทั้งผืนได้ นางถึงจะเป็นคนที่มีคุณค่าที่สุด
รถม้าดำเนินไปได้ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มร่างใหญ่นั่งบนม้าตัวสูงผู้หนึ่ง มือถือมีดทำครัวคู่ ฝืนขวางทางไปไว้ พูดอย่างโอ้อวด
“เทพธิดาขาดพ่อคนทำอาหารหรือไม่ขอรับ?”
หลานเยาเยาเลิกม่านรถม้าดูทันที คิ้วที่เดิมทีขมวดอยู่เล็กน้อย ค่อยๆคลาย
“ขาด!”
มีซาหมั่นเฉิงเป็นคนทำอาหารในภูเขา ชีวิตจะต้องผ่อนคลายสบายตัวเป็นอย่างมาก
แต่วินาทีต่อมา ด้านหลังซาหมั่นเฉิงมีหัวโผล่ออกมาหัวหนึ่ง เป็นป่ายเม่ยเซิงที่หน้าตาน่าต่อย ยังไม่ลืมที่จะกะพริบตาส่งจูบส่งความรู้สึกให้นางด้วย “เทพธิดา ขาดผ้าห่มอุ่นๆไหมขอรับ?”
“ขาดคนช่วยหุงหาอาหาร!”
หลานเยาเยาอดที่จะกัดฟันไม่ได้
“ก็ได้ คนหุงหาอาหารก็เป็นผู้ชาย ได้เอาเปรียบแล้วนะขอรับ!”
“……”
โดยไม่รู้เลยว่า ได้ยินคำพูดเช่นนี้ เย่แจ๋หยิ่งที่นอนอยู่ในรถม้า นิ้วมือขยับเล็กน้อยแล้วอย่างสังเกตไม่ได้
และดำเนินไปอีกระยะหนึ่ง
ด้านหลังมีเสียงควบม้าดังมา คำว่าคุณหนูแต่ละคำดังมาจากด้านหลัง
ส้งเย่นกุยไม่พอใจ พูดอย่างจนปัญญา
“คาดว่าท่านยังขาดผู้คุ้มกันสองคนที่บาดเจ็บจนพิการ สาวใช้สองคนที่ตาบอดผู้หนึ่งขาพิการผู้หนึ่ง พ่อบ้านอีกผู้หนึ่งที่ใกล้จะตายมิตายแหล่ ยังมีนักกินจุอีกผู้หนึ่งที่ปะปนมากินเพื่อรอความตายนะขอรับ”