หัวโจก - ตอนที่ 36 อย่าขำ
“ขอโทษทำไม?” โจวจิ้งไม่เข้าใจ
“ฉันเขียนบทให้พี่คู่กับหลินเกาแล้ว แต่เถาม่านไม่ยอม ครูก็เห็นดีเห็นงามกับหล่อน บทของพี่เลยถูกสลับและถูกตัดจนสั้นนิดเดียว ฉันขอโทษจริงๆ…”
“ไม่เป็นไร ช่างมันเถอะ” โจวจิ้งตอบอย่างไม่ใส่ใจ
ปฏิกิริยาที่เหนือความคาดหมายของโจวจิ้งทำจิงจิงอึ้งเล็กน้อย แต่ก็ปรับตัวได้อย่างรวดเร็ว
“ถ้าพี่ตกลงกับเถาม่านได้ ฉันจะช่วยแก้บทให้ คนเห็นแก่ตัวแบบนี้ อย่าไปยอม!”
ดูผิวเผินเหมือนกำลังเข้าข้าง แต่โจวจิ้งรู้ดีว่าจิงจิงกำลังยุให้เธอไปตีกับเถาม่าน
พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งเงียบ จิงจิงก็ถามย้ำอีกครั้ง “พี่จิ้ง ตกลงจะเอายังไง?”
“ไม่เอาไง”
เธอรู้ดีว่าจิงจิงเป็นตัวเสี้ยม รู้ด้วยว่าเจ้าของร่างเดิมน่าจะถูกอีกฝ่ายหลอกใช้มานานแล้ว
เรื่องแค่นี้ถึงกับต้องยุให้เธอไปทะเลาะเบาะแว้ง หลินเกาคงเห็นพฤติกรรมมามากจนเอือม สุดท้ายก็เลือกที่จะอยู่กับเถาม่านเพราะสบายใจกว่า
‘ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว’
ฉันอายุเท่าไหร่จ๊ะ 31 จ้าอีหนู! มารยาของเด็กคนนี้ทำโจวจิ้งเอือมระอา เพราะเข้าใจแล้วว่าเจ้าของร่างเดิมต้องเจอเรื่องเลวร้ายแค่ไหน แม้จะไม่ชอบเถาม่าน แต่การหลอกใช้แบบนี้น่ารังเกียจกว่า
จึงเลือกที่จะยิ้มตอบแล้วชูบทในมือขึ้น “เรื่องแค่นี้ฉันไม่แคร์หรอกเถาม่านอยากได้ก็เอาไป เธอก็รู้ว่าฉันเป็นคนใจกว้าง” โจวจิ้งยักคิ้ว“ไม่ว่าใครจะอยากได้อะไร แค่บอกตรงๆ ฉันก็พร้อมจะยกให้ โดยเฉพาะของไร้ค่า”
จิงจิงชะงักเล็กน้อย ไม่รู้ว่ากลัวหรือตะลึงกับคำพูดของอีกฝ่ายกันแน่
“ไปก่อนนะ” พูดจบโจวจิ้งก็หันหลังเดินกลับ
“ไปไหนมา?” หยวนคังฉีถามทันทีที่เห็นเธอเดินเข้าห้อง
“ห้องน้ำ” เธอตอบสั้นๆ แล้วนั่งลงอ่านบท
บทละครถูกเขียนเพื่อการประกวดโดยเฉพาะ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับความฝันและความมุ่งมั่นของวัยรุ่นที่เดินตามความฝันด้านดนตรีทั้งที่ครอบครัวขัดขวาง จึงต้องเลือกระหว่างเดินตามความฝัน หรือจะยอมแพ้ให้กับความจริง
หลินเการับบทเป็นพระเอก ชายหนุ่มผู้รักในเสียงดนตรีเถาม่านรับบทเป็นนางเอก นักร้องนำจอมเกเรประจำวง ส่วนจิงจิงรับบทเป็นนักเต้นรำที่คอยให้กำลังใจพระเอกและนางเอก
โจวจิ้งรู้สึกว่าบุคลิกของเจ้าของร่างเหมาะกับบทนี้มากกว่าเถาม่าน หรือจิงจิงกำลังวางแผนแกล้งเถาม่าน ด้วยการผลักดันให้ทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับตัวเอง จะได้ดูตลกในสายตาของคนอื่น
เธอหัวเราะอย่างเมามันขณะอ่านบทของตัวเอง
“นี่เธอไม่โกรธเลยเหรอ?” หยวนคังฉีถาม
“โกรธทำไม บทฉันตลกจะตาย ชอบๆ”
หยวนคังฉีหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ
“ว่าแต่ บทของนายเป็นไงบ้าง?”
