หัวโจก - ตอนที่ 45.ไม่รู้เหมือนกัน
“ประสาท!” เธอบ่นก่อนโบกมือลาแล้วหันหลังเดินเข้าคอนโด
โจวฉีเทียนและเถาจิงยังคงไม่กลับบ้าน ส่วนโจวเสี่ยวหยีและเถาม่านก็เข้าห้องนอนไปแล้ว
หลังล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ เธอก็นั่งบ่นตัวเองด้วยความหงุดหงิดบนเตียง
“หน้าไม่อาย ทำตัวเป็นวัวแก่อยากกินหญ้าอ่อน! หรือเพราะฉันไม่เคยสัมผัสหนุ่มๆ หน้าตาดีมาก่อน?”
ความรู้สึกอับอายวนเวียนอยู่ภายในใจของโจวจิ้ง ทั้งกังวลทั้งเป็นสุขปะปนกันไป ไม่ต่างจากเด็กที่แอบปีนรั้วเพื่อขโมยผลไม้ของเพื่อนบ้านกิน
ก่อนเข้านอนวันนี้เธอก็ไม่ได้จดไดอารี่ เพียงเขียนคำว่า‘เฉาเฟยไม่ใช่คนดี’ ลงไปเท่านั้น
ปิดเทอมที่แสนสั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว
การปิดเทอมฤดูหนาวของเด็กมัธยมปลายไม่ต่างจากวันหยุดปีใหม่ของพนักงานบริษัท–สั้นแต่มีค่ามาก
เธอยังคงไปอัดรายการ ‘สายลมในฤดูร้อน’ ดังเคย เพียงแต่วันนี้ไม่เหมือนกับทุกวัน
หลังจัดรายการเสร็จ โจวจิ้งถอดหูฟังแล้วเดินไปหาตู้เฟิง
เขายื่นซองค่าจ้างให้เธอ เมื่อเปิดดูก็ต้องประหลาดใจเพราะจำนวนของมันเยอะกว่าปกติ
“เธอทำงานดีมาก ถือว่าเป็นโบนัสแล้วกัน” ตู้เฟิงทำหน้าเศร้า “ไม่ทำแล้วจริงๆ เหรอ?”
“ไม่มีเวลาจริงๆ ค่ะ” เธอส่งยิ้มให้เขา “ครั้งแรกที่มาสมัครฉันยังไม่รู้ว่าต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย พอจัดตารางชีวิตได้ก็รู้ว่าคงไม่มีเวลาแน่นอน”
ตู้เฟิงพยักหน้าเข้าใจ “เรียนจบแล้วจะทำงานด้านนี้ไหม?” เขารินน้ำให้เธอแก้วหนึ่ง
โจวจิ้งเริ่มสังหรณ์ใจว่าอีกฝ่ายกำลังจะชวนเข้าวงการดนตรี แต่หากย้อนกลับไป เขาเป็นคนพูดกับเธอเองว่าไม่ควรทำให้วงการดนตรีต้องแปดเปื้อน
“ไม่ค่ะ” เธอตอบอย่างจริงจังเพราะรู้ดีว่าไม่ได้เกิดมาเพื่อสิ่งนี้
“แล้วอยากทำอะไรล่ะ?” ตู้เฟิงสงสัย “คุณดูต่างจากวันแรกที่เจอกันจนผมสับสนว่าจริงๆ แล้วคุณชอบอะไร”
เขารู้สึกสับสนเพราะวันที่มาสัมภาษณ์เธอยังเป็นเด็กสาวผมทองในเสื้อสายเดี่ยวอยู่เลย มาวันนี้กลับย้อมผมเป็นสีดำ แต่งกายเรียบร้อย บางครั้งก็ทำตัวเหมือนเด็กเนิร์ดด้วย
“ไม่รู้เหมือนกัน” เธอขำแห้ง
เธอยังไม่คิดเรื่องอนาคต เพราะสวรรค์เซอร์วิสอาจส่งเจ้าของร่างเดิมกลับมาวันไหนก็ได้
“ไม่ต้องรีบคิดหรอก”
ตู้เฟิงเองก็เถลไถลอยู่นานหลายปี กว่าจะเปลี่ยนจากเด็กหนุ่มดื้อรั้นมาเป็นคุณน้าใจดีที่กำลังนั่งปลอบโจวจิ้งอยู่
“ทุกอย่างจะลงตัวเมื่อถึงเวลาของมัน”
