หัวโจก - ตอนที่ 4 เจ๊ใหญ่
โจวจิ้งหันมองอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เด็กสาวตรงหน้าสูงพอๆ กับเธอแต่ผอมกว่า บนศีรษะมัดหางม้าแบบลวกๆ ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือ ตากลมโต คิ้วเรียงตัวสวย ผิวขาว ในมือถือนิยายภาษาอังกฤษเล่มหนึ่ง
มีคนเคยบอกไว้ว่า หากต้องการรู้ว่าใครสวยที่สุดให้มองหาในรั้วโรงเรียน เพราะเด็กมัธยมจะไม่แต่งหน้าตอนไปเรียน
“เถาม่าน มาเคลียร์กันให้รู้เรื่องไปเลย หว่านเสน่ห์ใส่แฟนคนอื่นไม่ว่ายังผลักโจวจิ้งตกบันไดอีก หน้าไม่อายจริงๆ!” มั่วลี่เปิดให้ก่อน
สาวสวยตรงหน้าคือต้นเหตุที่ทำให้โจวจิ้งสลบ ดูยังไงก็ไม่เหมือนกับคนที่ชอบใช้กำลัง
“แฟนเหรอ?” เถาม่านหัวเราะเสียงเย็น “หลินเกายอมรับว่าเป็นแฟนแล้วเหรอ? เลิกเพ้อเจ้อได้แล้ว ใครกันแน่ที่น่าไม่อาย?”
สาวหน้าหวานคนนี้ปากจัดไม่น้อย แค่น้ำเสียงดูแคลนและสีหน้าเย็นชาของเธอ ก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว
มั่วลี่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ทำไมจะไม่ใช่แฟน! หลินเการู้จักกับโจวจิ้งตั้งกี่ปีแล้ว คำว่ากิ่งทองใบหยกน่ะรู้จักไหม? เธอมันก็แค่มือที่สาม มีแม่แบบไหนก็ได้ลูกแบบนั้น หน้าด้านเสียไม่มี!” พูดจบก็ดึง
โจวจิ้งเข้ามาใกล้ “พูดให้มันได้ยินไปเลยว่าเจ๊กับหลินเกาเป็นอะไรกัน!”
โจวจิ้งพูดอะไรไม่ออก เธอเองก็เพิ่งเข้าใจอารมณ์ของเด็กมัธยมทะเลาะกัน โดยมีเด็กหลายคนยืนมุงราวกับกำลังดูละครเวที เมื่อนึกย้อนไปสมัยที่เธอเป็นเด็กมัธยม แค่ลากกันไปตบกันในห้องน้ำก็จบเรื่อง จากนั้นก็แยกย้าย ต่างกับเด็กสมัยนี้ที่ทะเลาะกันใหญ่โตแค่เรื่องแย่งผู้ชาย
“ลูกพี่” เจ้าเขียวกระตุกชายเสื้อเพื่อเรียกสติ “บอกความจริงยัยนี่ไปสิ!”
ชั้น 4 ของตึกเต็มไปด้วยนักเรียนที่มามุงดูจนไม่เหลือที่ว่างบนระเบียง ทุกคนยืนล้อมเป็นวงกลมโดยมีโจวจิ้งและเถาม่านเป็นจุดศูนย์กลาง บ้างก็ยกมือถือขึ้นถ่ายคลิป บ้างก็ตะโกนเชียร์
โจวจิ้งนึกถึงตอนที่เธอขึ้นรับรางวัลบนเวที ครูประจำชั้นยื่นถ้วยรางวัลให้ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมกล่าวชม แต่สภาพของเธอในตอนนี้นั้น…
ด้วยความที่เป็นเจ๊ใหญ่ของแก๊งซึ่งมีลูกน้องหลายคน เธอจึงไม่อาจทำตัวอ่อนแอให้ลูกน้องต้องรู้สึกอับอายได้ แต่จะให้แก้แค้น เธอก็ไม่รู้ว่าควรตบหน้าเถาม่านกี่ที จะให้เดินหนีไปเฉยๆ ก็คงทำได้ยาก
คิดไปได้สักพัก โจวจิ้งก็พูดขึ้นว่า “Miss Daisy รึ? หนังสือเล่มนี้เหมาะกับเธอดีนะ”
เถาม่านที่ตอนแรกตั้งใจจะมาตบตีกับอีกฝ่าย หน้าเสียในทันที
Miss Daisy คือชื่อของนางเอกในนิยายภาษาอังกฤษเล่มนั้น ตัวเอกเป็นหญิงชนชั้นสูง รูปร่างหน้าตาภายนอกดูดีมีราคาแต่กลับมีนิสัยขี้อิจฉา ชอบโอ้อวด แถมยังคบซ้อนกับผู้ชายถึงสามคน
บริษัทที่โจวจิ้งเคยทำงาน มีพนักงานหญิงในฝ่ายบุคคลชอบอ่านนิยายตรรกะป่วยเรื่องนี้มาก
เถาม่านถึงกับเถียงไม่ออก เพราะเคยชินกับการใช้กำลังแก้ปัญหาของโจวจิ้งคนก่อนมากกว่า
“เจ้าพวกเด็กห้องกิฟต์ ดีแต่อ่านหนังสือจนไม่รู้จักใช้สมองแก้ปัญหา!” โจวจิ้งตำหนิในใจ
Miss Daisy เป็นนิยายภาษาอังกฤษที่น้อยคนจะรู้จัก ซึ่งนักเรียนส่วนใหญ่เลือกอ่านหนังสือเรียนมากกว่าหนังสืออ่านนอกเวลา และต่อให้มีเวลาก็ไม่มีใครคิดอยากจะอ่านหนังสือภาษาอังกฤษ บรรดานักเรียนที่มามุงดูจึงไม่เข้าใจสิ่งที่โจวจิ้งกำลังพูด แต่เมื่อสังเกตสีหน้าของเถาม่าน พวกเขาก็พอจะเดาออกและพากันหยิบโทรศัพท์ขึ้นเสิร์ชกูเกิ้ล
เถาม่านยังไม่ทันได้อ้าปากพูด ก็ถูกเสียงแหลมเล็กขัดจังหวะ “เมี่ยเจวี๋ยมาแล้ว!”
