หัวโจก - ตอนที่ 25 ทุกคนเข้าที่
ตอนยื่นสมุดให้โจวจิ้ง หยวนคังฉีไม่ลืมที่จะถามสิ่งที่ค้างคาใจ “บอกมาก่อนว่าจะเอาไปทำอะไร”
“ก็เอาไปอ่านน่ะสิ จะให้เอาไปเผาเหรอ?”
“ก็เป็นไปได้” หยวนคังฉีตอบ
“ฉันดูงี่เง่าขนาดนั้นเลย?” โจวจิ้งกลอกตามองบน
“ใช่” หยวนคังฉียิ้มเยาะ
“ไว้สอบเสร็จจะพาไปเลี้ยงข้าวนะ” เธอตบบ่าอีกฝ่าย
“อย่าบอกนะว่าจะตั้งใจเรียนจริงๆ” หยวนคังฉีถามอย่างไม่เชื่อหู
“แปลกมากเลยเหรอ?”
“ทำเพื่อหลินเกาขนาดนี้ ใจถึงจริงๆ” หยวนคังฉีสูดหายใจเข้าลึก
“จะทำเพื่อเขาทำไม?” โจวจิ้งเบื่อมากที่ต้องได้ยินชื่อหลินเกา
แม้จะอยู่ในร่างของคนอื่น แต่เธอก็มั่นใจว่าหากเจ้าของร่างโตขึ้น จะต้องมองชีวิตในตอนนี้ว่าเป็นจุดบอดเช่นกัน
เมื่อสังเกตเห็นสีหน้าเบื่อหน่าย ไร้ซึ่งความโศกเศร้าของอีกฝ่าย หยวนคังฉีก็เปลี่ยนเรื่องคุย “ถ้าเธอกลับตัวกลับใจจริงๆ ฉันจะติวให้เอง ได้ที่หนึ่งของโรงเรียนมาสอนแบบนี้ ก็น่าจะ…” เขาฉุกคิด
ครู่หนึ่ง ก่อนจะชูห้านิ้วขึ้นกลางอากาศ “ขยับขึ้นเป็นที่ห้า”
“จากที่โหล่ขยับขึ้นเป็นที่ห้าจากท้ายน่ะเหรอ ฮ่าฮ่าฮ่า” โจวจิ้งขำ “ความคาดหวังที่นายมีต่อฉันต่ำเกินบรรยายจริงๆ”
ตั้งแต่เรียนหนังสือมา เธอไม่เคยสอบได้ลำดับอื่นนอกจากที่หนึ่ง พูดแบบนี้ ดูถูกกันเกินไปแล้ว!
“สอนฟรีไม่คิดเงิน” หยวนคังฉีขยิบตาข้างหนึ่ง
ใบหน้าของเขาคมชัดเป็นสัดส่วน ดวงตาระยิบระยับเผยเสน่ห์แรงกล้า ใครได้มองใกล้ๆ คงตกหลุมรักไปตามๆ กัน แต่ไม่ใช่โจวจิ้งที่มองอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็กมัธยมปลายคนหนึ่ง
“ไม่เป็นไร”
“แน่ใจเหรอ?”
เธอจ้องตาเด็กหนุ่มตรงหน้า “คิดจะหว่านเสน่ห์ใส่ฉันเหรอ?”
หยวนคังฉียักคิ้วข้างเดียวแล้วยิ้ม “ใช่”
“รู้ไหมว่าฉันอายุเท่าไหร่?” โจวจิ้งชี้ตัวเอง “ฉันน่ะ…” พอนึกขึ้นได้ก็เปลี่ยนคำพูด “สิบแปดแล้วนะ”
เธอถอนหายใจอย่างโล่งอก—เกือบหลุดปากบอกว่าสามสิบเอ็ดปีแล้ว!
“หืม?”
“ฉันอายุสิบแปดแล้ว หว่านเสน่ห์ใส่พวกรุ่นน้องน่าจะเวิร์กกว่า” เธอโบกสมุดในมือ “ถ่ายรูปเก็บไว้แล้วจะเอามาคืนนะ ขอบใจมากไปล่ะ”
หยวนคังฉีมองแผ่นหลังของอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม “สุดยอด!”
ไม่ว่าจะถูกหยอดอย่างไร โจวจิ้งก็ไม่เคยหวั่นไหว ทำเขารู้สึกพ่ายแพ้อย่างราบคาบ
ว่าแต่คนแบบนี้ไปชอบหลินเกาได้ยังไง?
