หัวโจก - ตอนที่ 35 จะเก็บไว้ประจาน
หลังอาบน้ำเสร็จ โจวจิ้งนอนเล่นมือถือบนเตียง
รูปที่เธอถ่ายในวันนี้มีทั้งรูปของโจวเสี่ยวหยี รูปเฮ่อซวินแบกโจวเสี่ยวหยี และรูปที่เฮ่อซวินถูกเธอล้มใส่ทั้งที่ยังถือสายไหมอยู่
เธอรู้สึกประทับใจจึงส่งรูปนี้ให้เฮ่อซวิน ซึ่งเขาก็ตอบอย่างรวดเร็ว
“ลบซะ!”
“ไม่ลบ น่ารักดีออก”
จู่ๆ โจวจิ้งก็นึกได้ว่า อีกฝ่ายมีรูปหลุดของเธอบนเครื่องเล่น จึงรีบเสนอขึ้นว่า “ลบก็ได้ แต่นายต้องลบรูปของฉันก่อน”
“ไม่ลบ จะเก็บไว้ประจาน!”
ถึงเฮ่อซวินจะทำหน้าเหวอ แต่รูปของเขาก็ยังดูดีกว่ารูปของเธอมาก
“ช่างมันเถอะ!”
โจวจิ้งพลิกตัวไปมาบนเตียง รู้สึกว่ากำลังทำตัวเหมือนเด็กสาวเอาแต่ใจ ไร้เหตุผล
ส่วนเฮ่อซวินพอกลับถึงบ้าน ก็ควักบัตรผ่านประตูสวนสนุกสามใบออกจากกระเป๋าแล้วทิ้งลงถังขยะอย่างไร้เยื่อใย
โจวจิ้งนอนยาวถึงบ่าย อาจเพราะร่างกายไม่ฟิตเหมือนเด็กวัยรุ่น จึงเหนื่อยและเพลียง่าย
พอตื่นนอนก็รีบอาบน้ำแต่งตัวเพื่อไปจัดรายการให้ตู้เฟิง ซึ่งเตรียมข่าวดีเรื่องขึ้นเงินเดือนไว้ต้อนรับเธอ เนื่องจากรายการ‘สายลมในฤดูร้อน’ ที่เกือบถูกยกเลิกโด่งดังขึ้นอีกครั้ง
หลังจากที่โจวจิ้งช่วยชีวิตเด็กสาวคนนั้นเอาไว้ ผู้ฟังทางบ้านก็โทรเข้ามาไม่ขาดสาย ไม่ระบายความในใจก็ขอให้เธอช่วยแก้ปัญหาชีวิต
เรื่องงานไม่มีปัญหา แต่เรื่องครอบครัวกลับทำให้เธอผิดหวัง
วันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โจวจิ้งตั้งใจจะเผชิญหน้ากับครอบครัว แต่กลับไม่เจอแม้แต่เงาของพ่อกับแม่
เธอเริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมเจ้าของร่างถึงเป็นเด็กเกเร เนื่องจากต้องการเรียกร้องความสนใจจากผู้เป็นพ่อ แม้จะไม่ง่ายเพราะลูกสาวของแม่เลี้ยงเป็นเด็กที่สมบูรณ์แบบมาก
ปัญหาของโจวฉีเทียนคือเขาไม่รู้ถึงต้นตอของปัญหา คิดเพียงว่าโจวจิ้งต้องการเรียกร้องความสนใจ จึงปล่อยปละละเลยแล้วชดเชยด้วยเงินแทน
เช้าวันจันทร์ โจวจิ้งทักทายเฮ่อซวินอย่างเป็นมิตร
ทันทีที่นั่งลง หยวนคังฉีก็สะกิดเธอด้วยปลายปากกาแล้วยื่นแนวข้อสอบปึกหนึ่งให้
“สดใหม่จากเตาเลย” เขายกยิ้มมุมปาก
“ขอบคุณมาก” เธอกล่าวขอบคุณแล้วหันไปทางเฮ่อซวิน“ติวให้หน่อยสิ”
“ไม่ว่าง” เขาปฏิเสธ
“ทำไมล่ะ?” โจวจิ้งทำเสียงออดอ้อน “เราสนิทกันแล้วไม่ใช่เหรอ?”
