หัวโจก - ตอนที่ 32 คืนนี้ไม่กลับได้ไหม
เถาม่านเดินเข้าด้านในโดยไม่สนใจเธอ โจวจิ้งจึงต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามไป เพราะไม่รู้ว่าอยู่ตึกไหนห้องอะไร
แค่ขึ้นลิฟต์ก็ถึงหน้าประตูบ้านแล้ว ข้างในใหญ่โตโอ่อ่าสมฐานะ เพดานตกแต่งด้วยลูกโป่งหลากสีและคริสตัลที่สะท้อนกับแสงไฟส่องประกายระยิบระยับ เสียงเด็กๆ เล่นกันอย่างสนุกสนานดังไปทั่วบ้าน
เถาม่านตะลึงกับสิ่งที่ได้เห็นจนเกือบทรงตัวไม่อยู่
“ม่านม่าน เสี่ยวจิ้ง กลับมาแล้วเหรอ?” คุณพ่อเดินออกมาต้อนรับ “เสี่ยวหยีชวนเพื่อนๆ อนุบาลมาปาร์ตี้วันเกิดที่บ้านน่ะ เลยรกนิดหน่อย”
โจวจิ้งกลืนน้ำลายแล้วเดินตามเถาม่านไปยังห้องรับแขก ท่ามกลางเสียงกรีดร้องโวยวายของเด็กๆ
บนโต๊ะกลางห้องรับแขกมีเค้กก้อนโตที่ถูกจิ้มจนเละไม่เป็นรูปตั้งอยู่ โซฟาสีขาวราคาแพงเลอะไปด้วยช็อกโกแลตและครีมต่างๆ ที่ถูกเหล่าเด็กน้อยไม่รู้ประสาป้ายไว้หลังกินเสร็จ
เถาม่านเพียงกวาดตามองเด็กๆ ที่เล่นซุกซนแล้วเดินผ่านไป โจวจิ้งจึงต้องรีบเดินตาม
พ่อของเธอชะโงกหน้าออกจากห้องครัวพร้อมทั้งบอกว่า “กับข้าวพร้อมแล้ว ม่านม่าน เสี่ยวจิ้ง รีบมากินก่อน เดี๋ยวค่อยให้ป้าเฉินทำเพิ่ม”
“รู้แล้ว” เถาม่านตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เมื่อเห็นเขาใส่เสื้อคลุมเตรียมตัวจะออกจากบ้าน โจวจิ้งจึงถามขึ้นว่า “พ่อจะออกไปข้างนอกเหรอ?”
โจวฉีเทียนชะงัก ไม่คิดว่าเธอจะสนใจ “พ่อกับน้าเถาต้องไปพบลูกค้ากะทันหัน เปลี่ยนวันไม่ได้”
พูดยังไม่ทันขาดคำ ผู้หญิงอายุสี่สิบต้นๆ หน้าตาดี หุ่นดีผิวขาว ก็เดินลงบันไดมา เธอใส่เดรสหางปลาสีดำแสนเซ็กซี่ ดูเผินๆ นึกว่าเป็นพี่น้องกับเถาม่านเสียอีก โจวฉีเทียนและน้าเถาหันไปสั่งงานแม่บ้านวัยห้าสิบกว่า ก่อนจะออกจากบ้านไป
“ฉันไม่กินข้าว ลดความอ้วนอยู่” เถาม่านพูดพร้อมกับเดินเข้าห้องนอนไป
โจวจิ้งมองตามด้วยความสงสาร—เป็นคนสวยก็ลำบากแบบนี้แหละ ต้องอดมื้อกินมื้อ
จากนั้นก็หันไปพูดกับแม่บ้านว่า “ป้าเฉิน ขอข้าวให้ฉันถ้วยหนึ่งนะ”
ป้าเฉินรีบขานตอบแล้วไปตักข้าวมาให้เธอ
บนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยกับข้าวหลากหลาย โจวจิ้งสูดหายใจเข้าลึกแล้วเดินไปนั่งกิน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นท้องของเธอต้องอิ่มไว้ก่อน!
