หวานรักจับหัวใจท่านประธาน - ตอนที่ 711 อยู่ที่เดิมอย่าขยับ / ตอนที่ 712 ภรรยาคนที่สอง!
ตอนที่ 711 อยู่ที่เดิมอย่าขยับ
“แน่ใจว่าเป็นมิสเตอร์คาติใช่ไหม คุณไม่ได้จำผิดแน่นะ” มือที่ถือแก้วกาแฟของเหนียนเสี่ยวมู่กระชับแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ตื่นเต้นจนแทบจะบีบแก้วให้แตกคามือ
ซ่างซินมองดูภาพนั้นในโทรศัพท์อีกรอบแล้วเอ่ยขึ้นอย่างมั่นใจ “แม้ว่าคนที่อยู่ในภาพจะดูแตกต่างจากตอนที่ฉันเห็นเล็กน้อย แต่ว่าฉันจำเขาได้ ขนาดชุดที่เขาใส่อยู่ยังเหมือนกับตอนที่ไปรับเธอเป๊ะเลย!”
เป็นชุดสูทสีดำเป็นทางการแบบนี้แหล่ะ
เทคไทก็ผูกอย่างเป็นระเบียบ
ความรู้สึกที่รับรู้ได้ยังเหมือนกันอีกด้วย
ซ่างซินแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จำผิดคน
คนคนนี้ น่าจะเป็นคนที่เธอเห็นที่หน้าประตูโรงเรียนในตอนนั้น
“เมื่อกี้คุณเรียกเขาว่ามิสเตอร์คาติ คุณจำเขาได้เหรอ” ซ่างซินถามอย่างแปลกใจ
“หลังจากที่ตระกูลสิงเกิดเรื่องขึ้น เขาเป็นคนคอยให้ความช่วยเหลือตระกูลสิง แถมยังช่วยมาตลอดเจ็ดปี”
เหนียนเสี่ยวมู่ถือแก้วกาแฟแล้วเอนพิงพนักเก้าอี้ สีหน้าเปลี่ยนเป็นมึนงง
เธอคิดไม่ถึงเลย เดิมทีแค่อยากจะมาส่งซ่างซินเฉยๆ แต่จู่ๆ กลับรับรู้เรื่องที่สำคัญแบบนี้
เธอเรียบเรียงข้อมูลที่รับรู้ใหม่ในวันนี้ทีละเรื่อง
เดิมทีเธอคิดว่าตัวเองเป็นเด็กที่ตระกูลสิงรับมาเลี้ยง
แต่สิ่งที่ทุกคนในตระกูลสิงบอกกับเธอมันก็พิสูจน์ได้แล้วว่า สิ่งที่สามีภรรยาสิงปฏิบัติกับเธอมันไม่เหมือนกับสิ่งที่จะปฏิบัติต่อเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยงคนหนึ่ง
แล้วยังมีเรื่องเมื่อสิบปีที่แล้วอีก ก่อนเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ใครเป็นคนมารับตัวเธอไป
ปัญหาเรื่องนี้หาคำตอบไม่ได้สักที
ถ้าหากกล้าคิดสักหน่อย เธอไม่ใช่เด็กกำพร้าที่ถูกทิ้ง แต่ถูกพ่อแม่แท้ๆ ส่งไปให้ตระกูลสิงช่วยเลี้ยงตั้งแต่เกิด จวบจนเธออายสิบปถึงได้มีคนมารับตัวเธอไป
แล้วหลังจากเกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ ผู้มีพระคุณที่ปรากฏตัวขึ้นที่บ้านสิงก็อาจจะเป็นเพราะพ่อแม่ของเธอเป็นคนจัดการ!
ตอนนั้น เธอถูกรับไปที่ไหนกันแน่
พ่อแม่แท้ๆ ของเธอล่ะ
ภาพไฟไหม้ในความทรงจำของเธอมันคืออะไรกันแน่
มิสเตอร์คาติหายตัวไปเมื่อสามปีที่แล้ว เธอได้รับบาดเจ็บหนักอยู่แถวโรงพยาบาลเมื่อสามปีที่แล้ว……เรื่องสองเรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร
เธอรู้สึกเหมือนว่าเธอเข้าใกล้ความจริงเข้าไปทุกทีแล้ว แต่กลับมีอะไรบางอย่างกั้นเอาไว้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มองไม่เห็น……
คำตอบสุดท้ายก็ต้องพึ่งสิงลี่อยู่ดี
ขอแค่สิงลี่บอกกับเธอว่าคนที่มารับตัวเธอไปคือใคร
หรือไม่ก็บอกมาว่าชื่อจริงๆ ของเธอคืออะไร เธอก็จะสามารถหาข้อมูลของตัวเองต่อได้จากโรงเรียนแองเจิล……
“ซ่างซิน ฉันมีธุระด่วนขอตัวก่อนนะ พรุ่งนี้คุณบินตอนกี่โมง ฉันจะไปส่ง” เหนียนเสี่ยวมู่วางแก้วกาแฟลงแล้วเอ่ยพูด
แววตาของซ่างซินไหววูบ ส่อความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ “สิบโมงเช้า”
“ฉันต้องไปส่งแน่” เหนียนเสี่ยวมู่ลุกขึ้นจากเก้าอี้ ก้มหน้าไปหอมแก้มหญิงสาวหนึ่งที
“ดูแลตัวเองดีๆ นะ ตัวเล็ก”
ซ่างซิน : “……”!!