“สนิท?” หยวนคังฉีได้ยินพอดี “ว่าแต่… ไปสนิทกันตอนไหน?”
“เพ้อเจ้อน่ะ!” เฮ่อซวินตอบอย่างหัวเสีย
“ในมือถือฉันมี…”
พูดยังไม่ทันจบดี โจวจิ้งก็ถูกสายตาพิฆาตของเฮ่อซวินเตือนให้หุบปาก
“ไม่ต้องอ้อนวอนเขาหรอก” หยวนคังฉีแนะนำ “ถึงจะคะแนนดี แต่พูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ให้ฉันติวสนุกกว่าเยอะ”
“ขอบใจนะ แต่ไม่ดีกว่า” โจวจิ้งปฏิเสธเพราะไม่อยากติดหนี้บุญคุณหยวนคังฉี “ฉันเป็นคนชอบความท้าทาย ยิ่งถูกปฏิเสธ ก็ยิ่งอยากเอาชนะ”
“โรคจิต!” เฮ่อซวินสวนกลับ
“แหงแซะ!” โจวจิ้งแสยะยิ้ม
เธอนับถือเด็กหนุ่มสองคนนี้มาก ไม่ต้องพยายามอ่านหนังสือแต่กลับได้คะแนนดี ทั้งที่แบ่งเวลาไปเที่ยวเล่น ออกกำลังกาย และเล่นดนตรี
ตอนพักเที่ยง โจวจิ้งไปกินข้าวที่โรงอาหารกับเจ้าเขียวและมั่วลี่
ขณะเดินออกจากห้องเรียน เธอเห็นหลินเกาและเถาม่านกำลังยืนคุยกับเด็กสาวตาโต ผมบ๊อบ หน้าตาน่ารักคนหนึ่ง
“พี่จิ้ง” เด็กสาวคนที่ว่าส่งยิ้มทักทายเธอ
เสียงอ่อนหวานที่ดูสนิทสนมของอีกฝ่ายทำโจวจิ้งถึงกับหยุดเดิน
“เพิ่งรู้ว่าพี่ได้เข้าห้องกิฟต์ ดีใจด้วยนะ สุดยอดไปเลย”
“อะ… อืม” โจวจิ้งอ้ำๆ อึ้งๆ เพราะไม่รู้จะคุยอะไร พอเหลือบไปเห็นป้ายชื่อ จึงรู้ว่าเธอชื่อ ‘จิงจิง’
“เรื่องละครวิทยุที่คุยกันไว้ ได้เรื่องแล้วจะรีบแจ้งนะคะ” เธอขยิบตาให้โจวจิ้ง “บทของพี่ต้องดีแน่นอน”
โจวจิ้งหัวเราะแห้งเพราะหลินเกากับเถาม่านยืนฟังอยู่ เธอไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกับจิงจิง ไม่รู้ด้วยว่าตกลงเรื่องบทละครกันไว้ยังไง จึงตัดบทด้วยการขอตัวไปกินข้าว
เธอไม่อยากเชื่อว่านักเลงหัวทองประจำโรงเรียนอย่างโจวจิ้งจะมีเพื่อนสนิทเป็นเด็กสาวหน้าตาน่ารักจิ้มลิ้มได้ ไหนจะเรื่องละครวิทยุอีก เด็กมีปัญหาอย่างเธอคงไม่เล่นละครวิทยุเป็นงานอดิเรกแน่
เมื่อครู่ตอนที่เจอกัน เธอรู้สึกคุ้นหน้าอีกฝ่ายมาก พยายามนึกไปตลอดทางว่าเคยเจอที่ไหน แต่พอแหงนหน้ามองระเบียงแล้วเห็นหลินเกา จึงจำได้ว่าเธอกับเฮ่อซวินเคยแอบดูเด็กสาวคนนี้ในห้องสมุด
ถ้าอย่างนั้น… โจวจิ้งกับจิงจิงก็คือศัตรู ซึ่งอีกฝ่ายสมควรถูกเธอถีบตกบันไดมากกว่าจะสนิทสนมกัน
เรื่องนี้ต้องมีเงื่อนงำแน่นอน!!!
โจวจิ้งตัดสินใจจะสืบเรื่องนี้จากมั่วลี่และเจ้าเขียว
“ความสัมพันธ์ของฉันกับจิงจิงในสายตาของพวกเธอเป็นยังไงบ้าง?”