เด็กๆ ในห้องรับแขกยังคงส่งเสียงดังไม่หยุด ถึงจะปวดหู แต่เธอก็ไม่คิดวางช้อนลง
“ป้าเฉิน มานั่งกินด้วยกันสิ”
พออีกฝ่ายปฏิเสธ โจวจิ้งก็คะยั้นคะยอต่อ จนคนซื่อๆ อย่างป้าเฉินยอม
เพียงมื้อเดียว เธอก็รู้ทุกอย่างที่สงสัยแล้ว ผู้หญิงคนนั้นชื่อว่า ‘เถาจิง’ เป็นแม่ของเถาม่านและเป็นแม่เลี้ยงของเธอด้วย
ตอนอยู่ชั้นประถมหนึ่ง แม่ของโจวจิ้งป่วยหนักและเสียชีวิตลง สามปีหลังจากนั้นพ่อของเธอก็รู้จักกับเถาจิงที่กำลังเปิดแกลเลอรีภาพวาดและเพิ่งหย่าร้างกับสามีที่นอกใจไป
เถาจิงมีเถาม่านเป็นลูกติดเพียงคนเดียว และแม้โจวฉีเทียนจะมีสาวๆ มาติดพันมากมาย แต่เขาเลือกหล่อนเพราะอยากให้โจวจิ้งมีเพื่อน ครอบครัวจะได้อบอุ่น แต่โจวจิ้งกลับโกรธเขาที่แต่งงานใหม่ เธอรู้สึกว่าพ่อทำผิดต่อแม่อย่างร้ายแรง ส่วนแม่เลี้ยงอย่างเถาจิงก็ไม่เคยดีในสายตาเธอ
เถาม่านก็ไม่ชอบพ่อเลี้ยงใหม่เช่นกัน สำหรับเธอเขามีดีแค่รวย เด็กสองคนนี้จึงไม่ถูกกัน มีเรื่องทะเลาะไม่เว้นแต่ละวัน และโจวจิ้งก็เป็นฝ่ายแพ้ตลอด
โจวจิ้งต่างกับเถาม่านอย่างเห็นได้ชัด คนหนึ่งเป็นเด็กห้องกิฟต์หน้าตาดี อีกคนเป็นเด็กมีปัญหาห้องบ๊วย
เถาจิงเองไม่เคยคิดร้ายกับโจวจิ้ง มองเหมือนเป็นลูกสาวคนหนึ่ง ต่อให้ลูกสาวทั้งสองจะหาเรื่องพ่อแม่ขนาดไหน โจวฉีเทียนและเถาจิงกลับรักกันหวานชื่น ซ้ำมีลูกชายเพิ่มขึ้นอีกคนด้วย
‘โจวเสี่ยวหยี’ อายุห้าขวบแล้ว แต่กลับไม่สนิทกับพี่สาวสักคนเลย
คนหนึ่งเรียบร้อยแต่เย็นชาเข้าถึงยาก อีกคนเป็นนักเลงประจำโรงเรียน ดูยังไงก็ไม่น่าเข้าหา เหมือนบ้านมีเสืออยู่สองตัว เขาจึงไม่อยากใกล้ชิดด้วย
โจวจิ้งกวาดข้าวคำสุดท้ายเข้าปากด้วยความพอใจ เพราะได้ฟังเรื่องของครอบครัวนี้ระหว่างกินไปด้วย แต่เรื่องที่ได้ยินน้อยกว่าจินตนาการของเธอมาก ก็แค่สามีภรรยาที่ต่างคนต่างพาลูกสาวมา
สร้างครอบครัวใหม่ จากนั้นก็มีลูกชายเพิ่มขึ้นอีกคน
พอเธอลุกออกจากโต๊ะ ป้าเฉินก็เริ่มเก็บจานชาม
โจวจิ้งไม่ชินกับการมีคนมารับใช้ จึงคิดยื่นมือเข้าไปช่วย แต่ก็ต้องข่มใจเพราะกลัวมีพิรุธ
ที่ยังจับไม่ได้ก็เพราะพ่อของเธอยุ่งมาก ไม่ต้องพูดถึงเถาจิงและเถาม่าน เพราะไม่ได้คุยกันแน่นอน
ว่าแต่… โจวจิ้งกวาดตามองเด็กๆ ในห้องรับแขก “ดึกขนาดนี้ ไม่กลับบ้านกันหรือไง?”
