หัวโจก - ตอนที่ 27 อะไรวะเนี่ย
ในความฝันอันแสนยาวนาน คนมากมายเดินผ่านโจวจิ้งไป ทั้งแม่ น้องชาย ซูเจียงไห่ หมอ และพยาบาล
ร่างของเธอถูกคลุมอยู่ใต้ผ้าขาว ยังมีกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาลลอยมาแตะจมูกเป็นระยะๆ
เสียงของความวุ่นวายรอบด้าน รวมถึงเสียงฝีเท้าของผู้คนที่เดินสวนไปมาชัดเจนมาก มีเพียงเสียงสนทนาเท่านั้นที่ไม่ชัด แต่เธอก็พอจะเดาออกว่ามีเรื่องโศกเศร้าเกิดขึ้น
เมื่อลืมตาตื่น เธอก็พบกับมุ้งหลังเก่าที่คุ้นเคยและพัดลมเพดานที่หมุนวนอย่างอ่อนแรง
โจวจิ้งชันตัวขึ้นนั่งด้วยความรู้สึกหนักที่หัว พอแง้มมุ้งออกก็เจอกับเฝิงเอี้ยนที่กำลังอ่านหนังสืออยู่
“เฝิงเอี้ยน…” เธอเรียกเสียงแหบพร่า
พอได้ยินเสียงเรียก เฝิงเอี้ยนก็รีบลุกไปหา
“กี่โมงแล้ว?”
“สิบโมง” เฝิงเอี้ยนตอบ
“สิบโมง! ฉันนอนไปนานขนาดนั้นเลย? จำได้ว่าเมื่อคืนไปร่วมงานปาร์ตี้วันเกิดกับหยวนคังฉี จากนั้นก็…”
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมเธอจำอะไรไม่ได้เลย”
“เฝิงเอี้ยน เมื่อคืนฉันกลับมายังไง?”
“เธอเมามาก เฮ่อซวินเลยแบกมาส่ง” เฝิงเอี้ยนตอบ
โจวจิ้งทำตาโต “เฮ่อซวิน แบก… แบกฉันเหรอ?”
ที่ตกใจก็เพราะเมื่อเช้าเธอเพิ่งจะทำเสื้อของเขาเปื้อนเลือดไป—ปากร้ายแต่ใจดีเหมือนกันนะเนี่ย!
“แต่ว่า…” เฝิงเอี้ยนเหมือนจะพูดบางอย่าง
“เกิดอะไรขึ้นอีก?” โจวจิ้งถามเพราะเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายเปลี่ยนไป
“ดูเอาเองเหอะ” เฝิงเอี้ยนยื่นมือถือให้โจวจิ้ง
หน้าจอปรากฏเพจของโรงเรียน ที่หัวกระทู้เป็นรูปเฮ่อซวินกำลังอุ้มโจวจิ้งอยู่กลางสนาม
‘ติดตามข่าวอื้อฉาวเดือนโรงเรียน’
“อะไรวะเนี่ย!” โจวจิ้งอ่านไปบ่นไป
ผ่านไปห้านาที เธอก็คืนมือถือให้เฝิงเอี้ยน แล้วใช้มือถือของตัวเองโทรหาหยวนคังฉี
“เอ่อ… เมื่อคืนฉันเมามากไหม?”
อีกฝ่ายหัวเราะร่วน “เมาไม่เมาเธอก็เกาะขาเฮ่อซวินแล้วตะโกนว่าให้เก็บลูกไว้ ฉันยังสงสัยอยู่เลยว่าพวกเธอไปมีอะไรกันตอนไหน”
“ไม่มี! ไม่เคยมี!” โจวจิ้งปฏิเสธ “แล้วตอนนี้… เฮ่อซวินเป็นยังไงบ้าง?”
