หัวโจก - ตอนที่ 40.มีแต่คุณอยู่ในความฝัน
เจ้าของร้านคือสาวโสดอายุสามสิบกว่า เป็นเพื่อนในวงไพ่ของแม่โจวจิ้ง เวลามาขอนั่งทำการบ้าน เธอจึงมักจะให้ลูกอมโจวจิ้งด้วยความเอ็นดูเสมอ
โจวจิ้งชินกับการต้องนั่งทำการบ้านท่ามกลางบรรยากาศครึกครื้น คุ้นเคยกับเพลงแดนซ์ที่หลากหลาย โดยเฉพาะ ‘บันทึกรักที่มีให้เธอ’ ซึ่งถูกเปิดบ่อยที่สุด
เจ้าของร้านหน้าตาจัดว่าสวย เสน่ห์ล้นหลาม ชอบใส่ชุดกี่เพ้างามสง่า เวลาอารมณ์ดีก็จะขึ้นไปร้องเพลงบนเวทีให้แขกฟัง
พอเมาได้ที่ แขกในร้านจะชอบชวนโจวจิ้งเต้น ซึ่งเธอปฏิเสธทุกครั้ง เพราะต้องทำการบ้านกองมหึมา หลังดิสโกเทกถูกรื้อแล้วเปลี่ยนเป็นร้านอาหาร เจ้าของร้านแสนสวยคนนั้นก็หายไปจากชีวิตเธอ
เมื่อถูกดันขึ้นเวทีท่ามกลางเสียงเชียร์ โจวจิ้งจึงระลึกถึงความทรงจำในตอนนั้น ยิ่งเห็นหนุ่มสาวเต้นเบียดเสียดกันอย่างเมามัน ก็ยิ่งคิดถึง
กาลเวลาผ่านไป ความทรงจำในวัยเด็กค่อยๆ จางหาย คนที่เคยเด็กสักวันก็จะแก่ลง ดิสโกเทกถูกรื้อตามยุคสมัย คนรุ่นใหม่ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังวนเวียนอยู่กับเพลงของรุ่นพ่อรุ่นแม่ด้วยท่าเต้นแบบเดิม
เธออมยิ้มทุกครั้งเมื่อนึกถึงเจ้าของร้านคนสวยกับเสียงเพลงอ่อนหวานน่ารัก ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางชุมชนแสนสงบร่มเย็น ที่ถูกหยุดเวลาไว้ในภาพถ่าย ในความทรงจำของผู้คน
‘ต้นไม้ยังหัวเราะเยาะฉัน
ที่ไม่มีแม้แต่ชื่อและเบอร์โทรคุณ
ได้แต่จดรายละเอียดไว้ในไดอารี่
ความรู้สึกราวกับไม่มีวันเขียนหมด’
“น่ารักมาก!” เด็กหนุ่มคนหนึ่งโพล่งขึ้น
หลินเกาและเถาม่านจ้องโจวจิ้งที่ยืนอยู่บนเวทีอย่างไม่เชื่อสายตา เธอทำตัวเหมือนไม่แคร์อะไรทั้งสิ้นแม้แต่หลินเกา ซึ่งปกติเธอจะตามเอาอกเอาใจและปล่อยให้เขางี่เง่าใส่ มาวันนี้กลับทำเหมือนมีความสุขโดยที่ไม่ต้องมีเขา
“ร้องต่อสิ หยุดทำไม?” ถังซือถาม
โจวจิ้งลืมเนื้อร้องเพราะเพลงนี้นานหลายสิบปีแล้ว สมัยเธอเรียนอยู่ชั้นประถม หากมีเพลงใหม่ออกมา เพลงเก่าจะถูกลืมทันที ยกเว้นเพลงนี้ที่โผล่เข้าหัวทุกครั้งยามต้องร้องเพลง
ที่จริงเธออยากทำตัวเหมือนนักร้อง ที่เวลาลืมเนื้อก็แค่ยื่นไมค์ให้คนฟังช่วย ปัญหาคือไม่มีใครรู้จักเพลงนี้ นอกจากพ่อแม่ของพวกเขาจะอยู่ในงานด้วย
เมื่อท่อนฮุกผ่านพ้นไป โจวจิ้งจึงตัดสินใจจะร้องมั่ว แต่ใครคนหนึ่งกลับร้องแทนเธอ
‘เอาใจฉันไปแลกใจคุณ
