หัวโจก - ตอนที่ 12 สารภาพมา
ราวกับเวลาหยุดเดิน ทั้งโจวจิ้ง เฮ่อซวิน และหยวนคังฉี ไม่แสดงสีหน้าใดๆ มีเพียงเมี่ยเจวี๋ยที่เบิกตากว้าง
อาจเพราะที่ผ่านมา เด็กสาวคนนี้ค่อนข้างใสซื่ออ่อนโยนไม่คิดว่าจะกล้าทำเรื่องรุนแรงเช่นนี้
หลังแย่งมือถือมาได้ หวังหานก็กดตัดสาย น้ำใสๆ ไหลอาบสองแก้ม
เมี่ยเจวี๋ยกำลังจะเอ่ยปาก แต่ถูกโจวจิ้งพูดแทรกขึ้นก่อน “ถ้าไม่อยากให้แจ้งตำรวจ ก็สารภาพมา เผื่อจะช่วยหาทางออกให้!”
เฮ่อซวินและหยวนคังฉียืนลุ้นอยู่ด้านข้าง ด้วยความละอายหวังหานยกสองมือขึ้นปิดหน้า แล้วทรุดตัวลงร้องไห้กับพื้น
โจวจิ้งไม่เรียกอีกฝ่ายให้ยืนขึ้น เมี่ยเจวี๋ยที่รู้สึกสงสารจึงเข้าไปประคองปลอบ
ทุกคนอดทนรอกระทั่งหวังหานหยุดร้องไห้ หลังสะอึกสะอื้นพักใหญ่ เธอก็สารภาพความจริงทั้งหมด
ดูเหมือนหวังหานจะเป็นเด็กเคราะห์ร้ายไม่เบา เพราะหลังจากรวบรวมเงินเก็บของห้องได้ เธอก็รีบออกไปซื้อชีทสรุปที่หน้าโรงเรียน แต่กลับทำเงินหายระหว่างทาง ช่วงเลิกเรียน บนถนนเต็มไปด้วยผู้คนพลุกพล่าน แม้หวังหานจะเก็บเงินใส่กระเป๋าอย่างดี แต่กลับถูกกรีดเอาไปจนได้
กว่าจะเก็บเงินห้องได้ครบ เธอต้องใช้ความพยายามสูงมาก ประกอบกับเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ทั้งชีวิตไม่เคยแตะต้องเงินก้อนพอทำหายจึงรู้สึกกลัวและไม่กล้าบอกใคร เมื่อเห็นว่าโจวจิ้งกับเคอเสี่ยวฝานกำลังปีนหน้าต่างห้องแล็บ จึงหาทางออกด้วยวิธีสกปรก
ถ้าทำหายก็ต้องรับผิดชอบ แต่หากถูกขโมยก็จะพ้นผิด
ไหนๆ เคอเสี่ยวฝานห้องยี่สิบก็คะแนนไม่ดีอยู่แล้ว ซ้ำยังเป็นอันธพาลอีก คนอย่างเขาไม่มีทางเอาอะไรมาแย้งเธอได้แน่
คนเราเวลาทำผิดมักคิดว่าไม่มีใครจับได้ คาดไม่ถึงว่าคนอย่างโจวจิ้ง ผู้ไม่เคยสนใจอะไรนอกจากตัวเอง กลับออกหน้าแทนเคอเสี่ยวฝาน ซ้ำหยวนคังฉีและเฮ่อซวินยังมาเป็นพยานให้อีก
หวังหานที่เป็นคนโกหกไม่เก่งอยู่แล้ว พอถูกขู่จึงยอมพูดความจริงทั้งหมด
ไม่มีใครคาดเดาจุดจบได้ รู้เพียงสีหน้าของเมี่ยเจวี๋ยตอนนี้ย่ำแย่ ส่วนโจวจิ้งก็จ้องหวังหานอย่างดูแคลน
ในสายตาของคนเป็นครู เรื่องนี้ยากจะเที่ยงตรงและไม่ลำเอียงได้ แต่โจวจิ้งไม่ใช่ครูโรงเรียนนี้ ไม่ใช่กระทั่งนักเรียน จึงสามารถมองเรื่องนี้อย่างใจเย็นและเป็นธรรม
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะโกหก…” หวังหานร้องไห้อ้อนวอน “ฉันขอโทษนะโจวจิ้ง”
“ไม่ต้องขอโทษฉัน ไปขอโทษเคอเสี่ยวฝานดีกว่า แม้สิ่งที่เธอโดนจะน่าสงสาร แต่ก็ไม่ควรโยนความผิดให้คนอื่นแบบนี้ ถ้าฉันไม่ช่วยเขา ถ้าเฮ่อซวินกับหยวนคังฉีไม่มาเป็นพยาน ถ้าไม่มีคนเรียกเธอมาไต่สวนอีกรอบ เธอคงไม่ยอมรับผิดใช่ไหม?” โจวจิ้งกอดอก “คิดแค่ว่าตัวเองจะต้องพ้นผิด ไม่คิดว่าเคอเสี่ยวฝานจะถูกไล่ออกบ้างเลยเหรอ? คนอย่างเธอคงไม่คิดและไม่สนใจด้วยซ้ำ เพราะมันไม่เกี่ยวกับชีวิตเธอ ขอแค่เป็นเด็กเก่งเด็กดีในสายตาครู ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าสิ่งที่ทำส่งผลเสียกับคนอื่นยังไง!”
