หัวโจก - ตอนที่ 44.เป็นอิสระแล้วนะเรา
โจวจิ้งถอนหายใจอย่างโล่งอก รู้สึกเจ็บใจที่ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ต่อหน้าผู้ชายที่แสนละเอียดอ่อนอย่างเฮ่อซวิน
เธอไม่ได้เข้าบ้านในทันที แต่นั่งลงที่ม้าหินหน้าคอนโด
หลังได้เจอกับซูเจียงไห่ ความรู้สึกมากมายก็พรั่งพรูออกมา เหมือนมีบางอย่างที่ยังติดค้างในใจแต่ไม่รู้ว่าคืออะไร
เมื่อหาทางออกไม่ได้ โจวจิ้งก็ลุกขึ้นเดินไปที่ป้ายรถเมล์ นั่งรถไปยังถนนเส้นที่คุ้นเคยมานาน
การปรับตัวของมนุษย์ช่างน่ากลัวเหลือเกิน ถึงจะเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย แต่เมื่อมองย้อนกลับไปแล้วพบว่าความทรงจำถูกบิดเบือน เธอก็รู้สึกรับไม่ได้
ต้นไม้สองข้างทางถูกหิมะปกคลุมจนเป็นน้ำแข็ง เมืองนี้ค่อนข้างชนบทเมื่อเทียบกับเขตหนานซินที่เจริญกว่า
โจวจิ้งเดินกะเผลกไปตามถนนที่ลื่นเพราะหิมะเกาะ สุดท้ายก็หยุดที่หน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
เอกสารที่ติดอยู่บนบอร์ดข่าวหน้าหมู่บ้านถูกฉีกออกครึ่งหนึ่งแล้วแปะทับด้วยใบประกาศให้เช่าบ้าน
ยามหน้าหมู่บ้านกำลังเขี่ยถ่านในเตา เมื่อเห็นว่าเธอไม่น่าสงสัยจึงนั่งลงกินโจ๊กและดูทีวีเครื่องเล็กตรงหน้าอย่างสบายอารมณ์
โจวจิ้งแหงนหน้ามองป้าย ‘ซังฮี่’ ที่ติดอยู่บนกระจกชั้นสาม ซึ่งบ่งบอกว่าโจวเค่อได้แต่งงานเรียบร้อยแล้ว
เพียงครึ่งปี น้องชายของเธอมีเงินไปขอสาวแต่งงานรวมถึงดาวน์บ้านใหม่ แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็น เธอไม่ได้กลับมาเพื่อเจอเขาหรือพ่อกับแม่ แค่รู้สึกว่าควรจะกลับมาดูบ้านเกิดเป็นครั้งสุดท้ายก่อนตัดขาด…
ความจริงที่ไม่อาจเลี่ยงได้คือเธอถูกเผาเป็นเถ้าถ่านไปพร้อมกับลูกในท้องแล้ว คิดถึงตรงนี้ ความยึดติดสุดท้ายในใจก็ถูกปลดปล่อย
“เป็นอิสระแล้วนะเรา” โจวจิ้งพึมพำกับตัวเอง ดวงตาจับจ้องแสงรำไรที่ลอดผ่านหน้าต่างห้องออกมา
จู่ๆ แมวตัวหนึ่งก็กระโดดเข้ามาหาเธอ
“ว่าไงเจ้าเหมียว”
แมวน้อยจรจัดตัวนี้จะออกมาต้อนรับโจวจิ้งทุกครั้งที่กลับบ้าน และเธอก็จะเอาอาหารให้มันกินทุกครั้ง
“ไม่ได้เจอกันนาน ผอมลงเยอะเลยนะ”
เจ้าเหมียวส่งเสียงครางเบาๆ ก่อนที่แมวจรจัดสีขาวอีกตัวจะกระโดดลงจากกำแพงแล้วเลียขนให้มัน
“ทักทายเฉยๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องสวีตโชว์เลย น่าเตะจริงๆ!”
โจวจิ้งเหม่อมองแมวน้อยสองตัวที่กำลังนัวเนียกันด้วยใบหน้าเศร้าหมอง
ไม่ว่าเธอจะอยู่หรือตายก็ไม่มีผลใดๆ ต่อคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวหรือแมวที่เคยให้อาหารมานาน
ฟุ้งซ่านไปได้สักพัก เสียงเยือกเย็นของใครบางคนก็ดังขึ้นที่ด้านหลัง
“ดึกมากแล้วทำไมถึงไม่เข้าบ้าน ยืนดูอะไรไร้สาระ!”
