หัวโจก - ตอนที่ 34 กลัวผีหรอ
เจ้าตัวเล็กวิ่งไปหลบหลังเฮ่อซวินอย่างรวดเร็ว “พี่เฮ่อ ผมอยากเล่นอันนั้น”
“ได้สิ” เฮ่อซวินตอบ
“จะบ้าเหรอ! กำลังพูดอะไรอยู่รู้หรือเปล่า?”
“กลัวผีเหรอ?” เฮ่อซวินเลิกคิ้วถาม
“ไม่ได้กลัว แค่คิดว่าเด็กๆ ควรเล่นอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้!”
“อืม” เฮ่อซวินส่งเสียงในลำคอ ก่อนจะหันไปถามโจวเสี่ยวหยี “กลัวไหม?”
“ไม่กลัว” เขายืดอกตอบ
“ถ้างั้นก็ลุยเลย”
โจวจิ้งอยากจะทุบเฮ่อซวินให้จมดิน ไหนใครบอกว่าเขาเป็นคนเย็นชา มนุษยสัมพันธ์ไม่ดี แต่กลับเข้ากับเด็กเล็กได้ขนาดนี้ คนไม่รู้คงนึกว่าเป็นลูกชายไปแล้ว
ทั้งสองเดินนำหน้าโดยมีโจวจิ้งวิ่งตามไม่ห่าง
เธอกลัวผีมากถึงมากที่สุด ทั้งที่ไม่ดูหนังผีเลย แต่จะไม่ตามก็ไม่ได้ เพราะต้องคอยดูแลน้องชายซึ่งอาจกลัวจนฉี่ราด
สุดท้ายก็เป็นโจวจิ้งที่เกาะแขนเฮ่อซวินแน่น หยีตาจนแทบมองทางไม่เห็น ต่างจากโจวเสี่ยวหยีที่เดินตัวปลิว
“ปล่อย!”
“ไม่ปล่อย! ที่นี่มืดเกินไป ฉันกลัวสะดุดล้ม” โจวจิ้งไม่ยอม
“เกาะแบบนี้ ฉันนี่ล่ะจะล้ม!” เฮ่อซวินพยายามแกะมืออีกฝ่ายออก
ไม่ปล่อย!”
โจวจิ้งเดินสวดมนต์ไปตลอดทาง คิดถึงตอนเป็นผีแล้วต้องนั่งเล่นในงานศพของตัวเอง พวกที่อยู่ในนี้ก็คงไม่ต่างกัน จึงไม่มีอะไรต้องกลัว
ขณะกำลังปลอบใจตัวเอง เสียงกรี๊ดของโจวเสี่ยวหยีทำเธอตกใจจนเผลอลืมตา
“แม่เจ้า ผะ… ผีหัวขาด!” โจวจิ้งกระโดดกอดเอวเฮ่อซวิน
“โจวจิ้ง” เฮ่อซวินสะกิด
“ช่วยด้วย!” โจวจิ้งเกาะเขาแน่นดั่งเหาฉลาม
“ลงจากตัวฉันเดี๋ยวนี้!”
“นายนั่นแหละรีบๆ พาฉันออกไปจากที่นี่ ฉันกลัว” เธอหลับตาโวยวาย “ฉันไม่อยู่แล้ว!”
เฮ่อซวินทั้งลากทั้งดึงโจวจิ้งออกไป ทันทีที่พ้นขอบประตู เขาก็หัวเราะเยาะแบบไม่เกรงใจ
“หยุดหัวเราะเดี๋ยวนี้นะ!” โจวจิ้งสั่ง “ใครบ้างที่ไม่กลัวผี!”
“ไม่บอกไม่รู้นะเนี่ย” เฮ่อซวินทำเสียงล้อเลียน
“ช่างเถอะ ขี้เกียจเถียงกับเรื่องไร้สาระ ว่าแต่… น้องฉันอยู่ไหน?”
เฮ่อซวินชะงัก
“อย่าบอกนะว่า…”
ตอนที่เจอโจวเสี่ยวหยี เขากำลังร้องไห้ราวกับคนบ้า
โจวจิ้งมองอีกฝ่ายด้วยหางตาแล้วหัวเราะเยาะ “อยากเล่นบ้านผีสิงนักไม่ใช่เหรอ!”