“ค่ะ” เธอตอบสั้นๆ “ฉันต้องไปแล้วเดี๋ยวรถเมล์หมด ไว้สอบเสร็จจะมาเยี่ยมนะคะ ถ้าวันไหนขาดคนก็บอกได้ ฉันจะช่วยจัดรายการให้”
โจวจิ้งไม่ได้อาลัยอาวรณ์รายการนี้ แต่เพราะตู้เฟิงเป็นเพื่อนเก่าของเธอเมื่อชาติที่แล้ว ถึงเจ้าตัวจะไม่รู้ แต่เธอก็รู้สึกดีที่ได้มีช่วงเวลาร่วมกับเขาอีกครั้ง
เธอตั้งใจจะอัดรายการนี้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนเปิดเทอม เพราะหากเปิดเทอมแล้วคงยุ่งกับการเตรียมตัวสอบจนไม่มีเวลาทำงาน
โจวจิ้งลงจากตึกแล้วไปที่ป้ายรถเมล์ แค่เพียงสองก้าวหยวนคังฉีก็เรียกเธอจากทางด้านหลัง
เมื่อหันไปมองก็พบว่าเขายืนถือกาแฟอยู่สองแก้ว คงซื้อมาจากร้านสะดวกซื้อแถวนั้น
หยวนคังฉีเดินเข้าไปหาเธอแล้วยื่นกาแฟให้แก้วหนึ่ง “มาทำอะไรแถวนี้?”
เขาไม่ได้สนใจคำตอบแต่กลับเงยหน้ามองตึกที่เธอเพิ่งจะเดินลงมา “เธอทำงานที่สายลมในฤดูร้อนเหรอ?”
โจวจิ้งเกือบสำลัก “รู้ได้ยังไง?”
“เดาเอา” เขายกยิ้มมุมปาก “คิดสภาพตอนเธอให้กำลังใจผู้ฟังทางบ้านไม่ออกเลย”
โจวจิ้งกลอกตามองบน “นายรู้ได้ยังไงบอกมา!”
“เจ้าอ้วนเป็นแฟนคลับของรายการนี้” หยวนคังฉียักไหล่ “ส่วนฉันฟังแวบเดียวก็รู้แล้ว”
“นายนี่เก่งจริงๆ” เธอชมหน้านิ่ง ไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย
“ที่ไม่ยอมบอกใคร มีเหตุผลอะไรหรือเปล่า?” เขาถามต่อ
“เหตุผลไม่มี ฉันแค่เป็นคนถ่อมตัว” เธอทำเสียงกระซิบกระซาบ “ว่าแต่อย่าไปบอกใครนะ”
“ทำไมล่ะ กลัวแฟนคลับตามไปที่บ้านเหรอ?”
“ยกย่องกันเกินไปแล้ว” โจวจิ้งโบกมือ “ฉันแค่กลัวคนอื่นจะรู้ว่าลาออกต่างหากล่ะ”
“หมายความว่ายังไง?”
“ใกล้สอบแล้วต้องเอาเวลาไปติวหนังสือ เหตุผลแค่นี้พอไหม?”
หยวนคังฉีพยักหน้าเห็นด้วย “ฉันแค่อยากเห็นเธอจัดรายการ อยากสมัครเป็นแฟนคลับบ้าง”
“ขอบคุณนะคะคุณแฟนคลับ” พูดจบก็โบกมือให้เขา “อากาศหนาวมากฉันต้องกลับบ้านแล้ว นายก็เหมือนกันนะ”
หยวนคังฉียิ้มตอบแล้วเดินตามโจวจิ้งไปที่ป้ายรถเมล์
“นายจะกลับรถเมล์เหรอ?” โจวจิ้งขมวดคิ้วถาม
“เปล่า”
“ไม่ต้องส่งฉันหรอก รีบกลับบ้านเถอะเดี๋ยวเป็นหวัด”
“ทำไมชอบทำลายบรรยากาศ?” หยวนคังฉีตัดพ้อ
“ฉันเป็นห่วงสุขภาพของนายต่างหากล่ะ!”
“ไม่อยากให้บอกก็จะไม่บอก แต่ให้ทำฟรีๆ มันก็ยังไงอยู่…” เขาทำหน้าเจ้าเล่ห์
“จะให้ทำอะไรก็ว่ามา?”
หยวนคังฉีล้วงบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วยัดใส่มือโจวจิ้ง “มะรืนนี้ว่างไหม?”