“ไม่ค่อยดี” หยวนคังฉีตอบ “ช่วงนี้อย่าเพิ่งเจอกันจะดีกว่า”
โจวจิ้งถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ไม่เคยมีอะไรกันจริงๆ เหรอ?” หยวนคังฉีถามย้ำ
“โง่จริงหรือแกล้งโง่เนี่ย! ถ้าท้องฉันกล้าไปแข่งวิ่งให้ลูกหลุดเหรอ?” โจวจิ้งตะโกนอย่างเหลืออด
“ใจเย็นๆ สิ” หยวนคังฉีหัวเราะ
หลังวางหูได้ไม่นาน มั่วลี่ก็โทรเข้าทันที “เจ๊ กับเฮ่อซวินนี่มันยังไง?”
“เลิกบ้ากันได้แล้ว!” โจวจิ้งตัดสายแล้วโยนมือถือลงบนเตียง
เรื่องเก่ายังไม่จบดี เรื่องใหม่ก็เข้ามาแทรกอีก เฮ่อซวินคงเกลียดเธอเข้ากระดูกดำแล้วแน่นอน ก่อนหน้านี้ก็เอาเลือดเมนส์ไปเลอะเสื้อ จากนั้นก็สร้างเรื่องให้คนเข้าใจผิดคิดว่าเป็นพ่อของลูกในท้องอีก
ข่าวฉาวที่เกิดขึ้น ทำโจวจิ้งวางตัวไม่ถูก แค่เรื่องตามจีบหลินเกานานกว่าสิบปีก็ว่าแย่มากแล้ว ยังจะตั้งท้องในวัยเรียนอีก
โจวจิ้งไม่กินไม่นอนและเอาแต่นั่งซังกะตายทั้งวัน เธอรู้สึกผิดต่อเฮ่อซวินและกังวลเรื่องที่ต้องไปโรงเรียนวันรุ่งขึ้นด้วย
เช้าวันต่อมา โจวจิ้งยืนปลอบใจตัวเองหน้ากระจก
ผ่านไปนานก็ตะโกนขึ้นว่า “เกิดก่อนตั้งสิบกว่าปี จะกลัวพวกเด็กอมมือไปทำไม สู้เว้ย!”
ที่หน้าห้องเรียน เจ้าเขียวลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินเข้ามาหาโจวจิ้ง “ลูกพี่… โอเคไหม?”
เมื่อวานตอนแกล้งเป็นลมในงานกีฬาสี เธอแอบเห็นเจ้าเขียววิ่งตามด้วยสีหน้าเป็นห่วง จึงรู้ว่าเขาหายงอนแล้ว
“ร่างกายไม่มีปัญหา แต่จิตใจนี่สิ…” เธอตบไหล่อีกฝ่ายเบาๆ
เจ้าเขียวกะพริบตา “กังวลเรื่องเมื่อคืนเหรอ ก็แค่เมาแล้วพูดเพ้อเจ้อ ไม่มีใครคิดจริงจังหรอก”
“นายคิดแบบนั้นจริงๆ เหรอ?” โจวจิ้งรู้สึกเหลือเชื่อที่เขามีสติแยกแยะผิดถูกได้
“ลูกพี่ตามจีบหลินเกามาตั้งนาน อยู่ๆ จะเปลี่ยนไปชอบคนอื่น เป็นไปไม่ได้หรอก” เจ้าเขียวพูดพลางเตะหินบนพื้นระหว่างทางเดินไปด้วย “คนอย่างเฮ่อซวิน ไม่ชอบผู้หญิงแบบนี้หรอก”
ว่าไงนะ ไอ้เด็กเปรต!