หยวนคังฉีส่ายหน้าไม่เข้าใจแล้วหันหลังเดินกลับหอพัก
โจวจิ้งตั้งใจเรียนอย่างมาก
ไม่ใช่แค่ตั้งใจฟังครูสอน แต่ยังอ่านและติวเองจากสมุดจดของหยวนคังฉี เนื่องจากไม่มีเวลามาก จึงเก็บวิชาสามัญได้แค่ลวกๆ
เด็กมัธยมหกไม่มีวันหยุดยาวเหมือนคนทำงาน วันหยุดสุดสัปดาห์จึงมีค่ามาก
เธอฝังตัวอยู่ในหอพักสามวันติดเพื่ออ่านหนังสืออย่างหนัก เพราะต้องสอบแบ่งห้องในวันจันทร์ที่จะถึงแล้ว
การสอบของยวู่เต๋อจะนั่งเรียงตามคะแนนที่เคยได้ จุดที่โจวจิ้งนั่งจึงเป็นศูนย์รวมของเด็กคะแนนต่ำที่สุดในโรงเรียน
นักเรียนทุกคนในห้องสอบพากันตกตะลึงเมื่อเห็นเธอเดินถือปากกาเข้ามา รวมถึงตอนที่นั่งทำข้อสอบอย่างจริงจังด้วย ไม่เพียงเท่านั้น ครูผู้คุมสอบยังจับจ้องแต่เธอตลอดเวลา
หลังสอบเสร็จ ข่าวเกี่ยวกับเธอก็ถูกโพสต์ลงกระทู้อีกครั้ง
แอดมินเพจเล่าว่าเธอโดนหลินเกาทำร้ายจิตใจจนกลับตัวเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ยังบอกด้วยว่าจะรอดูคะแนนสอบที่อาจทำให้เธอต้องขายหน้า
คำวิจารณ์เหล่านี้ไม่ทำให้โจวจิ้งเสียอารมณ์ เพราะต้องซ้อมวิ่งสำหรับงานกีฬาสี
โรงเรียนจัดงานกีฬาสีสองวันเต็ม ซึ่งตรงกับช่วงสอบพอดี เพื่อที่นักเรียนจะได้มีกิจกรรมคลายเครียด
แม้จะต้องเตรียมการสอบ แต่โจวจิ้งก็ไปซ้อมวิ่งตลอด จึงมั่นใจกับการแข่งครั้งนี้มาก
“สู้ๆ นะ” เฝิงเอี้ยนให้กำลังใจ
“ขอบใจมาก” โจวจิ้งส่งจูบให้
พอชีวิตมีเป้าหมาย เธอก็อารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด กับเฝิงเอี้ยนก็สนิทสนมกันมากขึ้น จนอีกฝ่ายไม่กลัวเธออีกต่อไป
ยังไม่ถึงสนามแข่งดี มั่วลี่ก็ส่งข้อความมาหา “ฉันถึงแล้ว เจ๊อยู่ที่ไหน?”
“กำลังเดินไป” โจวจิ้งส่งข้อความกลับ
เมื่อถึงสนามกีฬา เธอก็ไปเปลี่ยนชุดพละในห้องน้ำ
เสื้อโปโลสีแดงสดกับกางเกงกีฬาขาสั้นทำโจวจิ้งรู้สึกเขินไม่น้อย แต่ก็ต้องทำใจแล้วรวบผมเดินออกมา
ที่ข้างสนาม เถาม่านกับหลินเกากำลังยืนคุยกับนักเรียนที่รับหน้าที่เป็นกรรมการตัดสิน ด้วยความสดของชุดพละที่โจวจิ้งใส่ จึงถูกทั้งคู่หันมองเป็นตาเดียว
อาจเพราะยังจำฉากของหลินเกาในห้องสมุดได้ เธอจึงมองความสัมพันธ์ของพวกเขาด้วยสายตาจับผิด
เถาม่านมองค้อนแล้วหันไปคุยกับกรรมการต่อ เช่นเดียวกันหลินเกา เมื่อถูกหมางเมินราวกับเป็นวิญญาณ โจวจิ้งก็แค่นเสียงฮึแล้วเดินไปที่กลางสนาม
อีกไม่กี่นาทีก็ต้องลงแข่งแล้ว จึงต้องเตรียมตัวล่วงหน้าก่อน
“เริ่มแข่ง 11 โมงใช่ไหม?” หยวนคังฉีโทรหาเธอด้วยเสียงกระตือรือร้น
“ใช่”
“เดี๋ยวฉันกับเฮ่อซวินจะตามไปเชียร์”
“พวกนาย… มีแข่งไม่ใช่เหรอ?” โจวจิ้งจำได้ว่าทั้งคู่มีแข่งบาสเกตบอล
“เริ่มแข่งตอนเที่ยง” หยวนคังฉีตอบ “ก็เลยจะแวะไปเชียร์ก่อน”
“ตามนั้น” พูดจบเธอก็กดตัดสาย
โจวจิ้งเดินไปยังจุดสตาร์ทซึ่งเต็มไปด้วยนักกีฬาที่มายืนรอ
ปกติตัวแทนแต่ละห้องจะมีเพื่อนๆ ยกขบวนกันมาเชียร์ต่างจากเธอที่มีแต่คนห้องอื่นมายืนชี้
“ทำไมคนเยอะจัง” เธอถามมั่วลี่ที่ยืนอยู่ด้านข้าง
“พวกนั้นคิดว่าเจ๊เป็นบ้าเพราะหลินเกาเลยมามุงดูกันใหญ่”
เธอแค่ลงแข่งกีฬาสี ต้องตื่นเต้นกันขนาดนี้เลยเหรอ!