ในค่ำคืนนี้คุณก็คงไม่ได้ยินเสียงในใจฉัน
ราวกับกำลังตกหลุมรัก
มีแต่คุณอยู่ในความฝัน’
เสียงผิวปากและเสียงปรบมือดังสนั่น
เฮ่อซวินเดินขึ้นเวทีอย่างช้าๆ ในมือถือไมค์ แววตาอ่อนโยนกว่าปกติ เส้นเสียงของเฮ่อซวินทุ้มต่ำ มีความเป็นผู้ใหญ่เกินวัย หน้าตาที่หล่อเหลาและนิสัยส่วนตัว ทำให้เสียงนี้เข้ากับบุคลิกของเขามาก
เด็กสาวในชุดกระโปรงสีเทาดูมีชีวิตชีวา ส่วนเด็กหนุ่มก็ดูน่าค้นหาท่ามกลางแสงดาวยามค่ำคืน
เธอยื่นแก้วน้ำในมือให้เฮ่อซวิน พอเขารับ เสียงกรี๊ดด้วยความใจบางของเหล่านักเรียนหญิงก็ดังขึ้น
ภาพตรงหน้าสวยงามจนทำให้ลืมความขัดแย้งของสองโรงเรียนไปชั่วขณะ
ทางด้านโจวจิ้ง เธอไม่ได้อยากทำซึ้งอะไร แค่เมื่อยมือเลยให้เฮ่อซวินช่วยถือเท่านั้น
‘เอาใจฉันไปแลกใจคุณ
ในค่ำคืนนี้คุณก็คงไม่ได้ยินเสียงในใจฉัน
ราวกับกำลังตกหลุมรัก
มีแต่คุณอยู่ในความฝัน’
เสียงร้องของเขาช่วยดึงเสียงเพี้ยนเล็กน้อยของโจวจิ้งให้กลับสู่ภาวะปกติ จังหวะการขยับของเขากำลังดี แถมเป็นจังหวะดิสโกอีก การมีเขายืนอยู่ด้วยทำให้การแสดงถูกยกระดับโดยไม่ได้ตั้งใจ
อาจเป็นเพราะหน้าตา เสียงร้อง และเสน่ห์เฉพาะตัวของเด็กหนุ่มคนนี้
‘ถ้าวันหนึ่งคุณลืมฉันไป
ยังมีไดอารี่เล่มนี้คอยเตือนใจ
ความรู้สึกนึกคิดและความลับ
ของความรักที่ฉันมีให้’
โจวจิ้งส่งจูบให้กับผู้ชม มีความสุขกับเวทีนี้จนลืมตัว
ด้านล่างมีแต่เสียงปรบมือและเสียงเชียร์ดังลั่น หนุ่มสาวหน้าตาดีบนเวทีได้ดึงดูดสายตาทุกคู่ของผู้ชมแล้ว
เพลงนี้ฮิตติดหูในชั่วข้ามคืน ถูกค้นหาในอินเทอร์เน็ตแม้ไม่มีใครรู้จักมาก่อน ที่นักเรียนพวกนี้ไม่รู้ก็คือ นี่คือเพลงเต้นแอโรบิกของรุ่นพ่อรุ่นแม่พวกเขานั่นเอง โจวจิ้งปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วเดินลงเวที โดยมีหยวนคังฉีปรี่เข้ามาหา
“สุดยอดจริงๆ ฉันอัดวิดีโอไว้หมดแล้ว อยากดูก็บอกนะ”
“จ่ายค่าลิขสิทธิ์ด้วย” เธอยักคิ้ว
“เฮ่อซวินไม่เห็นเรียกเก็บเลย”
“ขอบใจที่ช่วย” เธอหันไปบอกเฮ่อซวิน
คิดไม่ถึงว่าคนอย่างเขาจะมาช่วยเธอ น่าแปลกกว่านั้นคือเขารู้จักเพลงย้อนยุคแบบนี้ด้วย
“ต้องขอบคุณฉันถึงจะถูก” หยวนคังฉีไม่ยอม “ฉันเป็นคนบอกให้เขาขึ้นเวทีเอง ยวู่เต๋อจะได้ไม่ถูกหัวลี่เยาะเย้ย”
“คนอย่างเขาไม่สนใจชื่อเสียงของโรงเรียนหรอก” โจวจิ้งพูดด้วยความมั่นใจ “ที่ยอมขึ้นเวทีเพราะกลัวฉันขายหน้ามากกว่า ใช่ไหมเฮ่อซวิน?”