“หืม?”
“ไม่ว่างก็ต้องว่าง ถือว่าเป็นค่ารักษาความลับแล้วกัน”
ไม่ทันจะได้พูดอะไร รถเมล์สายที่รออยู่ก็มาถึงพอดี
หยวนคังฉีรีบดันเธอขึ้นรถโดยไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ
“มาให้ได้ล่ะ!”
รถเมล์แล่นออกไปไกล กระจกมองข้างไม่เห็นเงาของหยวนคังฉีแล้ว
โจวจิ้งก้มมองฝ่ามือแล้วก็พบกับบัตรคอนเสิร์ตใบหนึ่ง
สนามกีฬาเมือง H เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
แม้จะผ่านวันหยุดปีใหม่ไปแล้ว แต่ที่นี่ก็ยังคึกคักเพราะเป็นสถานที่จัดคอนเสิร์ตของนักร้องดัง ‘เติ้งซิน’
คนที่รออยู่ด้านนอกล้วนเป็นวัยรุ่นในชุดนักเรียน มีบ้างที่ใส่ชุดทำงาน
แม้อากาศจะหนาวเพียงใดถนนหน้าสนามกีฬาก็ยังแออัดจนไม่มีที่เดิน แถวหน้าห้องน้ำเริ่มยาวเหยียด ผู้คนติดสติกเกอร์บนใบหน้าและกำแท่งเรืองแสงไว้ในมือด้วยความตื่นเต้น
ตรงจุดตรวจบัตร เด็กหนุ่มร่างสูงหน้าตาดียืนเด่นเป็นสง่าท่ามกลางฝูงชน
ผ่านไปนานเขาก็ยังคงมีใบหน้ายิ้มแย้ม มือล้วงกระเป๋า ไม่มีทีท่าว่าจะไปต่อแถวเหมือนคนอื่นๆ
สาวๆ ที่ยืนสังเกตเขาเริ่มเกิดความสงสารจนอดวิจารณ์ไม่ได้
“โดนแฟนเทแน่เลย”
“หน้าตาดีขนาดนี้ยังถูกปล่อยให้รอ ใจร้ายจริงๆ”
“รอตั้งนานแต่ไม่โกรธเลย น่ารักดีจัง”
“พวกเธอว่าฉันเข้าไปขอเบอร์เขาดีไหม?”
จู่ๆ เด็กหนุ่มก็โบกมือให้เด็กสาวอีกคนที่กำลังวิ่งกระหืดกระหอบมาหา
“โทษที ฉันมาสายไปหน่อย”
เนื่องจากโจวเสี่ยวหยีงอแงจะตามมาด้วย โจวจิ้งเลยต้องอยู่ปลอบใจ
เจ้าตัวเล็กเริ่มติดเธอตั้งแต่ช่วงปีใหม่ กว่าป้าเฉินจะมารับช่วงก็ผ่านไปเป็นชั่วโมงจนเธอเกือบจะมาดูคอนเสิร์ตไม่ทัน
“ไม่เป็นไร” หยวนคังฉียิ้มตอบ “เข้าไปข้างในกันเถอะ”
ระหว่างต่อแถวเข้างาน หยวนคังฉีก็พูดขึ้นว่า “คิดว่าจะไม่มาซะแล้ว”
“บัตรคอนเสิร์ตของเติ้งซินหายาก ไม่มาคงเสียดายแย่ อีกอย่างนายกุมความลับของฉันอยู่ จะไม่มาได้ยังไง”
“ฉันมันน่ารังเกียจมากเลยเหรอ?” หยวนคังฉีทำหน้าน่าสงสาร
ประโยคนี้ทำสาวๆ รอบตัวเขาจ้องโจวจิ้งอย่างโกรธแค้นราวกับกำลังทำบาปหนักอยู่
โจวจิ้งขนลุกไปทั้งตัวเมื่อเจอสายตาเหล่านั้น “ไม่นะ ฉัน… ฉันอยากอยู่กับนายที่สุดเลย! ว่าแต่เฮ่อซวินไม่มาด้วยเหรอ?”