ทุกคนที่ได้ยินพากันแตกตื่น โดนเฉพาะมั่วลี่ที่ตบบ่าโจวจิ้งก่อนจะวิ่งหนี “ไปก่อนนะเจ๊ สู้ๆ นะ!”
โจวจิ้งกำลังจะหันไปถามเจ้าเขียวว่าเมี่ยเจวี๋ยคือใคร แต่กลับไม่พบแม้แต่เงา
ณ จุดนี้ เหลือเพียงเธอ เถาม่าน และหญิงวัยสี่สิบกว่า รูปร่างผอมสูง ที่กำลังเดินบิดก้นอยู่บนโถงทางเดิน บนศีรษะของสตรีที่มาใหม่เหลือผมอยู่ไม่มาก แต่ก็ยังพยายามมัดจุกไว้ที่ด้านหลัง แก้มตอบจนโหนกแก้มปูดโปนอย่างชัดเจน แค่ดูก็รู้สึกถึงความร้ายกาจแล้ว
“ถึงคาบว่างแล้ว กลับห้องเรียนไปก่อนนะ” เธอส่งยิ้มอ่อนหวานให้เถาม่าน ก่อนจะปรายตามองโจวจิ้งแล้ว “ตามฉันไปที่ห้องพักครู!”
“อะไรอีกวะเนี่ย!” โจวจิ้งบ่นในใจ
ป้ายชื่อบนโต๊ะทำงานของเมี่ยเจวี๋ยระบุตำแหน่งผู้อำนวยการอย่างชัดเจน
“เทอมที่แล้วเธอโดดเรียนหลายสิบครั้ง คะแนนความประพฤติติดลบ วันนี้ยังจะก่อเรื่องทั้งๆ ที่เพิ่งเปิดเทอมอีก ไม่อยากเรียนก็ไม่เป็นไร อย่าเป็นตัวถ่วงเป็นพอ ปลาเน่าตัวเดียวเหม็นไปทั้งข้องถ้าไม่สนใจอนาคตก็อย่าฉุดคนอื่นลงเหว!”
คำพูดของอีกฝ่ายไม่น่าฟังจนโจวจิ้งต้องเบือนหน้า ครูคนอื่นต่างก็ไม่สนใจ บ้างก็อ่านนิตยสาร ทำตารางสอน ทำงานของตัวเองไปเรื่อยๆ
สมัยที่ยังเป็นนักเรียน โจวจิ้งมักจะสอบได้ที่หนึ่งของชั้น ได้ถ้วยรางวัลเยอะจนเมื่อยแขนจะถือ เป็นแบบนี้ครูทั้งโรงเรียนจึงเอ็นดูเธอ ทุกครั้งที่เห็นครูตำหนิพวกเด็กเกเร ในใจก็รู้สึกดูถูกพวกนั้นไปด้วย แต่เมื่อต้องโดนเองบ้างกลับรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก
เมี่ยเจวี๋ยยังคงบ่นต่อ “ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อของเธอยัดเงิน โรงเรียนนี้ไม่มีทางรับขยะสังคมอย่างเธอแน่ ทั้งทะเลาะเบาะแว้ง ทั้งโดดเรียน ไหนจะสีผมอีก รู้ไหมทำไมห้องปกครองถึงไม่สนใจ ก็เพราะสนใจไปก็ไร้ประโยชน์ไงล่ะ!”