เฮ่อซวินยืนห่างจากเธอไม่กี่ก้าว
ที่เขาว่าเพราะเธอไม่ยอมเข้าบ้านแต่กลับมายืนดูแมวผสมพันธุ์ราวกับพวกโรคจิต
“ฉันมาเดินเล่น ว่าแต่… นายสะกดรอยตามฉันเหรอ?” โจวจิ้งถามเพราะดูยังไงก็ไม่น่าเป็นเรื่องบังเอิญ
“เปล่า” เฮ่อซวินปฏิเสธเสียงแข็ง
“ฉันไม่ได้โง่นะ” เธอเดินเข้าใกล้อีกฝ่าย “สะกดรอยตามฉันต้องการอะไร?”
“ปกป้องสังคม กลัวเธอจับเด็กไปเรียกค่าไถ่!”
“พูดเล่นก็เป็นนะเรา” โจวจิ้งยักคิ้ว “เป็นห่วงฉันก็บอกมาเถอะ นายเนี่ยปากไม่ตรงกับใจตลอด แต่ยังไงก็ขอบใจมาก”
เฮ่อซวินมองเธอนิ่งๆ โดยไม่พูดอะไร
โจวจิ้งเงยหน้ามองฟ้าที่ยังมีหิมะโปรยปราย อากาศหนาวยะเยือก บนถนนเงียบสงบ ส่วนเจ้าเหมียวและคู่ขาก็ยังคงนัวเนียกันไม่หยุด
“หิวไหม เดี๋ยวฉันเลี้ยงบะหมี่” เธอเสนอ
ปากทางหมู่บ้านมีร้านเล็กๆ ร้านหนึ่งตั้งอยู่ เนื่องจากเป็นช่วงปีใหม่ จึงเหลือเพียงร้านเดียวที่ยังคงเปิดไฟ
เจ้าของร้านคือคุณลุงน่ารักเป็นมิตร พอเห็นแขกเข้าร้านก็ลุกขึ้นต้อนรับด้วยความยินดี
“รับอะไรดีครับ” เขาเอาเมนูมาให้ดู
“บะหมี่ไก่พิเศษ เพิ่มพริก เพิ่มเนื้อไก่ โรตีสองแผ่น ขนมถั่วสองชิ้น น้ำชาด้วยนะคะ” โจวจิ้งสั่งอย่างคล่องแคล่วโดยไม่ดูเมนู ก่อนจะหันไปถามเฮ่อซวิน “จะเอาอะไรก็สั่งเลย”
“เธอกินหมดจริงๆ เหรอ?” เฮ่อซวินทำหน้าไม่เชื่อ
“ที่งานเลี้ยงคนเยอะ ฉันไม่สนิทเลยไม่กล้ากิน” เธอลูบท้องตัวเอง “ที่กินก็ย่อยหมดนานแล้ว อากาศหนาวแบบนี้ร่างกายเผาผลาญเร็ว ต้องกินตุนไว้ก่อน”
เฮ่อซวินส่ายหน้าแล้วสั่งแค่บะหมี่น้ำใส่กระดูกหมู
ชามของโจวจิ้งมาก่อน ในนั้นแดงเถือกจนไม่รู้ว่าใส่พริกลงไปเยอะแค่ไหน
เมื่อเห็นโจวจิ้งเติมพริกลงไปอีก คุณลุงเจ้าของร้านก็แซวขึ้นว่า “หนูกินเผ็ดเก่งมากเลยนะ”
“หนูชอบกินเผ็ดค่ะ” โจวจิ้งยิ้มตอบ
“ลุงก็เคยมีลูกค้าแบบหนูแต่อายุมากกว่า เวลาสั่งเธอจะเติมพริกเพิ่มทุกครั้ง เอ๊ะ… หรือหนูมีพี่สาว?”