“อย่าไปสนใจเลย วิ่งเป็นพิธีก็พอ ครบรอบค่อยเดินออกจากสนาม” มั่วลี่พูดปลอบ
“เธอไม่เชื่อใจฉันเหรอ?” โจวจิ้งเบ้ปาก
“วิ่ง 800 เมตร ขนาดผู้ชายยังแทบแย่ ไหนจะบรรดาคู่แข่งของเจ๊อีก”
โจวจิ้งกวาดตามองคู่แข่ง แล้วก็พบกับบรรดาสปอร์ตเกิร์ล ที่แค่ดูหุ่นก็รู้ว่าซ้อมมาเยอะ ต่างจากร่างกายอันปวกเปียกของตัวเอง
“รักษาภาพลักษณ์ไว้ก่อน ผลลัพธ์ค่อยว่ากัน” มั่วลี่ยังคงปลอบใจ
“หึหึ”
พวกที่อยู่รอบสนามแค่มารอดูความพ่ายแพ้ แต่ไม่ได้มาเชียร์ พอถูกจับจ้องมากๆ โจวจิ้งก็รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก สำคัญคือไม่เห็นแม้แต่เงาของเจ้าเขียวเลย
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดการแข่งวิ่ง 800 เมตรหญิงก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้น
โจวจิ้งเริ่มวอร์มร่างกาย ส่วนมั่วลี่ก็ตื่นเต้นไปด้วย
“ทุกคนเข้าที่!” กรรมการตะโกนเรียก “ระวัง… ไป!”
พอเสียงปืนดังขึ้น ทุกคนในลู่ก็ออกตัวดั่งจรวด เพียงไม่กี่วินาทีโจวจิ้งก็ตามหลังพวกเขาทั้งหมด
เธอได้ยินเสียงฮือฮาจากฝั่งผู้ชม หลายคนยกมือถือขึ้นเก็บภาพราวกับกำลังเยาะเย้ยความมั่นหน้าของเธอ ขนาดมั่วลี่ก็ยังปิดบังสีหน้าผิดหวังไว้ไม่อยู่
โจวจิ้งไปแบบไม่รีบร้อนเพราะไม่ใช่การแข่งวิ่งเร็ว จึงรักษาระดับให้คงที่เพื่อปรับสมดุลร่างกาย ซึ่งเป็นเทคนิคที่ขาดไม่ได้
พวกที่ออกตัวแรงเริ่มวิ่งช้าลง เทียบกับเธอที่ออกตัวธรรมดาแต่แรงเอาตอนหลัง
ทุกคนที่มาดูเธอวิ่งต่างอยากเห็นความพ่ายแพ้ จะได้มีหัวข้อไปนินทา แต่เหมือนพวกเขาจะต้องผิดหวัง หลายคนจึงมีสีหน้าไม่พอใจ เพราะโจวจิ้งไม่ขายหน้าอย่างที่ควรจะเป็น
รอบที่สอง โจวจิ้งเพิ่มความเร็วจนวิ่งแซงหลายๆ คนที่เคยนำหน้า กระทั่งเข้าสู่รอบที่สามก็แซงได้เกือบครบทุกคน
รอบสุดท้าย เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียงสามคนเท่านั้น
พวกเธอดูเหนื่อยล้าแทบขาดใจ โจวจิ้งจึงอาศัยจังหวะนี้ปล่อยพลังที่เหลือทั้งหมด
คนอย่างเธอทำอะไรต้องได้ที่หนึ่งเสมอ อุตส่าห์ทนอยู่ในสภาพนี้ตั้งนาน พอคิดจะกอบกู้ศักดิ์ศรีก็เปลี่ยนจากหลังมือเป็นหน้ามือในคราวเดียว
อีกครึ่งรอบก็จะถึงเส้นชัยแล้ว แต่ดันมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
จู่ๆ ส่วนล่างของเธอก็มีของเหลวอุ่นร้อนไหลออกมา โจวจิ้งที่กำลังวิ่งอย่างตั้งใจแทบทรุดเมื่อรู้ว่ามันคืออะไร
“เมนส์มา!!!”