เมื่อซ่างซินได้สติ คนที่แต๊ะอั๋งเธอก็หยิบโทรศัพท์เดินออกจากร้านกาแฟไปอย่างรวดเร็ว
พอเดินออกมาถึงหน้าประตู เหนียนเสี่ยวมู่ก็ได้รับโทรศัพท์จากอวี๋เยว่หาน
“อยู่ที่ไหน”
น้ำเสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มแฝงไปด้วยความไม่พอใจ
ในหัวของเหนียนเสี่ยวมู่แทบจะนึกภาพออกเลยว่าตอนนี้ชายหนุ่มกำลังถือโทรศัพท์พลางคลายเนคไทของตัวเองอยู่
หญิงสาวยิ้มออกมา “คุณประชุมเสร็จแล้วเหรอ ฉันกำลังจะไปสถานีตำรวจ คุณจะไปกับฉันหรือเปล่า”
“ยืนอยู่กับที่อย่าขยับนะ เดี๋ยวผมไปรับ” อวี๋เยว่หานพูดขึ้นเบาๆ
สิ้นเสียงก็กดวางสายไป
เหนียนเสี่ยวมู่ : “o(╯□╰)o……”
ยืนอยู่กับที่อย่าขยับ เธอไม่ใช่หุ่นเชิดสักหน่อย
ตอนที่ 712 ภรรยาคนที่สอง!
เทพธิดาว่าง่ายขนาดนั้นเลยหรือไงนะ
แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว
เหนียนเสี่ยวมู่เบ้ปากน้อยๆ เดินถือกระเป๋า วิ่งตึงตังไปที่ริมถนน
ซื้อผลไม้เคลือบน้ำตาลให้ตัวเองหนึ่งไม้ กินระหว่างยืนรอ
นึกไม่ถึงว่าตัวเองเพิ่งกินไปได้ไม่กี่ลูก รถสีดำคันหรูคันหนึ่งก็แล่นมาจอดตรงหน้าของตัวเอง
ในมือของเหนียนเสี่ยวมู่ยังคงถือผลไม้เคลือบน้ำตาลเอาไว้อยู่ กำลังพยายามเอนศีรษะกัดผลไม้ที่อยู่ตรงปลายไม้ออกมา ไม่สนใจคราบน้ำตาลที่ติดอยู่บริเวณมุมปากแม้แต่น้อย วินาทีต่อมา ก็เห็นกระจกรถค่อยๆ เลื่อนลง
จู่ๆ ใบหน้าสมบูรณ์แบบของอวี๋เยว่หานก็ปรากฏแก่สายตา
พร้อมด้วยสายตารังเกียจของชายหนุ่ม
เขาเอาแต่จ้องไปที่น้ำลายบริเวณมุมปากของเธอ สายตาเอือมระอาราวกับกำลังจะสื่อออกมาว่า ”ดูท่ากินเข้าสิ ผลไม้เคลือบน้ำตาลไม้เดียวก็เผยธาตุแท้ของคุณออกมาแล้ว ยังกล้าเรียกตัวเองว่าเทพธิดาอีก”
เหนียนเสี่ยวมู่ “……”
ถ้าเธอทิ้งผลไม้เคลือบน้ำตาลไปตอนนี้ ยังทันไหมนะ
แต่เมื่อมองดูสายตารังเกียจของชายหนุ่มที่ยังคงมองมาอย่างต่อเนื่องแล้ว คงจะไม่ทันแล้วสินะ
อีกอย่างการกินทิ้งกินขว้างไม่ใช่นิสัยของคนชอบกินแบบเธออยู่แล้ว
เหนียนเสี่ยวมู่เม้มปาก เคี้ยวผลไม้เคลือบน้ำตาลตุ้ยๆ เอื้อมมือไปเปิดประตูรถเตรียมจะเข้าไปนั่ง
เมื่อออกแรงเปิดกลับพบว่าประตูยังคงล็อกอยู่
ปากที่กินของหวานอยู่บ่นอุบอิบ “อวี๋เยว่หาน คุณลืมปลดล็อก”
อวี๋เยว่หาน : “เหนียนเสี่ยวมู่ รถคือภรรยาคนที่สองของผู้ชายคุณรู้ไหม คายไอ้ของที่คุณเคี้ยวอยู่ทิ้งไปก่อน เดี๋ยวมันจะทำภรรยาผมเปื้อน”
เหนียนเสี่ยวมู่ “……”!!