“ไม่ใช่”
“รู้ได้ไงว่าเขาร้องเพลงนี้ได้?” เธอถามหยวนคังฉี
“จะยากอะไร ขนาดเธอยังร้องได้เลย” หยวนคังฉีตอบเสียงเรียบ
“ปกติฉันฟังเพลงทุกแนว แล้วนายล่ะ?” เธอถามเฮ่อซวินต่อ
“แม่ฉันชอบเปิดเพลงนี้ตอนเต้นแอโรบิก” เขาตอบสั้นๆ
หยวนคังฉีรับไม่ได้กับคำตอบนี้ จึงรีบแก้ต่าง “ตอนเด็กๆ ฉันชอบไปกินข้าวที่บ้านเขา เลยได้ยินเพลงนี้จากเครื่องเล่นแผ่นเสียงตัวเก่าบ่อยๆ ว่าแต่… ทำไมเธอรู้จักเพลงโบราณคร่ำครึแบบนี้?”
“เขาเรียกว่าคลาสสิก!” โจวจิ้งค้อนใส่
อาจเพราะทุกคนไม่เคยฟังเวอร์ชันดั้งเดิม จึงไม่รู้ว่าเธอร้องเพี้ยน
หยวนคังฉีถูกสาวๆ ลากไปเต้นรำอีกครั้ง ความขี้เล่นและเป็นมิตรทำให้เขากลายเป็นคู่เต้นสาธารณะต่างจากเฮ่อซวินที่ไม่มีใครกล้าชวน
“ตอนอยู่บนเวที นายรู้ได้ยังไงว่าฉันลืมเนื้อ?” โจวจิ้งโพล่งถามด้วยความสงสัย
“การร้องเพลงน่าจะยากไปสำหรับเธอ” เฮ่อซวินตอบ
โจวจิ้งประทับใจงานเต้นรำในคืนนี้มาก ได้ทำเรื่องที่บ้าระห่ำ ทำทุกอย่างที่ไม่เคยทำ มองไปทางไหนก็มีแต่ความสวยงาม ทั้งแสงไฟ ทั้งดนตรี ผู้คนในงานก็สนุกสนานกันอย่างเต็มที่ รู้สึกถึงความเป็นวัยรุ่นที่แท้จริง ไม่ต้องสนใจอะไร ฝากความหวังไว้กับวันพรุ่งนี้เท่านั้น
พอคิดจะหัวเราะ ไฟทั้งห้องก็ดับลง
กิจกรรมดับไฟห้าวินาทีเริ่มต้นขึ้นพร้อมกับเสียงของพิธีกร
“ห้าวินาทีนี้ อยากบอกรักใครก็ทำให้เต็มที่เลย!”
โจวจิ้งตาโตด้วยความตื่นตะลึง ไม่คิดว่าหัวลี่จะเปิดกว้างขนาดนี้
เสียงหัวเราะ เสียงพูดคุย เสียงสารภาพรัก ระงมไปทั่วทั้งสนาม จนเธอรู้สึกเสียดายที่ไม่มีใครให้บอกรัก
สำหรับวัยรุ่นแล้วนั้น การไม่ได้แอบชอบใครเท่ากับใช้ชีวิตไม่คุ้มค่า ส่วนเธอและตู้เฟิงจัดอยู่ในประเภทแอบชอบแต่ไม่กล้าบอก
โจวจิ้งรู้สึกเสียดายและอยากเป็นคนที่กล้าหาญกว่านี้ แต่เวลาไม่เคยให้โอกาสครั้งที่สองแก่ใคร ความกล้าต้องคู่กับโอกาส หากมีโอกาสแต่ไม่กล้าทำ ก็ไม่เกิดประโยชน์
คนนับร้อยนับพันผ่านเรื่องพวกนี้กันทั้งนั้น หลายคนมีทั้งโอกาสและความกล้า แต่กลับไม่มีใครให้สารภาพรัก
จู่ๆ หน้าผากของเธอก็ถูกบางอย่างสัมผัส
มันทั้งนุ่ม ทั้งเย็น บางเบาราวกับขนนก เยือกเย็นดุจแสงจันทร์ ไม่ต่างจากจุมพิตในจินตนาการ
หรือว่ามันคือ… จูบ!!!