“หนูไม่มีพี่สาวค่ะ” มือที่ถือตะเกียบของโจวจิ้งสั่นเล็กน้อย
“น่าจะบังเอิญน่ะ หนูมาครั้งแรกใช่ไหม ไม่คุ้นหน้าเลย”ชายชราถามต่อ
โจวจิ้งชะงักไปเล็กน้อย “เอ่อ… ใช่ค่ะ”
“กินเผ็ดน้อยๆ หน่อย” เฮ่อซวินเตือนเพราะคิดว่าเธอสำลัก
“นายกินเผ็ดไม่ได้ก็อย่าห้ามคนอื่น มื้อนี้ฉันจ่าย จะกินแบบไหนก็ได้!”
อาหารในโรงอาหารรสชาติไม่จัดจ้าน เน้นสุขภาพเป็นหลัก หากต้องการกินเผ็ดนักเรียนจะต้องไปซื้อที่หน้าโรงเรียนเอาเอง
ส่วนป้าเฉินก็ทำแต่อาหารคลีน กว่าเธอจะได้กินแบบนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย จึงต้องจัดหนักเป็นธรรมดา
ท่ามกลางความเผ็ดร้อน โจวจิ้งกินไปซับน้ำตาไปจนเฮ่อซวินส่ายหน้าด้วยความระอา
เธอกินบะหมี่จนหมดชามตามด้วยโรตีหนึ่งแผ่นและขนมถั่วหนึ่งก้อน หลังดื่มชาจนหมดถ้วยก็หันไปถามเฮ่อซวินว่า “ชนแก้วกันเถอะ”
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เขาสงสัยเพราะเธอเริ่มทำตัวแปลกๆ
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่อยากเดินเล่นแต่ดันทำนายเข้าใจผิดเลยอยากชนแก้วด้วย”
เฮ่อซวินยังคงไม่เชื่อ โจวจิ้งจึงยัดถ้วยชาใส่มือเขาแล้วเอาแก้วของตัวเองไปชน ก่อนจะดื่มรวดเดียวหมด
การดื่มคือการทิ้งความไม่สบายใจไว้เบื้องหลังแล้วเริ่มต้นใหม่ในวันรุ่งขึ้น ยิ่งร่างถูกเผาจนเป็นธุลีแล้วก็ควรปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่
“คิดเงินด้วยค่ะ” เธอตะโกนบอกเจ้าของร้าน
หลังจ่ายเงินเสร็จ โจวจิ้งพบว่าเฮ่อซวินไม่กินก๋วยเตี๋ยวและขนมถั่วอีกหนึ่งชิ้นที่เธอแบ่งให้
“ฉันไม่ชอบของหวาน” เขาตอบ
“กินทิ้งกินขว้างไม่ดีรู้ไหม อีกอย่างคุณลุงจะเสียใจถ้านายไม่กิน”
“ไม่กิน ไม่ชอบ”
“ฉันกินเองก็ได้!” เธอหยิบขนมถั่วที่เขากัดแล้วหนึ่งคำเข้าปากเพื่อตัดรำคาญ
เฮ่อซวินอึ้งไปเล็กน้อยเพราะเขาได้กัดขนมชิ้นนั้นไปแล้ว
ของที่อีกฝ่ายกินแล้วไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับโจวจิ้ง แต่จะคายก็แปลกๆ จึงเคี้ยวต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
สีหน้าตกใจของอีกฝ่ายทำความหวานของขนมถั่วกลายเป็นความขมที่กลืนไม่ลง แม้จะเคยกินของเหลือจากโจวเค่อมาแล้ว แต่อันนี้ไม่เหมือนกัน ถึงเธอจะไม่รังเกียจ แต่เฮ่อซวินไม่ใช่คนในครอบครัว แบบนี้เลยดูเกินเพื่อนไปหน่อย
โจวจิ้งกลืนขนมลงคออย่างฝืนใจ สักพักก็รู้สึกคันจมูก ตามด้วยเลือดกำเดาที่ไหลเลอะปาก
เห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งไม่เดินต่อ เฮ่อซวินที่เดินตามมาจึงส่งเสียงเรียกแล้วแตะแขนเธอเบาๆ
“ฉันคงกินเผ็ดไปหน่อย ก็เลยร้อนใน”
เฮ่อซวินสั่งให้โจวจิ้งเงยหน้า ก่อนจะส่งกระดาษทิชชูในกระเป๋าเสื้อให้
ครั้งที่แล้วก็เลือดประจำเดือน ครั้งนี้ก็เลือดกำเดา เลือดไหลทีไรทำไมต้องเป็นเขาทุกที!