เจ้าเขียวชิงตอบก่อน “ลูกพี่ปลื้มรุ่นน้องคนนี้มาก คอยดูแลเทกแคร์ตลอด ถึงขั้นไปแก้แค้นคนที่เคยแกล้งเธอด้วย”
เพราะแบบนี้ จิงจิงจึงไม่มีท่าทีเกรงกลัวเธอ แต่กลับทักทายอย่างสนิทสนม
เดิมเจ้าของร่างไม่ใช่คนใจกว้าง ชอบแสดงความเป็นเจ้าของหลินเกาตลอด นอกจากเถาม่าน ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเขาจะถูกตามหาเรื่องจนหมด ต่างจากจิงจิงที่ลอยตัว ทั้งที่โผเข้ากอดหลินเกาขนาดนั้น เป็นไปได้ว่าเด็กสาวคนนี้แอบชอบหลินเกาแต่ไม่แสดงออก พอเจ้าของร่างไม่รู้จึงอยู่รอดได้ถึงทุกวันนี้
“รู้ไหม ทำไมแต่ก่อนฉันถึงชอบจิงจิง” เธอถามเจ้าเขียว
“ทำไมถามแบบนี้ล่ะ?” เจ้าเขียวสงสัย
“แค่อยากรู้เฉยๆ”
“คงเพราะเธอน่ารัก รู้กาลเทศะ เวลาลูกพี่ถูกคนอื่นนินทาก็จะออกหน้าแทนตลอด ดีพอจะชอบไหมล่ะ?”
โจวจิ้งจ้องหน้าเจ้าเขียว “แล้วนายหน้าแดงทำไม หรือว่า… แอบชอบจิงจิง?”
“เปล่า!” เจ้าเขียวรีบปฏิเสธ
“มองจนตาค้างยังจะปฏิเสธอีก!” มั่วลี่กลอกตา “ในเมื่อจิงจิงกับเถาม่านไม่ถูกกัน หล่อนก็นับเป็นพวกเดียวกับเจ๊ไง”
“อืม” โจวจิ้งเริ่มเข้าใจตรรกะหาพวก
จิงจิงชื่นชอบดนตรีมาก ได้รับรางวัลระดับประเทศบ่อยครั้ง ส่วนเถาม่านก็ได้ความอาร์ตจากแม่ เห็นว่ากำลังเตรียมสอบโรงเรียนดุริยางคศิลป์ชื่อดังในต่างประเทศอยู่ ความสามารถอาจสูสีกัน แต่นิสัยต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งหยิ่งยโส อีกคนสายบ้องแบ๊ว
นอกจากจิงจิง ก็ไม่มีใครในโรงเรียนที่สู้เถาม่านได้อีก จึงยอมสนิทสนมด้วย เวลาเจอปัญหาจะได้ไม่หัวเดียวกระเทียมลีบ
ส่วนเรื่องละครวิทยุ แค่คิดเธอก็รู้สึกอายแล้ว…
ชมรมนิเทศของโรงเรียนจัดการแข่งขันละครวิทยุขึ้น พอหลินเกาไปสมัคร โจวจิ้งที่ตามจีบเขามานานจึงไม่พลาดโอกาสนี้ ด้วยหวังว่าจิงจิงจะช่วยล็อกบทคู่ให้
มั่วลี่เล่าเรื่องนี้ด้วยความรู้สึกสงสัย “ปกติหลินเกาจะไม่เข้าร่วมกิจกรรมของโรงเรียนเลยนะ?”