โจวจิ้งเพิ่งจะเข้าใจความรู้สึกของนักเรียนที่โดนครูด่าบ่อยๆ
“ฉันขอเตือนเป็นครั้งสุดท้าย เธอจะไม่เป็นโล้เป็นพายยังไงก็ได้ แต่อย่าหาเรื่องเพื่อนคนอื่นๆ หลินเกากับเถาม่านเป็นคนละประเภทกับเธอ อนาคตของพวกเขายังอีกไกล!”
โจวจิ้งหน้าเสียทันทีที่ได้ยิน หากมองข้ามเรื่องนิสัย เด็กมัธยมที่อายุเพียงสิบแปดปี ไม่ควรโดนดูถูกถึงขั้นนี้ หากโจวจิ้งตัวจริงรับไม่ได้ เธออาจหมดหวังและหมดอนาคตจากคำพูดนี้ได้เลย
เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ ถ้ารู้สึกกังวลหรือหวาดกลัวก็คงไม่กล้าที่จะเถียงครู ต่อให้เถียง ก็คงเถียงแบบเด็กๆ
แต่โจวจิ้งคนนี้ไม่ใช่เด็ก เธอเคยเจอลูกค้าที่งี่เง่าที่สุด ไหนจะพวกหน้าด้านในสังคม ทั้งยังเคยแท้งลูกและไล่ตบเมียน้อยของสามีมาแล้ว
ประโยคที่ว่า ‘หลินเกากับเถาม่านเป็นคนละประเภทกับเธอ’ ช่างตรงกับคำพูดเหยียดหยามของแม่เธอเหลือเกิน
แม้ในใจจะโกรธ แต่โจวจิ้งก็ฝืนยิ้มตอบ “ขอบคุณสำหรับคำสั่งสอนค่ะ”
ผู้อำนวยการมีสีหน้าตกใจ ครูอีกหลายคนในห้องถึงกับต้องวางงานในมือแล้วหันมามอง
โจวจิ้งแสยะยิ้ม “ครูว่าหนูอย่างโน้นอย่างนี้ ทำไมถึงไม่ว่าคนอื่นบ้าง? เถาม่านผลักหนูตกบันไดจนสลบ ถ้าหัวฟาดพื้นอาจต้องกลายเป็นผักอยู่บนเตียง ไม่ก็ลงไปนอนในโลง ร่างกายได้รับความเสียหายขนาดนี้ หนูยังไม่ไปฟ้องพ่อเลย แล้วโรงเรียนได้ซื้อประกันไว้ให้หนูรึเปล่า? ต่อให้มีประกันจริงๆ ก็ไม่สมควรถูกผลักจนตกบันไดใช่ไหม? สมัยนี้อะไรนิดอะไรหน่อยก็ถูกลงข่าวในหนังสือพิมพ์แล้ว หรือโรงเรียนอยากจะเป็นข่าวบ้าง? หนูไม่เอาเรื่องเถาม่านเพราะใจกว้างพอ แต่ครูกลับพูดเหมือนหนูเป็นคนผิด ยวู่เต๋อมีฝ่ายกฎหมายรึเปล่า? ถ้าไม่มีคงต้องจ้างทนาย เพราะหนูจะไม่ยอมถูกใส่ร้ายอีก!”
เธอไม่เคยกลัวการโต้เถียง ด้วยความที่เป็นพนักงานชั้นนำของบริษัทมาก่อน ความสามารถในการเล่นลิ้นกับลูกค้าและเพื่อนร่วมงานจึงอยู่ในระดับเซียน
นอกจากเจ้านายแล้ว ไม่มีใครสามารถเถียงชนะเธอได้ เรื่องเด็กๆ แค่นี้จึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับโจวจิ้ง
เมี่ยเจวี๋ยใจหายวาบ เธอเคยปะทะกับโจวจิ้งมานับครั้งไม่ถ้วน รู้ด้วยว่าอีกฝ่ายเป็นพวกหัวแข็ง ไม่สนใจกฎระเบียบ ทุกครั้งที่คุยกัน ก็มักจะชักสีหน้าและทำท่าไม่พอใจ แต่ครั้งนี้กลับมีมารยาท ไม่หยุด
คำหยาบโลนออกมาแม้แต่คำเดียว
“กล้าดียังไงมาพูดจาแบบนี้!” เมี่ยเจวี๋ยทุบโต๊ะเสียงดังลั่น “ให้พ่อเธอมาโรงเรียนพรุ่งนี้เลย!”
“ได้ค่ะ” โจวจิ้งพยักหน้า “หนูจะบอกให้พ่อเอานักข่าวมาถ่ายรูปด้วย น่าจะเป็นข่าวดังเลยทีเดียว”
การต้องมาอยู่ในร่างนี้นับว่าเป็นเรื่องผิดพลาดมากแล้ว แต่ที่มากไปกว่านั้นก็คือ เธอไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองเป็นใครน่ะสิ!