“อย่าทำตัวไร้สาระได้ไหม!” เฮ่อซวินดุพลางย่อตัวลงปลอบโจวเสี่ยวหยี
เธอแทบไม่เชื่อสายตา คนอย่างเฮ่อซวินที่มักทำตัวหยิ่งยโส กลับแสดงความเป็นพ่อได้อย่างดีเยี่ยม
พนักงานที่พาโจวเสี่ยวหยีออกมาพูดกับโจวจิ้งว่า “น้องชายคุณน่ารักมากเลย”
“ลูกชายฉันเองค่ะ” จากนั้นก็ชี้เฮ่อซวิน “ส่วนนี่ลูกชายคนโต” เธอยิ้มตอบ
โจวจิ้งซื้อสายไหมสามไม้มาแบ่งกันกิน
“เอ้านี่ หยุดร้องได้แล้ว” เธอยื่นสายไหมให้โจวเสี่ยวหยี
เขาส่ายหน้า น้ำตาคลอเบ้า “ไม่กิน ฉันจะเล่นอันนั้นต่อ!”
โจวจิ้งมองชิงช้าสวรรค์แล้วปรายตามองน้องชายด้วยความเบื่อหน่าย “เดี๋ยวก็อยากเล่นรถไฟเหาะ เดี๋ยวก็อยากเข้าบ้านผีสิงตอนนี้อยากนั่งชิงช้าสวรรค์อีก เป็นไบโพลาร์หรือไง?”
โจวเสี่ยวหยีกระทืบเท้า ทำท่าจะร้องไห้
“โอเคๆ” โจวจิ้งยอมแพ้ “เล่นเสร็จต้องกลับเลยนะ!” พูดจบก็ยื่นสายไหมให้เฮ่อซวิน
“ไม่กิน”
“ไม่ได้ให้กิน ให้ช่วยถือ ฉันจะพาน้องไปนั่งชิงช้าสวรรค์”
บนชิงช้าสวรรค์ โจวเสี่ยวหยีนำตุ๊กตาทั้งหมดกองรวมกันตรงมุม แล้วหยิบพ็อปคอร์นในถังใบใหญ่ขึ้นเคี้ยวอย่างเมามัน จนกลิ่นหอมกระจายไปทั่ว
“รู้ไหมว่าทำไมที่นี่ถึงชื่อสตาร์แลนด์” โจวจิ้งถามเฮ่อซวิน
“ไม่รู้”
“ก็แน่ล่ะ ตอนเริ่มสร้างที่นี่นายยังเป็นเบบี้อยู่เลย” โจวจิ้งมองไปบนท้องฟ้า “ชิงช้าสวรรค์คือเครื่องเล่นที่โด่งดังที่สุด ได้ยินว่าถ้านั่งดูดาวจากตรงนี้ จะเห็นดาวดวงใหญ่และเยอะเป็นพิเศษ” เธอซดกาแฟคำหนึ่งแล้วจึงเล่าต่อ “สตาร์แลนด์ก็คือเมืองที่มีแต่ดาวเต็มไปหมด”
สมัยยังเด็ก โจวจิ้งอยากเที่ยวสวนสนุกมาก แต่ความฝันนี้ช่างไกลเกินเอื้อม แค่มีโอกาสได้ยืนมองแสงไฟ เธอก็สุขใจมากแล้ว
เป็นครั้งแรกที่โจวจิ้งได้นั่งชิงช้าสวรรค์กับผู้ชาย เฮ่อซวินช่วยชดเชยชีวิตด้านที่ขาดหายไปของเธอ วันใดหากถูกสวรรค์เซอร์วิสส่งกลับ การได้มาเที่ยวครั้งนี้ก็ถือว่าคุ้มแล้ว
“ขอบคุณที่นั่งชิงช้าสวรรค์เป็นเพื่อน” เธอกล่าวด้วยความซาบซึ้ง
เฮ่อซวินชะงัก “ไร้สาระน่ะ”
เธอยักไหล่แล้วมองท้องฟ้าซึ่งเต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ยังมีแสงไฟของม้าหมุนที่ส่องสว่างอยู่ด้านล่าง ทำให้ภาพตรงหน้างดงามไม่ต่างจากในหนังสือนิทาน
โจวจิ้งหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นเก็บภาพบรรยากาศ ก่อนจะหันไปชวนเฮ่อซวินซึ่งกำลังถือสายไหมสีชมพูให้ถ่ายรูปร่วมกัน
“ไม่ถ่าย!” เขาปฏิเสธ
“ต้องถ่าย!” เธอเอียงตัวเข้าใกล้
“ถอยออกไป!” เขาไล่พลางกระเถิบหนี
“ภาพเดียวเอง!” โจวจิ้งยังคงไม่ลดละ “เก็บเป็นความทรงจำเฉยๆ ไม่ต้องเขินหรอก”
เธอไม่สนใจและพยายามเขยิบเข้าใกล้เขาเพื่อถ่ายรูป