“ป้าจะให้คนขับรถไปส่งพวกเขาที่บ้านค่ะ” ป้าเฉินโพล่งขึ้น
“อ่อ” โจวจิ้งพยักหน้า
ขณะเดียวกันก็จินตนาการถึงลูกที่แท้งไป ดีแค่ไหนแล้วที่เธอไม่ต้องปวดหัวกับเสียงและการทำลายข้าวของแบบนี้
“ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ” เธอบอกป้าเฉิน
ได้สัมผัสกับข้าวของคนมีเงินแล้ว ก็ถึงเวลาต้องไปสัมผัสห้องน้ำบ้าง
น่าแปลกที่ห้องนอนของโจวจิ้งสะอาดตาและอบอุ่นมาก ขัดกับความเป็นนักเลงของเธอโดยสิ้นเชิง
เธอเปิดม่านแล้วนั่งลงบนเตียง มองวิวแสงไฟยามค่ำคืน แม้ไม่อยากยอมรับ แต่เธอก็เริ่มชินกับการใช้ชีวิตแบบจำใจในร่างนี้แล้ว
ตั้งแต่โรงเรียนยันครอบครัว เจ้าของร่างนี้ทิ้งเรื่องมากมายให้โจวจิ้งต้องตามแก้ไข แต่เธอกลับรู้สึกภูมิใจ โดยเฉพาะตอนที่ต้องพิสูจน์ว่าไม่ได้โกงข้อสอบจนได้เข้าห้องกิฟต์ กระทั่งได้สัมผัสชีวิตหรูหราในคอนโดหลังนี้ ทั้งหมดคือแผนของสวรรค์เซอร์วิสแน่นอน
เธอปิดผ้าม่านแล้วพูดกับตัวเองว่า “ไปแปรงฟันอาบน้ำนอนดีกว่า”
หลังออกจากห้องน้ำ โจวจิ้งลงไปหาน้ำกินข้างล่าง ระหว่างทางกลับห้องบังเอิญได้ยินเสียงคนคุยกันจึงชะโงกหน้ามองจากบันได
สิ่งที่เห็นคือคนขับรถกำลังจูงมือสาวน้อยน่ารักในเดรสลายดอก มืออีกข้างหนึ่งของเธอถูกเสี่ยวหยีกุมเอาไว้
“คืนนี้ไม่กลับได้ไหม?” เขาทำเสียงอ้อน
โจวจิ้งแทบสำลักน้ำออกมา ไม่อยากเชื่อว่าเด็กตัวแค่นี้จะจีบสาวเป็นแล้ว
สาวน้อยส่ายหน้า “ไม่ได้ พ่อกับแม่รออยู่ที่บ้าน”
“วันนี้ดึกแล้ว ไว้เจอกันใหม่นะ” คนขับรถปลอบใจ
หนุ่มน้อยยืนบิดอยู่พักหนึ่งจึงยอมปล่อยมือ
หลังคนขับรถพาสาวน้อยออกไป เขาก็หันหลังเดินขึ้นบันได เมื่อเห็นว่าโจวจิ้งยืนมองอยู่ ก็ถามด้วยความตกใจว่า
“ทำอะไรน่ะ?”
“ไม่มีอะไร” โจวจิ้งดื่มน้ำกลบเกลื่อน
โจวเสี่ยวหยีกอดอกมองเธออย่างไม่สบอารมณ์
เด็กชายตัวเล็กตรงหน้าสวมเสื้อเชิ้ตลายสกอต มีโบเล็กๆ แทนเนกไท ใส่กางเกงขาสั้นสีน้ำตาล คิ้วดก ตาโต เหมือนโจวฉีเทียน แต่ผิวขาวหน้าเรียวเล็กเหมือนเถาจิง จัดว่าหล่อและบุคลิกดีมากทั้งที่อายุแค่ห้าขวบ
“ไอ้ปีศาจหัวเหลือง!” เขาตวาด
“ไอ้เด็ก…”
ตอนที่ป้าเฉินบอกว่าเจ้าตัวเล็กไม่ถูกกับพี่ๆ เธอยังแอบคิดว่าโจวจิ้งกับเถาม่านค่อนข้างใจแคบ แต่ดูแล้วน่าจะใจดีเกินไป
แม้พ่อกับแม่ของเธอจะรักโจวเค่อมากกว่า แต่ก็ไม่เคยห้ามเธอสั่งสอนน้องชาย อีกทั้งเขาเป็นคนหัวอ่อน จึงไม่เคยเถียงโจวจิ้งเลย
แต่เด็กเวรตรงหน้าทำเธอคันไม้คันมือมาก!
“ฉันเป็นพี่สาวของเธอนะ!” โจวจิ้งต่อว่า
โจวเสี่ยวหยีไม่ออกอาการกลัวแม้แต่น้อย “แกไม่ใช่พี่สาวฉัน ยัยขี้เหร่ พ่อกับแม่ยังเกลียดแกเลย!”