เมื่อทั้งคู่เดินเข้าไปในห้องเรียน เสียงสนทนาจ๊อกแจ๊กจอแจก็เงียบลง สายตาทุกคู่ที่มองมาสื่อความหมายหลากหลาย
โจวจิ้งพอจะเดาออกว่าพวกเขาคิดอะไรอยู่ แต่ก็เหนื่อยที่จะต้องตอบคำถาม จึงเดินแยกกับเจ้าเขียวไปยังที่นั่งของตัวเอง
โต้วหยาเพื่อนร่วมโต๊ะ ขยับออกห่างเล็กน้อยเพื่อแสดงถึงความรังเกียจ
เห็นท่าทางของอีกฝ่าย โจวจิ้งก็หัวร้อนทันที แต่ก็ต้องข่มอารมณ์เอาไว้ ไหนจะบรรดาเพื่อนร่วมห้องที่หันไปซุบซิบนินทาแล้วหัวเราะเยาะเธออีก
แม้จะเหนื่อยใจเพียงใด แต่เธอก็ก่อเรื่องทั้งหมดขึ้นเอง ถ้าไม่ใช่เพราะเมาแล้วพูดจาเพ้อเจ้อ เฮ่อซวินคงไม่เดือดร้อนไปด้วย
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด ตัวเธออายุมากกว่า จึงมีภูมิต้านทานที่สูงกว่าเฮ่อซวิน การที่ต้องพบเจอเรื่องร้ายแรงขนาดนี้ เป็นการทำลายภาพลักษณ์เด็กเรียนดีของเขาไม่น้อย
โจวจิ้งรู้สึกเห็นใจอีกฝ่ายจึงพยายามหาทางแก้ไขสถานการณ์ แต่จู่ๆ ครูประจำชั้นก็เดินเข้ามาในห้อง
ครูประจำชั้นเป็นชายวัยสี่สิบกว่าที่ชอบใส่เสื้อเชิ้ตตัวโคร่ง และแม้อากาศจะร้อนเพียงใด ก็ยังคงติดกระดุมครบทุกเม็ด
“ผลสอบออกแล้ว หมดคาบนี้ทุกคนสามารถลงไปดูคะแนนที่บอร์ดชั้นหนึ่งได้” พูดจบก็ปรายตามองโจวจิ้งด้วยแววตาสับสน
หรือครูจะได้อ่านกระทู้ของโรงเรียนแล้วคิดว่าเธอท้องเหมือนกัน? โจวจิ้งสงสัย
เสียงคุยดังก้องขึ้นในห้องอีกรอบ และแม้จะเป็นห้องบ๊วย คะแนนสอบไม่สูงเหมือนห้องอื่นๆ แต่นักเรียนทุกคนก็สนใจที่จะติดตามคะแนนของตัวเอง เพราะเป็นการสอบแบ่งห้องครั้งสุดท้ายของมัธยมปลาย
แต่ที่น่าสนใจยิ่งกว่าก็คือ การแก่งแย่งชิงดีของบรรดาเด็กห้องกิฟต์ ซึ่งเป็นสีสันของโรงเรียนนี้มานาน
โจวจิ้งเอามือเท้าคาง ครุ่นคิดเรื่องคะแนนสอบของตัวเอง
เธอสัมผัสได้ถึงความยากของข้อสอบยวู่เต๋อ แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจในความสามารถตัวเอง ที่ผ่านมาเคยคะแนนดีแค่ไหน ต่อให้ย้ายร่างมา ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ก็ไม่ได้หายไป
ไม่จำเป็นต้องเข้าห้องกิฟต์ให้ได้ แค่ได้อยู่ห้องกลางๆ ที่การแข่งขันไม่สูงมาก เธอก็สบายใจแล้ว
เสียงออดดังขึ้น ทุกคนในห้องเรียนหายไปในพริบตา โจวจิ้งจึงเดินไปเคาะโต๊ะเจ้าเขียว “ไปกันเถอะ”
“ไปไหน?” เจ้าเขียวไม่เข้าใจ
“ไปดูคะแนนไง เธอไม่อยากรู้เหรอว่าถูกย้ายไปห้องไหน”
เจ้าเขียวหลุดหัวเราะออกมา “ผมไม่เคยคิดว่าจะได้ย้ายไปไหน แค่ไม่ถูกไล่ออกก็ดีมากแล้ว”
โจวจิ้งตบบ่าอีกฝ่ายเบาๆ “คนเราต้องมีความฝันบ้างนะ ไปๆ ถือว่าไปเดินเล่นแล้วกัน นั่งมากๆ ระวังเป็นริดสีดวง!”