ห้าวินาทีทำอะไรได้บ้าง
บางครั้งความมืดก็ทำให้รู้สึกไม่ปลอดภัย บางครั้งก็มอบความกล้าหาญให้
เนื่องจากไม่เห็นหน้าอีกฝ่าย ความลับที่เก็บไว้ในใจนานแสนนานจึงถูกเปิดเผยแบบไม่อาย
มีหลายคู่ที่ประสบความสำเร็จ หลายคู่ที่เจ็บปวดจากการถูกปฏิเสธ และอีกหลายๆ คู่ที่ทำเพียงยืนสัมผัสกัน ไม่ก็จูบหน้าผากเบาๆ
แสงไฟสว่างขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของแต่ละคนเปลี่ยนเป็นตื่นเต้น โดยเฉพาะโจวจิ้งที่จ้องเฮ่อซวินไม่วางตา
ท่าทางหงุดหงิดของเขาทำเธอต้องยกมือขึ้นแตะหน้าผาก—ใช่หรือเปล่า ใช่เขาหรือเปล่า?
“จ้องฉันทำไม?” เฮ่อซวินขมวดคิ้วถาม
คนอย่างเฮ่อซวินไม่น่าทำอะไรแบบนี้กับเธอ นอกจากสีหน้าเย็นชาและท่าทางหงุดหงิดรำคาญ
หลังหลุดพ้นจากพวกสาวๆ หยวนคังฉีก็เดินมาหาพวกเขา
“หาอะไรอยู่เหรอ?” เขาถามโจวจิ้งเมื่อเห็นเธอหันซ้ายแลขวา
“ไม่มีอะไร”
แม้จะทำใจยาก เพราะจูบนั้นอ่อนโยนและไม่ดูโรคจิต แต่ก็ต้องทำใจ แล้วคิดว่าวันนี้คงแต่งตัวสวยเกิน
“ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเลยนะ” หยวนคังฉีแซว “อย่าบอกนะว่าตอนดับไฟ…”
“เปล่า!” ทั้งคู่ตอบเป็นเสียงเดียวกัน
“ล้อเล่นน่ะ ทำไมต้องร้อนตัวด้วย น่าสงสัยนะเนี่ย” หยวนคังฉีหัวเราะ
“ไร้สาระ” เฮ่อซวินส่ายหน้า
โจวจิ้งแอบมองเฮ่อซวินอีกรอบ เห็นเขามีสีหน้าปกติ ไม่เหมือนคนที่ถูกจับโกหกได้ ก็ยิ่งมั่นใจว่าไม่ใช่
เมื่อเจอคำถามที่หาคำตอบไม่ได้ เด็กที่ชอบทำข้อสอบอย่างเธอก็รู้สึกเหมือนตายตาไม่หลับ
พอเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของงาน พิธีกรจึงประกาศรายชื่อพรอมควีนและพรอมคิง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ทุกคนรอคอย
วันนี้เป็นงานฉลองของโรงเรียนมัธยมหัวลี่ ผู้ชนะสมควรต้องเป็นคนของที่นี่ เพื่อนักเรียนจะได้รู้สึกภาคภูมิใจ
แล้วตำแหน่งพรอมควีนก็ตกเป็นของถังซือ แต่ตำแหน่งพรอมคิงกลับตกเป็นของเฮ่อซวิน
ที่นักเรียนหัวลี่ลงคะแนนพรอมคิงให้โรงเรียนคู่อริ ก็เพราะไม่มีนักเรียนหัวลี่คนไหนเทียบเฮ่อซวินได้
“เดี๋ยวนะ! นายร้องคู่กับฉัน แถมร้องน้อยกว่า แล้วทำไมฉันถึงไม่ได้เป็นพรอมควีน?” โจวจิ้งบ่น
หยวนคังฉีรีบปลอบ “ผู้หญิงในหัวลี่มีเยอะกว่ายวู่เต๋อ แต่ถึงจะไม่ได้ตำแหน่ง เธอก็ชนะใจใครหลายๆ คนนะ”
“ชนะใจ?” โจวจิ้งโบกมือ “ขอกลับห้องไปเยียวยาจิตใจก่อนนะ”
“จะกลับแล้วเหรอ?” หยวนคังฉีรั้ง
“พรุ่งนี้ต้องเดินทางกลับแต่เช้า อีกอย่าง ช่วงห้าทุ่มถึงตีหนึ่งเหมาะแก่การพักผ่อนมาก ตับจะได้ไม่ทำงานหนัก หัวจะได้ไม่ล้านก่อนวัยอันควร” เธอตอบ
ไม่ทันจะได้ตอบกลับ หยวนคังฉีก็ถูกสาวๆ ลากไปถ่ายรูปอีกครั้ง