“โถๆๆๆ ถ้าพ่อกับแม่รักเธอ ทำไมถึงไม่อยู่ฉลองวันเกิดด้วยล่ะ นี่คงต้องอยู่บ้านคนเดียวบ่อยๆ สินะ ถึงได้อ้อนวอนให้เด็กผู้หญิงคนนั้นอยู่เป็นเพื่อน น่าสงสารจริงๆ!”
พอเธอพูดจบ โจวเสี่ยวหยีก็น้ำตาคลอเบ้า
โจวจิ้งทั้งสงสารทั้งรู้สึกผิด แค่คิดอยากจะสั่งสอนเด็กก้าวร้าวเฉยๆ ไม่ตั้งใจจะแทงใจดำเลย
“เอ่อ… คือว่า…”
“แก… ไอ้สัตว์ประหลาดหัวเหลือง ไม่แปลกใจเลยที่พี่หลินเกาไม่เอา!” ด่าจบก็ผลักโจวจิ้งแล้ววิ่งเข้าห้องนอนไป
หลินเกาอีกแล้วเหรอ? ไม่จบไม่สิ้นสักทีนะ!
เธอตามไปที่ห้องของน้องชาย พยายามผลักประตูเข้าไปแต่เขาล็อกไว้ จึงตะโกนด่าด้วยความโมโห
“เป็นเด็กเป็นเล็กพูดจาดูถูกคนอื่นแบบนี้ได้ไง! ออกมานะไอ้เด็กเวร จะตีให้แหลกคามือเลย!”
เตียงในบ้านคนรวยทั้งใหญ่ทั้งนุ่ม แม้จะไม่ได้กว้างขนาดห้าหมื่นตารางเมตร แต่โจวจิ้งก็รู้สึกสบายอย่างมาก
อาจเพราะช่วงนี้เธอเหนื่อยเกินไป คืนนี้จึงหลับลึกเป็นพิเศษ สะดุ้งตื่นอีกทีก็ใกล้เที่ยงวันแล้ว
โจวจิ้งล้างหน้าแต่งตัวแล้วเดินลงข้างล่าง พอเห็นป้าเฉินกำลังยุ่งอยู่ในครัวจึงถามหาคนอื่นๆ
“คุณผู้ชายกับคุณผู้หญิงไปทำงานแล้ว คุณจะทานข้าวเลยไหมคะ?”
“ได้ค่ะ หิวแล้วพอดี”
ระหว่างที่ป้าเฉินเตรียมกับข้าว โจวจิ้งเดินไปนั่งรอที่โซฟา จังหวะเดียวกับที่เถาม่านลงบันไดมาพอดี
เข้าสู่เดือนตุลาคม อากาศเริ่มจะหนาวแล้ว เถาม่านจึงใส่เสื้อเชิ้ต กระโปรงยาว ซึ่งเหมาะกับหุ่นสูงเพรียวของเธอ
“คุณจะทานข้าวด้วยไหมคะ?” ป้าเฉินถาม
“ไม่ล่ะ ฉันมีนัดแล้ว” เถาม่านตอบ
โจวจิ้งดื่มน้ำอย่างไม่สนใจ เธอสองคนไม่มีเรื่องให้ต้องปฏิสัมพันธ์กันอยู่แล้ว จะทักทายไปทำไม
“เธอไม่อยากรู้เหรอว่าฉันออกไปกับใคร?” เถาม่านโพล่งขึ้น
โจวจิ้งอยากจะตอบว่าไม่เกี่ยวกับเธอ แต่ก็กลัวอีกฝ่ายคิดว่าหาเรื่อง
“หลินเกานัดฉัน อยากจะไปด้วยกันไหมล่ะ?”
พี่น้องคู่นี้ชอบทำตัวดราม่าน่าเบื่อ เด็กสาววัยกำลังโตมักจะชอบแข่งกันเรื่องแบบนี้ ต่อให้เถาม่านและหลินเกาคบหาดูใจกัน ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะรักกันด้วยใจจริง หากอีกฝ่ายอยากใช้หลินเกาเป็นเครื่องมือยั่วโมโหโจวจิ้ง สุดท้ายแล้วใครที่ได้ประโยชน์บ้างล่ะ แม้แต่ไอ้หน้าจืดหลินเกาก็ยังถูกหลอกใช้