หลังเกลี้ยกล่อมเจ้าเขียวสำเร็จ ทั้งคู่ก็มายืนอยู่ที่หน้าบอร์ดชั้นหนึ่ง
ที่ด้านหน้า นักเรียนกลุ่มหนึ่งยื้อแย่งเบียดเสียดกันอย่างหนัก ดูผ่านๆ ก็พอจะรู้ว่าเป็นเด็กห้องกิฟต์
พอเห็นเงาร่างของเฮ่อซวิน โจวจิ้งก็ก้าวถอยหลังแล้วเดินไปหลบข้างกำแพงเพราะไม่อยากให้เป็นประเด็นอีก
“บังเอิญจังเลย มาดูคะแนนเหมือนกันเหรอ?” หยวนคังฉีตะโกนเรียกด้วยน้ำเสียงดีใจ
บังเอิญบ้านแกสิ ไอ้เด็กนี่หุบปากไม่เป็นเลยใช่ไหม!
โจวจิ้งขำแห้ง “มาดูเล่นๆ น่ะ แล้วนายล่ะ?”
“กำลังหาชื่ออยู่ ครั้งนี้การแข่งขันสูงมาก” เขาตอบ
โจวจิ้งกลอกตามองบน—จะอยากดูไปทำไม ยังไงก็ได้ที่หนึ่งไม่ก็ที่สองอยู่แล้ว
เมื่อเหลือบไปเห็นสีหน้าไม่เป็นมิตรของเฮ่อซวิน เธอจึงฝืนยิ้มให้ แต่ก็ต้องหุบยิ้มเพราะหลินเกาและเถาม่านเดินผ่านพอดี
ตัวท็อปของโรงเรียนนี้ดูไม่มั่นใจในตัวเองเท่าไหร่ หากเป็นเธอในชาติที่แล้ว จะไม่มีวันมายืนดูคะแนนเพราะรู้ว่าได้ที่หนึ่งแน่นอน
“ไปกันเถอะ” เจ้าเขียวกระตุกชายเสื้อโจวจิ้ง
“ยังไม่ได้ดูคะแนนเลย”
พอโจวจิ้งพูดจบ ทุกคนที่ยืนอยู่แถวหน้าก็หันมามองด้วยแววตาที่ยากจะอธิบาย ราวกับเธอเพิ่งจะทำผิดมา
“จะต้องดูอะไรอีก?” เจ้าเขียวยังคงไม่เข้าใจ
“ต้องมีอะไรแน่ๆ เลย เดี๋ยวฉันไปดูให้เอง” หยวนคังฉีจอมป่วนหันมาพูดกับโจวจิ้งแล้วเบียดร่างเข้าไปในฝูงชน
โจวจิ้งลังเลครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตามเข้าไป
ผ่านไปสักพัก หยวนคังฉีหันมาเบิกตากว้างใส่เธอด้วยสีหน้าตะลึงขั้นสุด จากนั้นก็ลาดสายตาไปที่หลินเกา ซึ่งสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเช่นกัน
“มาดูเองเหอะ” หยวนคังฉีกวักมือ
โจวจิ้งยังคงอยู่ในความมึนงง ก่อนจะแทรกตัวเข้าไปดูคะแนน
บนบอร์ดถูกแปะด้วยรายชื่อยาวเหยียด คะแนนถูกแบ่งออกเป็นสองฝั่ง ด้านหนึ่งคือคะแนนวิชาการของแต่ละสาย อีกด้านคือคะแนนรวม เพื่อนักเรียนจะได้รู้ว่าตัวเองทำวิชาไหนได้ไม่ดี
การแข่งขันของสิบห้องแรกค่อนข้างสูง เนื่องจากต่างกันเพียงคะแนนเดียว
โจวจิ้งมองไปที่คะแนนรวม ชื่อของเธอปรากฏอยู่ในระดับกลางๆ ประมาณห้องเจ็ดห้องแปด แต่เมื่อหันไปมองคะแนนวิชาการของท็อปสามคน ก็มีอันต้องยกมือขึ้นขยี้ตา
‘เฮ่อซวิน หยวนคังฉี โจวจิ้ง’
เจ้าเขียวไม่เชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เขาเพ่งแล้วเพ่งอีกก่อนจะหันไปพูดกับลูกพี่ของตัวเอง “ระบบตรวจคะแนนอาจขัดข้องก็ได้”
“ตลกแล้ว” โจวจิ้งยักคิ้ว
คนที่รู้สึกแย่ที่สุดก็คือหลินเกา เขาแข่งกับเฮ่อซวินและหยวนคังฉีมานาน เพื่อจะได้เป็นที่หนึ่งไม่ก็ที่สอง แต่ไม่เคยสำเร็จ
อุตส่าห์รักษามาตรฐานไว้ที่อันดับสาม แต่กลับถูกโจวจิ้งเบียดจนหลุดโผไปอยู่อันดับสี่ หลินเกาจึงโกรธหน้าแดงก่ำ
โจวจิ้งกอดอกด้วยความเสียดาย เธอน่าจะทำคะแนนรวมได้ดีกว่านี้ อาจเพราะมีเวลาอ่านหนังสือน้อย หรือเพราะเธอแก่เกินไปความจำเลยไม่ดีเท่าที่ควร
ขณะยืนปลอบใจตัวเองอยู่ เสียงตะโกนหนึ่งก็ดังขึ้นที่ด้านหลังของเธอ “โจวจิ้งโกงข้อสอบแน่นอน ต้องโกงแน่ๆ!”