“โจวจิ้ง ขอเตือนไว้อย่าง…”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ถ่ายได้แล้ว!” โจวจิ้งชูมือถือแล้วหัวเราะเต็มเสียง “เฮ้ย…”
สิ้นเสียงร้อง เธอก็เสียหลักแล้วล้มใส่เฮ่อซวิน กลิ่นหอมของกาแฟและกลิ่นหวานจากสายไหมคลุ้งไปทั่วตัวเขา ส่วนเจ้าตัวเล็กก็ยังคงกินพ็อปคอร์นอย่างเอร็ดอร่อย
“ลุกขึ้นได้แล้ว!” เฮ่อซวินผลักเธอออกแล้วเริ่มปัดเสื้อผ้า
“โอเคๆ” โจวจิ้งชันตัวขึ้นนั่ง จังหวะเดียวกับที่ดอกไม้ไฟถูกจุด
แสงจากพลุกระจายไปทั่วท้องฟ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ช่วยสร้างบรรยากาศยามค่ำคืนได้เป็นอย่างดี
ดวงตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าเต็มไปด้วยแสงระยิบระยับ ไม่มีใครพูดอะไรอีก แม้แต่โจวเสี่ยวหยีก็ยังหยุดเคี้ยวพ็อปคอร์น
ทุกอย่างสงบนิ่งเหมือนถูกหยุดเวลา ดวงตาของเฮ่อซวินอ่อนโยนมากขึ้น ส่วนสาวห้าวอย่างโจวจิ้งก็ถูกบรรยากาศหล่อหลอมจนระทวยไปหมด
บรรยากาศในตอนนี้ชวนให้อธิษฐานอย่างมาก พอคิดได้เธอก็หันไปสบตากับเฮ่อซวินที่ยังอยู่ในท่าถูกล้มทับ
ดวงตาของเขาส่องสว่างยิ่งกว่าดวงดาวบนฟ้า สิ่งที่อยู่ข้างในตาไม่ใช่แค่แสงสะท้อนจากดอกไม้ไฟ แต่มีเธออยู่ในนั้นด้วย
ดอกไม้ไฟเหมือนไม่มีวันหมด ดวงดาวก็เหมือนจะไม่มีทางมืดมน ม้าหมุนยังคงหมุนวนต่อไป แต่ทุกอย่างในชิงช้าสวรรค์กลับหยุดนิ่ง
โจวจิ้งได้ยินเสียงหัวใจเต้นตุบตับ ไม่รู้ว่ามาจากร่างนี้หรือวิญญาณของเธอกันแน่
เธอคือวิญญาณที่มีวุฒิภาวะของผู้ใหญ่ เพียงแต่อยู่ในร่างของเด็กสาววัยรุ่น
แม้จะปรับตัวจนเข้ากันได้ดี แต่กลับไม่เคยสัมผัสถึงความรู้สึกที่แท้จริงของโจวจิ้งคนนี้เลย
เวลาเจอเถาม่าน ก็ไม่รู้สึกอยากเอาชนะ เวลาเจอหลินเกา ก็ไม่รู้สึกถึงความหลงใหล เวลาถูกเพื่อนนักเรียนล้อ ก็ไม่รู้สึกเจ็บแค้น ไม่คิดมาก ไม่เครียด และเข้าใจว่ากำลังอยู่ในสังคมแคบๆ เท่านั้น
เพราะไม่ใช่เด็กนักเรียนอีกแล้ว ผ่านอะไรมาก็มาก จึงมองว่าเรื่องเหล่านี้ไร้สาระตลอด
แต่ตอนที่ดอกไม้ไฟกระจายทั่วท้องฟ้า เธอกลับได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองอย่างชัดเจน เหมือนบ่อน้ำนิ่งที่ถูกลมพัดจนกระเพื่อมเบาๆ
อาจเพราะคนตรงหน้าหล่อเกินไป บวกกับบรรยากาศยามค่ำคืน ฮอร์โมนวัยรุ่นจึงพลุ่งพล่าน
โจวจิ้งมองเฮ่อซวินที่กำลังแบกโจวเสี่ยวหยีด้วยความเกรงใจ
“ฉันแบกเองก็ได้นะ” เธอเสนอ
“ไม่เป็นไร”
เนื่องจากปลดปล่อยพลังมาทั้งวัน พอขึ้นรถโจวเสี่ยวหยีก็หลับเป็นตาย
พอแท็กซี่จอดหน้าคอนโด โจวจิ้งที่ไม่มีความรักเด็กก็ทำท่าจะปลุกน้องชาย แต่ถูกเฮ่อซวินห้ามแล้วช่วยอุ้มเขาเข้าบ้านให้
“นายชอบเด็กเหรอ?”