โจวจิ้งชะโงกหน้ามองกระดาษในมือหยวนคังฉี ที่บนหัวเขียนไว้ว่า ‘รุ่นพี่ในวง’ ก่อนจะชะโงกมองของเฮ่อซวินบ้าง “แล้วของนายล่ะ?”
เขารีบม้วนกระดาษปิดไม่ให้เธอเห็น แต่บทละครที่ทุกคนได้คือแบบเดียวกัน ปิดไปก็ไม่มีประโยชน์
โจวจิ้งอ่านบทละครไปขำไป จนถูกเฮ่อซวินดุ
“อย่าขำ!” เขาเริ่มจะเหลืออด
“ฉันกับนาย ทำไมบังเอิญขนาดนี้” โจวจิ้งพยายามกลั้นขำ“บังเอิญจริงๆ ฮ่าฮ่าฮ่า”
เฮ่อซวินไม่สนใจเพราะถูกหยวนคังฉีบังคับมา ถึงจะรู้สึกเบื่อ แต่เขาก็ไม่โยนบททิ้ง แค่นั่งทำหน้าบูดเท่านั้น
เหยาฟ่างเป็นทั้งผู้เขียนบท ผู้กำกับ และรับหน้าที่ตัดต่อ เพราะเชี่ยวชาญด้านละครวิทยุอย่างมาก
เมื่อทุกคนเริ่มจำบทได้ การอัดเสียงก็เริ่มต้นขึ้น
โจวจิ้งขำจนหลินเกาและเถาม่านหันมองหน้ากัน เพราะอีกฝ่ายเพิ่งจะถูกเปลี่ยนบทจากนางเอกเป็นตัวประกอบ
“ลองเสียงกันหน่อยนะ” เหยาฟ่างพูดหลังเตรียมอุปกรณ์เสร็จเรียบร้อย
อย่างที่จิงจิงบอก บทของโจวจิ้งมีไม่มาก แต่เธอกลับดีใจจนทุกคนงง กระทั่งถึงฉากที่ต้องคุยกับเถาม่าน ทุกคนจึงกระจ่างทันที
“คุณแม่ขา” เถาม่านละสายตาจากบทในมือ สีหน้าเบื่อหน่าย
ได้ยินที่อีกฝ่ายเรียก โจวจิ้งก็ขานรับด้วยน้ำเสียงเปี่ยมสุข“จ๋าลูก…”
ละครเรื่องนี้สื่อถึงความขัดแย้งในครอบครัว โดยเฉพาะความหัวโบราณของคนสมัยก่อนกับความทันสมัยของคนสมัยใหม่
บทของโจวจิ้งคือแม่นางเอก นอกจากจะไม่ฉลาดยังชอบทำตัวขวางโลก คอยขัดขวางความสำเร็จของลูกสาวตลอดเวลา เป็นตัวละครที่น่ารำคาญมาก
คนเรามักเสพติดความโดดเด่น เช่นบทของพระเอกหรือนางเอก ไม่มีใครอยากได้บทที่มีแต่คนเกลียดอย่างแม่นางเอก ถ้าไม่ใช่มือโปรอย่างโจวจิ้ง
นอกจากจะไม่ไปหาเรื่องเถาม่านแล้ว เธอยังเพลิดเพลินกับบทของตัวเองอีกด้วย
“คุณแม่ วันนี้หนูไม่กลับไปกินข้าวเย็นนะคะ”
“จะไปเล่นดนตรีอีกแล้วใช่ไหม บอกแล้วไงว่าอย่าแรดให้มาก!”
“แม่!”
“อยากลองดีก็เอา!”