บรรยากาศรอบด้านสงบลงครู่หนึ่ง ก่อนผู้คนจะเริ่มวิพากษ์วิจารณ์จนโจวจิ้งเหลียวหลัง
เสียงตะโกนด่าทอดังขึ้นท่ามกลางฝูงชน ทุกคนตรงนั้นเริ่มมองเธอด้วยสายตารังเกียจ พื้นที่หน้าบอร์ดประกาศคะแนนจึงเต็มไปด้วยความวุ่นวาย
“ใครโกง? มีหลักฐานเหรอ?” เจ้าเขียวตะคอกกลับแล้วกวาดตามองหาคนที่เปิดประเด็นนี้
อาจเพราะกำลังตกใจ คนผู้นั้นจึงเงียบไปพักหนึ่ง ก่อนจะเริ่มเถียงกลับ “ถ้าไม่โกง จะสอบได้คะแนนแบบนี้เหรอ? คิดว่าคนอื่นโง่มากสินะ!”
โจวจิ้งที่เคยสอบได้ที่หนึ่งมาตลอด ถูกหาว่าโกงข้อสอบเป็นครั้งแรก แต่ก็ยังนับถือระบบการศึกษาของโรงเรียนนี้ ที่กล้ากล่าวหาคนโกงซึ่งๆ หน้า
หากวิจารณ์เล็กๆ น้อยๆ ก็ว่าไปอย่าง แต่เล่นตะโกนต่อหน้าเพื่อนนักเรียนมากมาย จนหลายคนมีสีหน้าโกรธแค้น ราวกับพร้อมจะถีบเธอไปลงนรกทั้งเป็น
“ขี้โกงๆๆ!”
สีหน้าของแต่ละคนเกรี้ยวกราดมาก พร้อมจะเข้ามาหาเรื่องเธอทุกเมื่อ แต่ก็ไม่มีใครกล้าทำ เพียงตะโกนด่าเพื่อระบายความไม่พอใจเท่านั้น
หลินเกายังคงยืนหน้าซีดอยู่ที่เดิม เถาม่านเองก็เช่นกัน ได้แต่มองโจวจิ้งอย่างเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร
เฮ่อซวินขมวดคิ้วมองโจวจิ้งที่กำลังยืนอึ้งอยู่ เป็นครั้งแรกที่เห็นอีกฝ่ายในสภาพนี้ เพราะตั้งแต่รู้จัก เธอคือคนหน้าด้านที่ไม่กลัวอะไรเลย
เฮ่อซวินเดินแทรกฝูงชนเข้าไปหาโจวจิ้ง ก่อนจะออกคำสั่ง “ตามมา!”