“ไม่ชอบ”
“ไม่ชอบแล้วอุ้มทำไม? ทีวันกีฬาสีไม่เห็นเต็มใจอุ้มแบบนี้เลย!”
“หุบปาก!”
คำพูดของโจวจิ้งเหมือนจะรื้อฟื้นความทรงจำที่เฮ่อซวินพยายามลืม
“โถๆๆ ความรักจากพ่อสู่ลูก ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า” เธอขำด้วยความสะใจ
เนื้อแท้เขาเป็นคนจิตใจดีและอบอุ่นอย่างมาก ไม่รู้ทำไมชอบทำหน้าเย็นชาตลอดเวลา
จู่ๆ เฮ่อซวินก็หยุดเดิน พอมองไปข้างหน้าก็พบว่าหลินเกาและเถาม่านกำลังยืนมองพวกเขาด้วยแววตาสับสน
“เรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย?” เถาม่านงึมงำในลำคอ
โจวจิ้งหันไปบอกเฮ่อซวิน “ส่งแค่นี้พอ ปล่อยน้องฉันลงได้แล้ว”
โจวเสี่ยวหยีงัวเงียตื่นและขยี้ตาด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อเห็นหลินเกา ก็ตะโกนเรียกอย่างสนิทสนม “พี่หลิน”
“นกสองหัวแต่เด็ก เดี๋ยวพี่เฮ่อ เดี๋ยวพี่หลิน!” โจวจิ้งแอบหมั่นไส้น้องชาย
หลินเกาลูบหัวเจ้าตัวเล็กด้วยความเอ็นดู ก่อนจะพยักหน้าทักทายเฮ่อซวิน
โจวจิ้งเหนื่อยมาทั้งวัน จึงไม่มีอารมณ์จะยุ่งเรื่องความรักระหว่างหนุ่มสาว
“ขึ้นห้องก่อนนะ บาย” เธอร่ำลาเฮ่อซวินแล้วเดินเข้าตึก โดยมีเถาม่านและโจวเสี่ยวหยีเดินตาม
เมื่อเห็นว่าโจวฉีเทียนและเถาจิงยังไม่กลับ โจวจิ้งก็ได้แต่ส่ายหน้ากับการเลี้ยงลูกด้วยเงินอย่างแท้จริง
เธอเตรียมจะไปอาบน้ำเข้านอนแต่กลับถูกเถาม่านรั้งไว้ “ทำไมถึงไปกับเฮ่อซวินได้?”
“ต้องรายงานเธอด้วยเหรอ?” โจวจิ้งเลิกคิ้วถาม “ฉันนัดเขาออกมาเองแหละ”
“เธอ…กับเขาเป็นอะไรกัน?”
โจวจิ้งจ้องตาอีกฝ่าย “เป็นอะไรกัน แล้วเกี่ยวอะไรกับเธอ?” พูดจบก็หัวเราะ “อยากได้หลินเกาฉันก็ยกให้แล้ว วันนี้จะมาขอเฮ่อซวินอีกงั้นเหรอ?”
ป้าเฉินได้ยินเสียงคนทะเลาะกันจึงรีบวิ่งมาดู
“เหลวไหล!” เถาม่านหน้าเสีย
“ถ้าไม่ชอบแล้วโมโหทำไม?” โจวจิ้งถาม “เชิญเธอกับหลินเกาคบกันให้สบายใจ ส่วนฉันกับเฮ่อซวินจะเป็นอะไรยังไงก็ไม่ต้องมายุ่ง เพราะไม่เกี่ยวข้องกัน!” พูดจบก็ส่ายหน้าด้วยความระอาแล้วเดินเข้าห้องนอน
เถาม่านโกรธหน้าดำหน้าแดง ยืนโมโหอยู่พักหนึ่งจึงสังเกตเห็นว่าโจวเสี่ยวหยีแง้มประตูแอบฟังอยู่
“มองอะไร!”
โจวเสี่ยวหยีเบ้ปากแล้วปิดประตูดังปังพร้อมลงกลอน