“อยากเปลี่ยนบรรยากาศมั้ง” โจวจิ้งตอบทั้งที่รู้ว่าเขาถูกจิงจิงเกลี้ยกล่อม
เธอด่าเจ้าของร่างในใจ ไม่รู้ว่าซื่อหรือโง่กันแน่ ถึงไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมมารยาร้อยเล่มเกวียนของจิงจิง
“ลูกพี่ยังจะไปไหม?” เจ้าเขียวถาม
“ไปสิ ไม่พลาดอยู่แล้ว”
“อยู่ห้องกิฟต์ จะมีเวลาทำกิจกรรมเหรอ?” เจ้าเขียวถามด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีปัญหา แค่แบ่งเวลาให้ดีก็พอ”
โจวจิ้งไม่ได้อยากไปเล่นละครวิทยุ แค่อยากไปดูจิงจิงเล่นละครตบตาเท่านั้น
ระหว่างเถาม่านและจิงจิง ดูก็รู้ว่าไม่มีใครยอมใคร หลินเกาก็เข้าใจยาก ทั้งที่ใกล้ชิดกับเถาม่านมากแต่กลับไม่ปฏิเสธจิงจิงให้ชัดเจน
อย่างที่คิดไว้ จิงจิงเป็นคนเอาการเอางาน พอถึงวันพุธก็มาตามนัดเพื่อแจ้งรายละเอียดการอัดละครวิทยุให้โจวจิ้งฟัง
“พี่จิ้งสะดวกหรือเปล่า?”
“สะดวกสิ”
ในเมื่อบรรดาครูห้องกิฟต์ไม่สนใจเธอ จะอยู่ในคาบหรือไม่ก็มีค่าเท่ากัน เพราะต้องอ่านเองอยู่ดี สู้เอาเวลาไปทำกิจกรรมอย่างอื่นดีกว่า
หลังกินข้าวเย็นเสร็จ เธอไม่ได้เข้าห้องติวและตรงไปยังห้องอัดเสียงใต้ดินตามแผนที่ของจิงจิง แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไป ก็ต้องตกใจกับภาพตรงหน้า
“ทำไมพวกนายมาอยู่ที่นี่ล่ะ?” เธอเลิกคิ้วถามเฮ่อซวินและหยวนคังฉี
หยวนคังฉียิ้ม “มาอัดเสียงไง”
“ไม่ได้ช่วยให้คะแนนสอบเพิ่มขึ้นสักหน่อย”
“ความชอบส่วนตัวน่ะ พวกเขาเป็นสมาชิกของชมรมนี้นานแล้ว” จิงจิงพูดแทรก “แถมอัดละครหลายเรื่องแล้วด้วย”
“งานอดิเรกเยอะจริงๆ” พูดจบก็หันไปทางเฮ่อซวิน “ดูไม่น่าจะชอบอะไรแบบนี้เลยนะ” โจวจิ้งแซว
“เขามาเป็นเพื่อนฉัน” หยวนคังฉีเกี่ยวแขนเพื่อนรัก
เฮ่อซวินสะบัดแขนอีกฝ่ายออก “ไปไกลๆ เลย!”
จิงจิงมองโจวจิ้งสลับกับเฮ่อซวิน “พวกพี่ดูสนิทกันดีนะหรือว่า…”
โจวจิ้งกำลังจะปฏิเสธ แต่กลับถูกเถาม่านพูดแทรก “มากันครบแล้วใช่ไหม?”
เนื่องจากได้ยินสิ่งที่พวกเขาคุยกัน ทั้งหลินเกาและเถาม่านจึงหน้าบึ้งตลอดเวลา
โจวจิ้งหันมองจิงจิง เด็กสาวที่ภายนอกดูไร้เดียงสา แต่กลับร้ายกาจด้วยการจงใจพูดเรื่องของเธอกับเฮ่อซวิน
“เหยาฟั่ง” จิงจิงตะโกนเรียกใครบางคน
เด็กหนุ่มที่เค้าโครงคล้ายตู้เฟิง ผมหยิกยาว เจาะหูข้างหนึ่ง เดินออกมาพร้อมกับหูฟังอันใหญ่
“นี่คือผู้กำกับของเรา” จิงจิงแนะนำ “เนื่องจากเวลาจำกัดวันนี้จะอัดแค่ฉากสำคัญ ส่วนฉากสั้นๆ ของตัวประกอบค่อยตามอัดทีหลัง” จากนั้นก็หยิบกระดาษปึกหนึ่งออกจากลิ้นชัก “นี่คือบท ลองอ่านกันดู”
ยังไม่ทันเริ่มอ่าน โจวจิ้งก็ถูกจิงจิงประกบที่ด้านข้างแล้วส่งสัญญาณให้เดินตาม
เธอไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร จึงเดินตามออกไป
ที่หน้าห้องอัดเสียง จิงจิงยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ กระทั่งไร้ผู้คนจึงพูดออกมาว่า “ขอโทษนะพี่จิ้ง”