เพราะเงยหน้าตลอด เธอจึงถูกไฟหลากสีบนต้นไม้ทำตาลายจนต้องดึงเสื้อเฮ่อซวินเอาไว้เพื่อไม่ให้หงายหลัง
ด้วยความที่ยืนชิดกันมาก กลิ่นเหล้าบางๆ บนตัวเฮ่อซวินจึงลอยแตะจมูกเธอ
ก่อนหน้านี้เขาช่วยโจวจิ้งดื่มเหล้าไปสองแก้วใหญ่ แต่กลับไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ทั้งยังตาใสแป๋วอีก
แม้จะเป็นคนเย็นชา ไม่อดทนกับคนอื่น แถมยังชอบทำท่ารังเกียจเธอ แต่เมื่อถึงเวลาคับขันกลับเป็นคนเดียวที่พึ่งพาได้
เฮ่อซวินช่วยซับเลือดที่จมูกให้ด้วยความอ่อนโยน แต่จู่ๆ ก็เปลี่ยนอารมณ์แล้วยัดกระดาษทิชชูทั้งก้อนใส่รูจมูกเธอ
“เรียบร้อย” เขาปัดมือ
โจวจิ้งรีบก้มหน้าจนหน้าผากกระแทกคางของเฮ่อซวินอย่างจัง
“ขอโทษๆ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นสบตากับเฮ่อซวิน น่าแปลกที่เขาไม่แสดงอาการโมโหแต่กลับเข้าถึงง่ายกว่าปกติ
โครงหน้าของเขาดูดีจนโจวจิ้งเริ่มเคลิ้ม คิดอยากเขย่งเท้าขึ้นจูบปาก แต่ก็ต้องตกใจกับความคิดของตัวเองจนแทบอยากตบหน้าเพื่อให้ได้สติ
ขณะจะกล่าวขอบคุณ เธอกลับถูกเฮ่อซวินจับคอแล้วดึงเข้าหาตัวเบาๆ
ดวงตาสีดำเข้มชวนมองของเขาแฝงความรู้สึกลึกซึ้งบางอย่างที่ยากจะอธิบาย
แสงไฟระยิบระยับบนต้นไม้สะท้อนกับพื้นหิมะจนกลายเป็นสีรุ้ง
เฮ่อซวินค่อยๆ ขยับเข้าใกล้จนสัมผัสได้ถึงลมหายใจที่ทำให้โจวจิ้งตัวแข็งทื่อ
เสียงหัวใจที่ดังจนปิดไม่มิดทำเธอรู้สึกเหมือนเด็กสิบสี่อีกครั้ง
“อย่าขยับ” เขากระซิบที่ข้างหูก่อนจะหยิบใบไม้แห้งออกจากผมให้
แค่เอาใบไม้ออกต้องขยับเข้าใกล้ขนาดนี้เลย? ถ้าเป็นสาวๆ คนอื่นคงใจละลายไปแล้ว
เฮ่อซวินจ้องโจวจิ้งแล้วทำหน้าสงสัย “ทำไมเธอ…”
โจวจิ้งกลัวว่าเขาจะสังเกตเห็นความผิดปกติจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง “ขอดูใบไม้หน่อยสิ”
“โจวจิ้ง” เฮ่อซวินทำหน้านิ่ง
“ว่า… ว่าไง” เธอเริ่มใจไม่ดี
“เลือดกำเดา… ไหลครบสองข้างแล้ว”
จมูกของโจวจิ้งถูกยัดด้วยกระดาษทิชชูทั้งสองข้าง เฮ่อซวินจึงต้องเดินนำเธอไปที่ร้านขายยา จากนั้นก็ไปส่งที่บ้าน
คืนนี้อารมณ์ของเธอแปรปรวนราวกับนั่งรถไฟเหาะ ก่อนจากกันจึงร่ำลาเฮ่อซวินด้วยความรู้สึกผิด
“ขอบใจมากนะ ทำนายลำบากอีกแล้ว”
“โจวจิ้ง” เฮ่อซวินเรียกด้วยเสียงอันแผ่วเบา
“หืม”
เฮ่อซวินยกมือขึ้นจะลูบหัวเธอ สุดท้ายก็ลังเลแล้วเปลี่ยนเป็นดึงฮูดไปคลุมหัวให้แทน