โจวจิ้งมีความเป็นมืออาชีพสูงมาก แม้เสียงจะสื่อถึงอารมณ์โกรธและความเป็นห่วง แต่สีหน้ากลับสนุกสนานอย่างเห็นได้ชัด
ต่อให้อยากเขวี้ยงบททิ้งแค่ไหน เถาม่านก็จำต้องเรียกอีกฝ่ายว่า ‘แม่’ ครั้งแล้วครั้งเล่า
สำหรับโจวจิ้ง ไม่มีอะไรคุ้มไปกว่านี้อีกแล้ว บทถูกแย่งไปก็จริง แต่กลับได้เปรียบโดยไม่ตั้งใจ
หลินเกาเองก็ตกที่นั่งลำบาก เพราะต้องเรียกเฮ่อซวินว่า ‘พ่อ’ เช่นกัน
เสียงของเฮ่อซวินค่อนข้างทุ้ม ต่างจากหลินเกาที่เล็กแหลมเข้ากับร่างผอมบางของเขา พ่อลูกคู่นี้จึงเข้ากันได้ดีมาก
ยิ่งพากย์ โจวจิ้งก็ยิ่งคึก บทของเธอจะหนักไปทางต่อว่าและสั่งสอนลูกสาว
“กว่าจะเลี้ยงจนโตได้ขนาดนี้ แม่ต้องลำบากแค่ไหน เคยเห็นใจบ้างรึเปล่า? แค่ตั้งใจเรียน ไม่เสียเวลาไปกับดนตรีบ้าบอพวกนั้น มันยากมากนักรึไง? ผิดด้วยเหรอที่ฉันอยากมีลูกประสบความสำเร็จเหมือนคนอื่นเขา?”
เสียงของเธอเต็มไปด้วยความโศกเศร้าจนคนฟังคล้อยตาม
“สุดยอด… เข้าถึงบทได้ดีมาก!” หยวนคังฉีชมในใจ
ใบหน้าของเถาม่านเริ่มบูดบึ้ง ราวกับรู้ว่ากำลังถูกโจวจิ้งหลอกด่า ต่อบทกันก็อึดอัดพอแล้ว เจอฉากสุดท้ายเข้าไป เธอก็ถึงกับอ่านต่อไม่ได้
รอจนเถาม่านและโจวจิ้งอัดเสียงจบ เหยาฟ่างก็สรุปให้ทุกคนฟัง
“บทหลักของตัวประกอบเสร็จสมบูรณ์แล้ว ซึ่งจะนำไปตัดต่ออีกที หากพบปัญหาที่ทำให้ต้องอัดเสียงใหม่ ก็จะรีบแจ้งให้ทราบส่วนตัวละครหลัก ไว้หาเวลามาอัดเสียงอีกครั้งแล้วกัน” พูดจบก็หันไปทางโจวจิ้ง “สนใจเข้าร่วมชมรมของเราไหม?”
“ไม่เป็นไร” เธอปฏิเสธอย่างรวดเร็วเพราะไม่สนใจด้านนี้ ที่มาก็เพื่อสอดแนมและแกล้งเถาม่านเท่านั้น
หลังเสร็จงาน เถาม่านและหลินเกาเดินออกจากห้องทันทีไม่แม้แต่จะร่ำลาจิงจิง
แต่จิงจิงไม่สนใจและหันไปส่งยิ้มให้โจวจิ้ง “พี่จิ้งพากย์เสียงได้ดีมากเลย ดูหน้าเถาม่านสิ สงสัยจะโกรธน่าดู”
จิงจิงเหมือนจะไม่เข้าใจคำพูดของโจวจิ้ง ยังคงดัดเสียงน่ารักและแสร้งทำเป็นดีเหมือนเดิม
โจวจิ้งรู้ถึงเจตนาที่แท้จริงของอีกฝ่าย เธอไม่ชอบคนฉลาดแกมโกง จึงขอตัวกลับโดยไม่ต่อความยาว
“ไปก่อนนะ”
ยังไม่ทันเดินออกจากห้องอัด หยวนคังฉีก็เข้ามากระซิบ “ทะเลาะกับจิงจิงเหรอ?”
“เปล่า”
“แล้วทำไมทำหน้าแปลกๆ เมื่อก่อนสนิทกันมากเลยนี่”
“รู้ได้ไงว่าเราสนิทกัน?”