เธอตกใจมาก พอคิดจะเอื้อมมือลงไปสัมผัสก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังถูกสายตาหลายคู่จับจ้องอยู่
ตั้งแต่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ โจวจิ้งไม่เคยรู้เกี่ยวกับรอบเดือนเลย ยิ่งอยู่ในวัยเจริญพันธุ์แบบนี้ เลือดประจำเดือนจะเยอะเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าพุ่งกระฉูด
แม้จะใส่กางเกงชั้นในอย่างหนา อีกทั้งกางเกงพละก็สีแดงสด แต่เพราะมันเป็นขาสั้น ยังไงก็ต้องเห็นเลือดที่ไหลลงขาอย่างแน่นอน
โจวจิ้งตัดสินใจจะวิ่งให้จบแล้วรีบหนีไปเปลี่ยนกางเกงในห้องน้ำ แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะมั่วลี่และชาวแก๊งยืนถือดอกไม้อยู่ที่เส้นชัย รอที่จะวิ่งเข้ามากอดเพื่อแสดงความยินดี
มั่วลี่กระซิบที่ข้างหูของลูกน้องพร้อมทำท่ายกแขน จากนั้นพวกเขาก็มองมาที่เธอ
“คิดจะโยนฉันขึ้นฟ้ารึ?” โจวจิ้งคิดในใจ
ต่อให้เธอเป็นเด็กมีปัญหาแค่ไหน เธอก็ไม่เคยเจอเรื่องน่าอับอายขนาดนี้
เมื่อเส้นชัยใกล้แค่เอื้อม เสียงฮือฮาของแก๊งมั่วลี่ก็ยิ่งดังขึ้น
ทันใดนั้น หางตาของโจวจิ้งก็เหลือบไปเห็นเฮ่อซวินและหยวนคังฉีที่กำลังโบกไม้โบกมือให้อยู่
“ได้เหรียญทองด้วย สุดยอดไปเลย!” หยวนคังฉีตะโกนทันทีที่เห็นสาวผมทองเสื้อแดงวิ่งเข้าเส้นชัย
“ทำไมเธอถึงไม่หยุดวิ่ง?” เฮ่อซวินขมวดคิ้ว
โจวจิ้งคิดอะไรไม่ออก จึงวิ่งต่อแบบไม่คิดชีวิต
“วิ่งมาทางพวกเราด้วย หรือจะมากอด?”
พูดยังไม่ทันขาดคำ โจวจิ้งก็หยุดลงตรงหน้าหยวนคังฉี แล้วเอื้อมมือไปดึงเสื้อคลุมแขนยาวบนไหล่ของเฮ่อซวิน
เนื่องจากวิ่งด้วยความเร็วสูง จะเบรกก็ไม่ทัน เธอจึงล้มทับเฮ่อซวินทั้งตัว
โจวจิ้งหลับตาอย่างทรมาน—จบแล้ว… เมนส์ไหลออกมาแล้ว… กางเกงฉัน…
เธอไม่กล้าลืมตามองอะไรทั้งนั้น “ช่วยเอาเสื้อคลุมตัวฉันแล้วอุ้มไปห้องพยาบาลที ขอบใจมาก…” เธอกระซิบบอกเฮ่อซวิน
ไม่ทันที่เขาจะได้ถาม โจวจิ้งก็พูดขึ้นต่อ “เร็วเข้า ถ้าไม่อยากโดนมองว่าชนฉันจนเมนส์ไหล!”