แต่ละคำของเธอไม่ต่างจากมีดที่กรีดลงกลางใจ ทำเอาหวังหานยืนหน้าซีด เมี่ยเจวี๋ยเองก็พูดอะไรไม่ออก
โจวจิ้งถอนหายใจยาว “บอกตามตรง ฉันไม่สงสารเธอเลย” พูดจบก็หันไปทางเมี่ยเจวี๋ย “ครูจะจัดการยังไงก็เรื่องของครู หนูไม่สนในเมื่อกระจ่างแล้วเคอเสี่ยวฝานก็สมควรได้กลับมาเรียน”
เธอเดินออกจากห้องฝ่ายปกครองโดยไม่หันมองอีก พอเดินไปถึงระเบียง ก็หยุดยืนสูดหายใจอย่างโล่งอก
โจวจิ้งไม่เคยลืมความรู้สึกตอนที่ถูกใส่ร้าย และไม่สามารถให้อภัยหวังหานแทนเคอเสี่ยวฝานได้
เสียดายที่สมัยนั้นไม่มีคนแบบเธอมาช่วยคืนความเป็นธรรมให้ รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นฮีโร่ให้คนอื่นไปแล้ว
“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน” โจวจิ้งหัวเราะให้กับชะตากรรมของตัวเอง
โดยไม่รู้ตัว เธอถูกสองหนุ่มเดินตามออกจากห้องฝ่ายปกครองอย่างเงียบๆ และกำลังยืนมองจากทางด้านหลัง
หยวนคังฉีมองโจวจิ้งหัวจรดเท้าแล้วพูดอย่างอดไม่ได้ “ไม่รู้ว่าเธอมีมุมนี้ด้วย”
“มุมไหน?”
หยวนคังฉีนิ่งคิดครู่หนึ่ง “ความเป็นธรรมไง”
“ไหนๆ พวกเธอก็มาช่วยแล้ว ฉันเลี้ยงข้าวตอบแทนแล้วกัน กินที่ตลาดหลังโรงเรียนดีไหม?”
“ไม่ไป!” เฮ่อซวินปฏิเสธ
หยวนคังฉีลากคออีกฝ่าย “นายต้องไปกับฉัน!”
เหตุการณ์เมื่อวานถูกลือไปทั่วโรงเรียน แม้โจวจิ้งจะโด่งดังอยู่แล้ว แต่พอเกิดเรื่องเธอก็ดังยิ่งขึ้นไปอีก
โจวจิ้งต้อนรับเปิดเทอมด้วยการตบกับเถาม่านจนเข้าห้องพยาบาล ช่วยแก้คดีให้เคอเสี่ยวฝาน มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับสองหนุ่มหล่อ ทั้งหมดคือการใช้ชีวิตราวกับพรุ่งนี้คือวันสุดท้ายของชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
หากหลินเกาไม่ได้ไปแข่งขันวิชาการที่ต่างจังหวัด เรื่องคงน่าสนใจกว่านี้มาก
ทุกคนพากันคาดเดาความสัมพันธ์ระหว่างโจวจิ้งกับสองหนุ่มห้องกิฟต์ไปต่างๆ นานา จนเรื่องของเคอเสี่ยวฝานและหวังหานถูกลืมเลือน อาจเพราะพวกเขาฝังใจไปแล้วว่าเคอเสี่ยวฝานคือคนที่ขโมยเงินห้อง
ในเมื่อทุกอย่างจบลงด้วยดี โจวจิ้งจึงพยายามโทรหาเจ้าเขียว แต่เขาไม่รับสาย เลยต้องวานให้มั่วลี่และชาวแก๊งไปบอกที่บ้านแทน
ส่วนเรื่องเลี้ยงข้าวเฮ่อซวินและหยวนคังฉี คงต้องดำเนินไปตามสัญญา
ด้านหลังของโรงเรียนจะมีซอยที่ขายของกินไปตลอดทางกลางคืนเปิดไฟสว่างไสว ผู้คนพลุกพล่านขวักไขว่
ของที่นี่อร่อยแถมไม่แพง หากจะกินให้ครบทุกร้าน คงไม่ซ้ำกันทั้งเดือน
โจวจิ้งเลือกร้านชาบูที่ปกติไม่ค่อยได้กิน แม้แอร์ในร้านจะค่อนข้างเก่า ทำความเย็นได้ไม่ดี แต่ก็มีพัดลมตัวใหญ่ช่วยเป่าอีกแรง
ช่วงตั้งครรภ์ เธอปฏิบัติตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด เลี่ยงของกินที่ไม่สะอาด แม้ซูเจียงไห่จะเอาเวลาทั้งหมดไปให้ชู้มหาลัยอีกทั้งคนในครอบครัวก็ไม่สนใจเธอ แต่โจวจิ้งกลับดูแลตัวเองอย่างดี ไม่กินอาหารบุฟเฟ่ต์ที่ทำลายสุขภาพเลย
แต่เมื่อได้อยู่ในร่างของเด็กสาวอายุสิบแปด จึงไม่สนใจว่าอาหารจะดีต่อสุขภาพหรือไม่ สะอาดหรือเปล่า ขอแค่มีให้กิน เธอก็พร้อมที่จะกิน!