หยวนคังฉีหัวเราะ “ก็ที่ไปหาเรื่องเด็กโรงเรียนอื่น เพราะจิงจิงถูกแกล้งไม่ใช่เหรอ?”
“ฉันเนี่ยนะ… โง่จริงๆ เลย” เธอบ่นกับตัวเอง
“ว่าไงนะ?” หยวนคังฉีได้ยินไม่ชัด
“เปล่า” โจวจิ้งรีบเปลี่ยนเรื่อง “ไม่คิดว่าจะเจอพวกนายที่นี่”
“พรหมลิขิตไง” หยวนคังฉีส่งยิ้มให้เฮ่อซวิน
“ไม่ใช่!” เฮ่อซวินสวนกลับทันควัน
โจวจิ้งชินกับการที่เฮ่อซวินไม่รับมุก จึงชวนหยวนคังฉีคุยต่อ
“นายรู้วันเกิดของหลินเการึเปล่า?”
คำถามนี้ทำเด็กหนุ่มทั้งสองชะงักเล็กน้อย
“ตกใจอะไร เห็นอยู่ห้องเดียวกันก็คิดว่ารู้?”
“ไม่รู้” เฮ่อซวินตอบเสียงแข็ง
แม้จะไม่แสดงออกมากมาย แต่โจวจิ้งก็รู้ว่าเขาหัวเสียอยู่
“อย่าบอกนะว่าที่มาวันนี้ก็เพื่อจะได้เจอหน้าเขา?” หยวนคังฉีถาม
“คิดมากน่ะ ฉันก็แค่… ถามเล่นๆ”
ในเมื่อเธอคนเดิมตกหลุมรักอีกฝ่ายขนาดนั้น ก็น่าจะใช้วันเกิดของเขาตั้งเป็นรหัสเอทีเอ็ม
แต่เมื่อคิดดูอีกที เธอไม่อยากเกี่ยวข้องกับหลินเกาอีกแล้ว เพราะไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไร มักถูกโยงว่าทำเพื่อเขา เป็นเรื่องที่น่าเบื่อมาก
“งั้นฉันกลับหอก่อนนะ เจอกันพรุ่งนี้” เธอโบกมือลา
แม้เงาของโจวจิ้งจะลับตาไปแล้ว หยวนคังฉีก็ยังไม่หายสงสัย “เสียงแบบนี้เคยได้ยินที่ไหนนะ… เฮ้ เฮ่อซวิน ไปหาอะไรกินกัน!”
ในห้องอัดเสียง จิงจิงกำมือถือไว้แน่น ก่อนจะตัดสินใจถามเหยาฟ่างตรงๆ
“นายรู้สึกว่าโจวจิ้งเปลี่ยนไปไหม?”
“เปลี่ยนไปอะไร? ไม่รู้สิ ไม่สนิทเท่าไหร่” เหยาฟ่างตอบ
“คิดว่าเธอยังชอบหลินเกาอยู่ไหม?”
เหยาฟ่างเงยหน้ามองอีกฝ่าย “ทำไมถึงถามแบบนี้?”
“แค่สงสัยน่ะ เผื่อว่านายรู้” เธอยิ้ม
“โจวจิ้งจะชอบหลินเกาหรือไม่ก็ไม่สำคัญ เพราะเขาคบอยู่กับเถาม่าน” เหยาฟ่างก้มหน้าทำงานต่อ
ชีวิตของโจวจิ้งดำเนินไปอย่างสงบสุข คงเพราะแสดงจุดยืนอย่างชัดเจน จิงจิงจึงไม่วุ่นวายด้วยอีก
เธอเรียนหนักขึ้นทุกวัน จากที่ครูและเพื่อนๆ ไม่ยอมรับหลังจากผ่านการสอบสองสามครั้ง ผลสอบของเธอก็ทำให้ทัศนคติของพวกเขาเปลี่ยนไป
ชาติที่แล้วโจวจิ้งยอมทำทุกอย่างเพื่อให้สอบเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดังได้ ซึ่งการทุ่มเทอย่างหนักก็ทำให้เธอได้รับทุนการศึกษาจนเรียนจบ ตอนเลือกคณะ เธอลงชื่อในภาควิชาบัญชี เอกไฟแนนซ์ เนื่องจากเป็นความฝันของครอบครัว ทั้งที่ใจไม่ชอบ