หยวนคังฉีนิ่งไปพักหนึ่งแล้วจึงตอบกลับ “ฉันไม่ได้ชวน”
“คนอย่างเขาไม่น่าชอบที่แออัด เพลงก็ไม่ฟัง นอกจากเล่นบาสเกตบอลก็ไม่เห็นทำกิจกรรมอย่างอื่นเลย” เธอออกความเห็น
ขณะเข้าแถวตรวจบัตร โจวจิ้งถูกชายผมหยิกที่แบกเป้ขนาดใหญ่บนหลังชนจนเกือบล้ม ดีที่หยวนคังฉีคว้าตัวเธอเข้ามากอดได้ทัน
พอรู้ตัวชายผมหยิกก็หันมาขอโทษ โจวจิ้งส่ายหน้าเพื่อบอกเขาว่าเธอไม่เป็นอะไร ก่อนจะค่อยๆ ขยับออกจากอ้อมกอดของหยวนคังฉี
“ขอบใจมากนะ”
“ระวังตัวหน่อย” เขายิ้มตอบ
วันนี้หยวนคังฉีทำตัวแปลกๆ จนโจวจิ้งรู้สึกได้ แม้ภายนอกจะดูไม่แตกต่าง แต่สีหน้าท่าทางกลับเปลี่ยนไปจนผิดสังเกต
คอนเสิร์ตของเติ้งซินดังมาก บัตรขายหมดเกลี้ยงตั้งแต่วันแรก ทว่าโจวจิ้งกลับไม่รู้สึกตื่นเต้นเพราะนักร้องคนนี้ดังแค่ในหมู่วัยรุ่นเท่านั้น
เติ้งซินเชิญแขกพิเศษขึ้นบนเวที พวกเขาคือคู่รักหนุ่มหล่อสาวสวยที่เก่งทั้งการแสดงและดนตรี คอนเสิร์ตจึงคึกคักขึ้นกว่าเดิมมาก
ทั้งคู่ร้องเพลงรักโดยมีแฟนๆ ที่ด้านล่างช่วยประสานเสียง หลายคนในงานเริ่มโอบกอด จูบ และโทรหากัน ไม่นานบรรยากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของความรัก
โจวจิ้งนั่งมองด้วยความอึดอัด เธอค่อนข้างหัวโบราณเพราะสมัยที่เป็นวัยรุ่นแทบไม่มีใครกล้าแสดงออกทางความรักแบบนี้
จู่ๆ หยวนคังฉีก็หันมองเธอท่ามกลางแสงสะท้อนของสปอตไลต์ในคอนเสิร์ต “ชอบฉันไหม?”
“ฮะ!” โจวจิ้งทำตาโต ก่อนจะตอบอย่างมีสติ “นายเก่งรอบด้านขนาดนี้ ใครบ้างจะไม่ชอบ”
หยวนคังฉีเบือนหน้าไปทางอื่น สักพักจึงหันมาถามต่อ “แล้วชอบเฮ่อซวินหรือเปล่า?”
“ใครจะไปชอบ นิสัยไม่ดีแถมชอบทำหน้าเหมือนปวดอึตลอด!”
หยวนคังฉีหัวเราะชอบใจ “ผู้หญิงชอบปากกับใจไม่ตรงกัน บอกว่าชอบแสดงว่าไม่ชอบ บอกว่าไม่ชอบแสดงว่าชอบ”
ได้ยินประโยคนี้โจวจิ้งก็ถึงกับไปไม่เป็น
“ฉันชอบเธอนะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ไม่เจ้าเล่ห์และขี้เล่นเหมือนที่ผ่านมา
โจวจิ้งคิดจะปฏิเสธไปตรงๆ เพราะดีกว่าการโทรบอกทีหลัง แต่แววตาของหยวนคังฉีกลับทำให้พูดไม่ออก
พอเธอนิ่งเงียบ หยวนคังฉีก็หัวเราะกลบเกลื่อน “พูดอะไรบ้างสิ แกล้งทำเป็นไม่ได้ยินมันเจ็บนะ”
“ฉัน…”
“ไม่ต้องพูดแล้ว อย่างที่เธอเคยบอก ฉันเป็นคนดีจะขาดแคลนความรักได้ยังไง” เขาเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “ฉันก็แค่… ชอบเธอนิดนึง” เขายกนิ้วโป้งและนิ้วชี้ขึ้นทำท่าเล็กนิดเดียวให้เธอดู “อย่าคิดมากนะ ฉันชอบคนไปทั่วแหละ ทั้งโรงเรียนก็ประมาณสิบแปดคนได้”
เธอรู้ดีว่าเขากำลังโม้ ถึงจะชอบหยอดไปทั่ว แต่สิบแปดคนก็ดูเกินจริงไปหน่อย