พอได้สติ หยวนคังฉีก็คว้ามือของโจวจิ้งแล้วลากเธอออกไป โดยมีเจ้าเขียวตามมาติดๆ
พวกเขาไม่ได้เดินกลับห้องเรียน แต่หยุดยืนที่โถงทางเดินใต้ตึกซึ่งปลอดคน
“เกิดไรขึ้น ระบบมีปัญหาเหรอ?” เจ้าเขียวเปิดประเด็น
โจวจิ้งรู้สึกซาบซึ้งที่เจ้าเขียวไม่เชื่อว่าเธอโกงข้อสอบ
“ฉันทำเองทั้งหมด จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่” เธอตอบเสียงแข็ง “ว่าแล้วว่าต้องไม่มีใครเชื่อ!” โจวจิ้งปัดมือ
ที่จริงเธอไม่ได้คิดเรื่องนี้มาก่อน เพราะมัวแต่จดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือ ลืมว่ามีเพียงในหนังเท่านั้นที่จะเปลี่ยนเด็กมีปัญหาให้เป็นเด็กเทพคะแนนดีในชั่วข้ามคืนได้ อีกทั้งการสอบแบ่งห้องครั้งสุดท้ายของเด็กมัธยมหก เป็นอะไรที่อ่อนไหวมาก จึงไม่แปลกที่เรื่องเหลือเชื่อแบบนี้จะถูกสงสัย
“ไม่ว่าจะยังไง เธอมีปัญหาแล้ว” หยวนคังฉีเตือน “การสอบแบ่งห้องสำคัญมากในยวู่เต๋อ หากใครโกงข้อสอบ จะได้รับบทลงโทษที่รุนแรงมาก”
“แต่ฉันไม่ได้โกง!” โจวจิ้งย้ำ
“ไม่มีใครเชื่อหรอก ดูหน้าพวกนั้นก็รู้”
หากเป็นการสอบธรรมดาทั่วไป ปฏิกิริยาคงไม่ดุเดือดขนาดนี้ แต่เพราะเป็นการสอบแบ่งห้อง ที่การขึ้นหนึ่งอันดับ เท่ากับการตกลงหนึ่งอันดับเช่นกัน คนโกงจะถูกย้ายไปอยู่ห้องที่ดีขึ้น ส่วนคนที่เรียนดีอยู่แล้วจะถูกย้ายไปห้องที่แย่ลง จึงไม่แปลกที่โจวจิ้งจะถูกกล่าวหาว่าโกง เพราะอันดับของเธอเลื่อนขึ้นจนน่าตกใจ
เห็นโจวจิ้งยืนเงียบ หยวนคังฉีจึงเสนอว่า “ฉันจะไปถามที่ห้องทะเบียนให้ ถ้าระบบผิดพลาดจริงๆ เธอก็รอดตัวไป”
“ฉันไปด้วย” เจ้าเขียวโพล่งขึ้น “ลูกพี่กลับห้องเรียนไปก่อนนะ”
พอสองคนนั้นเดินจากไป โจวจิ้งก็พิงกำแพงแล้วสูดหายใจเข้าลึก
การเป็นนักเรียนช่างน่าปวดหัวเหลือเกิน ยิ่งโดนใส่ร้ายก็ยิ่งรู้สึกแย่ ทั้งโกรธทั้งขำ
เธอชำเลืองมองเฮ่อซวินที่ยืนอยู่ด้านข้าง “นายคิดว่าฉันโกงข้อสอบรึเปล่า?”
แม้เรื่องเมื่อคืนจะสร้างความอึดอัดให้โจวจิ้งไม่น้อย แต่พอเกิดเรื่องในวันนี้ เธอก็ลืมความรู้สึกนั้นเสียสนิท
“ไม่” เฮ่อซวินตอบ
โจวจิ้งน้ำตาแทบไหล “ขอบคุณที่เชื่อใจฉัน ว่าแต่ทำไมถึงคิดแบบนั้น?”
“เธอมันขี้เกียจ” เฮ่อซวินตอบ
“นายเป็นคนจิตใจดีนะ บ้านไหนได้ลูกชายแบบนี้ นับว่าโชคดีมาก”
“ถือว่าฉันไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน” เฮ่อซวินจำใจตอบ
ตามที่หยวนคังฉีบอก บทลงโทษสำหรับคนโกงข้อสอบในยวู่เต๋อนั้นรุนแรงมาก แต่พวกเขาคาดไม่ถึง ว่าจะร้ายแรงขนาดนี้