ไม่ให้เธอกินแม้กระทั่งผลไม้เคลือบน้ำตาล เขาเชื่อไหมว่าเธอสามารถทำให้เขากลายเป็นโสดแล้วไปอยู่กับภรรยาของเขาได้ในทันที
ทั้งสองสบสายตากัน มองสื่อกันด้วยสายตาโดยไร้เสียงพูด
สุดท้ายอวี๋เยว่หานก็ต้องยอมแพ้ บอกให้ผู้ช่วยเปิดประตูรถ
เหนียนเสี่ยวมู่ประคองผลไม้เคลือบน้ำตาลของตัวเองเอาไว้อย่างอารมณ์ดีแล้วสอดตัวเข้าไปนั่งในรถ
เมื่อนั่งเรียบร้อยก็กัดผลไม้เคลือบน้ำตาลกินต่อทันที แล้วหันไปแสดงอำนาจใส่อวี๋เยว่หาน “คุณเพิ่งโทรหาฉันเองไม่ใช่หรือไง ทำไมมาถึงเร็วจัง”
ความเร็วแบบนี้ พอๆ กับขับเครื่องบิน ถ้าบอกว่าขับรถมาเป็นไปไม่ค่อยจะได้
ดวงตาดำของอวี๋เยว่หานเป็นประกาย เอ่ยตอบเสียงเย็นๆ “อยู่แถวนี้พอดี”
“ก็ไม่ถูกอยู่ดี เมื่อกี้คุณวางสายเร็วมาก ฉันยังไม่ได้บอกที่อยู่กับคุณเลย คุณมารับฉันได้ยังไงกัน อวี๋เยว่หานคุณสะกดรอยตามฉันเหรอ” เหนียนเสี่ยวมู่กลืนผลไม้เคลือบน้ำตาลลงคอ เมื่อคิดได้ถึงความเป็นไปได้นี้ ก็จ้องเขม็งไปที่อวี๋เยว่หาน
วินาทีต่อมา ก็ถูกเคาะที่หน้าผาก
“คุณส่งข้อความมาหาผมตอนที่อยู่ในร้านกาแฟ มันมีที่อยู่แสดงอยู่ด้วย”
เหนียนเสี่ยวมู่ “o(╯□╰)o……”
เธอลืมเรื่องแชร์ที่อยู่ไปให้ชายหนุ่มเสียสนิทเลย
หญิงสาวพุ่งเข้าไปในอ้อมกอดของชายหนุ่มอย่างเอาใจ ซุกหน้าอยู่ตรงบริเวณแผงอกของเขา แสร้งทำเหมือนว่าเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น กินผลไม้เคลือบน้ำตาลต่อไป
“……”
อวี๋เยว่หานก้มมองดูใบหน้าด้านข้างที่มีเสน่ห์ของเธอด้วยสายตาอันอ่อนโยน ทำเอาหญิงสาวอ่อนระทวยไปทั้งร่าง
มือที่กุมมือของหญิงสาวเอาไว้กระชับแน่นขึ้น ดวงตาดำขลับเปลี่ยนเป็นซับซ้อน
นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงนี้แล้วเขาก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ บางที เขาอาจจะต้องพิจารณาติดตั้งระบบตามตัวในโทรศัพท์ของเธอจริงๆ ซะแล้ว เผื่อวันไหนทำเธอหายไปจริงๆ……
“เอี๊ยด”
รถแล่นมาถึงสถานีตำรวจ
สิงลี่ถูกนำตัวมาสอบสวน ตามขั้นตอนแล้ว สามารถเข้าเยี่ยมได้
พนักงานในสถานีตำรวจได้ยินจุดประสงค์การมาของพวกเธอ ก็เอ่ยขอโทษ “พวกคุณมาช้าไปแล้วครับ สิงลี่ไม่ได้อยู่ที่นี่แล้วแต่ถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแทน และทางเราก็เพิ่งได้ข่าวจากทางโรงพยาบาลว่าตอนนี้ยืนยันชัดเจนแล้วว่าเธอป่วยเป็นโรค PTSD เนื่องจากเธอยอมรับไม่ได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้พ่อแม่ของตัวเองตาย ตอนนี้เธอเป็นบ้าไปแล้วครับ”