“ทำไมไม่กินล่ะ?” เธอถามระหว่างแทะน่องไก่อย่างมูมมาม
“ไม่ค่อยหิว” หยวนคังฉีฝืนยิ้ม
“ขอบใจพวกเธอมากที่ยอมช่วยฉัน ตอนแรกคิดว่าเด็กห้องกิฟต์จะไม่เสียเวลามาช่วยเด็กห้องบ๊วยซะแล้ว”
“แต่ก็มาให้พวกเราช่วยอยู่ดี?” หยวนคังฉียิ้ม “ว่าแต่เธอทะเลาะกับเคอเสี่ยวฝานเหรอ? แล้วจะทำยังไงต่อ?”
“ทำยังไงต่อ หมายความว่าไง?” โจวจิ้งตีความไม่ออก
“เขาโทษเธอ แต่เธอก็ยังเลือกที่จะช่วยเขา นิสัยเปลี่ยนไปจากเดิมมากรู้ตัวไหม?” หยวนคังฉีอธิบาย
“ก็แค่เด็กคนหนึ่ง จะคิดเล็กคิดน้อยไปทำไมไปทำไม” โจวจิ้งยิ้มแห้งกลบเกลื่อนเมื่อรู้ตัวว่าพูดอะไรออกไป “ฉันหมายถึง… เขานิสัยเหมือนเด็กน่ะ”
หยวนคังฉีหัวเราะและไม่ได้พูดอะไรต่อ
โจวจิ้งพยายามหาเรื่องคุยเพราะอยากรู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไงในสายตาพวกเขา อีกทั้งต้องการรู้เรื่องภายในของยวู่เต๋อไฮสคูลด้วย
เธอรู้ดีว่าระบบที่ผิดพลาดของสวรรค์จะไม่ส่งใครไปเกิดใหม่ในเร็ววันนี้ ฉะนั้น ยิ่งรู้เยอะจึงยิ่งปลอดภัย
ช่วงที่หยวนคังฉีลุกไปเข้าห้องน้ำ โจวจิ้งนั่งจ้องหน้าเฮ่อซวินอย่างใจจดใจจ่อ
เหมือนอย่างที่เจ้าเขียวเคยพูดไว้ เขาไม่ชอบสุงสิงกับใครเพราะความอดทนค่อนข้างต่ำ ซึ่งต่างจากหยวนคังฉี และหากไม่ใช่เพราะถูกอีกฝ่ายรั้ง ป่านนี้คงกลับถึงบ้านไปแล้ว
เฮ่อซวินรู้สึกไม่สบายตัวจึงขมวดคิ้วถาม “จ้องทำไมนักหนา?”
“เฮ่อซวิน” โจวจิ้งทำหน้าจริงจังราวกับมีเรื่องจะปรึกษา “มื้อนี้… เธอเลี้ยงแล้วกัน”
“อะไรนะ?” เฮ่อซวินถามซ้ำเพราะคิดว่าหูฝาด
“ฉันมีเรื่องอยากจะบอก” โจวจิ้งบิดตัวไปมาทำท่าเขินอาย “ขอยืมเงินหน่อยได้ไหม?”
“พูดเป็นเล่นไป!” เฮ่อซวินเริ่มมั่นใจว่าไม่ได้หูฝาด
“ไม่เยอะ 100 หยวนพอ” โจวจิ้งทำสายตาวิงวอน “ฉันไม่มีเงินกินข้าวแล้ว สาบานว่าจะคืนภายในอาทิตย์หน้า”
“…”
โจวจิ้งเกาหัวเบาๆ “ที่จริง… ฉันก็ถูกขโมยกระเป๋าสตางค์เหมือนกัน”