หัวโจก - ตอนที่ 46.ทำไมถึงเก็บไว้ล่ะ?
“ทำไมใครๆ ก็ชอบเจ้าเฮ่อซวิน ทั้งเย็นชาทั้งขี้หงุดหงิด หน้าตาก็งั้นๆ สู้ฉันก็ไม่ได้!” หยวนคังฉีบ่น
ถึงจะจริงอย่างที่เขาพูด โจวจิ้งก็ไม่คิดจะออกความเห็น
เธอแค่อยากมานั่งฟังเพลง ไม่คิดว่าจะถูกสารภาพรักแบบนี้
แม้หยวนคังฉีจะเป็นมิตรกับเธอมากทั้งที่ไม่มีอะไรน่าดึงดูดแต่เธอก็ไม่เคยคิดลึกซึ้งด้วย แค่คนรอบข้างไม่เกลียดหรือหมั่นไส้เธอก็บุญแล้ว
กว่าคอนเสิร์ตจะเลิกก็เกือบเที่ยงคืน หยวนคังฉีจึงเสนอที่จะไปส่ง แต่โจวจิ้งปฏิเสธ
ระหว่างรอสัญญาณไฟเขียวเพื่อข้ามถนน เธอก้มหน้าดูทางม้าลาย ในหัวคิดแต่เรื่องที่ต้องทำหลังเปิดเทอม
โดยไม่ทันตั้งตัว หยวนคังฉีโอบไหล่เธอจากทางด้านหลังพร้อมโบกมือเรียกเฮ่อซวินที่กำลังเดินข้ามถนนมา
จู่ๆ ลมหนาวก็พัดแรงขึ้นจนโจวจิ้งขนลุกไปทั้งตัว
โจวจิ้งรู้สึกเหมือนถูกสวรรค์กลั่นแกล้ง มีแต่เรื่องร้ายๆ เข้ามาในชีวิตตลอด โดยเฉพาะตอนนี้
เฮ่อซวินหยุดยืนตรงหน้าเธอ เพ่งมองมือของหยวนคังฉีที่กำลังโอบอยู่ด้วยสายตาพิฆาต
หยวนคังฉีรีบยกมือออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น “รอตั้งนานกว่าจะโผล่มา”
“นายชอบดูคอนเสิร์ตเหมือนกันเหรอ?” โจวจิ้งถามต่อ
“เขามาติวหนังสือให้ลูกพี่ลูกน้องแถวนี้” หยวนคังฉีพูดแทรก “เห็นว่าบ้านใกล้กัน ฉันเลยวานให้เขาไปส่งเธอ เอาเป็นว่าเจอกันตอนเปิดเทอมนะ”
หยวนคังฉีโบกมือลาแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้โจวจิ้งยืนตัวแข็งทื่อ
เฮ่อซวินเดินนำหน้าโดยไม่พูดอะไร เมื่อไม่มีแท็กซี่เหลือแม้แต่คันเดียว พวกเขาจึงเดินกลับบ้านที่เขตหนานซินซึ่งไม่ไกลจากตัวเมืองมากนัก
โจวจิ้งกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามเฮ่อซวินที่เดินเร็วเป็นพิเศษ ยิ่งอีกฝ่ายอารมณ์ไม่ดี เธอก็ยิ่งไม่กล้าทิ้งระยะห่าง จนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด แค่ออกมาดูคอนเสิร์ตกับหยวนคังฉีเฉยๆ ไม่เห็นต้องโกรธขนาดนี้เลย
โจวจิ้งเริ่มหิวน้ำเพราะเดินไกล เมื่อเหลือบไปเห็นร้านชานมข้างทางจึงเอ่ยปากชวนเฮ่อซวิน “กินชานมกันดีกว่า”
เธอเดินไปสั่งชานมร้อนสองแก้ว เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเฮ่อซวินไม่กินหวานจึงพูดย้ำอีกครั้ง “หวานน้อยนะคะ”
ในร้านค่อนข้างแคบ มีที่นั่งไม่มาก กำแพงทาด้วยสีชมพูอ่อน กลิ่นหอมของชาและนมลอยฟุ้งไปทั่ว
โจวจิ้งนั่งรอจนเบื่อ กระทั่งเจ้าของร้านยกชานมร้อนมาเสิร์ฟก็เริ่มยิ้มออก
เธอล้วงกระเป๋าเพื่อหยิบเงิน แต่เฮ่อซวินกลับวางกระเป๋าสตางค์ของตัวเองลงบนโต๊ะแล้วเดินถือชานมออกจากร้านไป
เมื่อเปิดกระเป๋าสตางค์ของเขาออก บัตร ‘สตาร์แลนด์’สวนสนุกที่เคยไปเที่ยวด้วยกันก็ร่วงลงพื้น
โจวจิ้งไม่ใช่คนชอบสะสมบัตรผ่านประตูจึงมองว่าพวกมันไม่มีค่า แต่ของเฮ่อซวินยังคงใหม่เอี่ยม ราวกับถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี
เธอเก็บบัตรเข้าที่เดิม หยิบชานมแล้วเดินไปหาเฮ่อซวินที่หน้าร้าน
“มัวทำอะไรอยู่?” เขาชักสีหน้า
“เปล่า แค่คิดว่านายอาจไม่ชอบกินชา…”
ไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ เฮ่อซวินก็สาวเท้าเดินหนีไป
เธอวิ่งตามเขาไปเงียบๆ ใบหน้าถูกลมตีจนเริ่มเจ็บ ดีที่ชานมอุ่นๆ ในมือช่วยบรรเทาความหนาวให้ แสงไฟบนถนนช่วยส่องทางให้พวกเขา แม้จะไม่ได้พูดคุยกัน แต่โจวจิ้งก็รู้สึกสงบและมีความสุขมากกว่าตอนที่อยู่ในคอนเสิร์ต
เป็นเด็กวัยรุ่นก็ดีแบบนี้ แค่ห่วงเรื่องคะแนนสอบและอนาคตหลังเรียนจบ นอกนั้นแทบไม่ต้องกังวลอะไร
ถนนทั้งสายเงียบสงัด มีเพียงเสียงของรองเท้าที่กระทบพื้นหิมะเท่านั้น
เดินสองคนยังไงก็ดีกว่าเดินคนเดียว…
ก่อนถึงคอนโด เฮ่อซวินดื่มชานมจนหมดแล้วหันไปทวงกระเป๋าสตางค์กับโจวจิ้ง ซึ่งเธอก็คืนให้โดยดี
“ขอบคุณที่เลี้ยงน้ำนะ” เธอควักเงินออกจากกระเป๋าแล้วส่งคืน
เฮ่อซวินยังคงมีสีหน้าไม่พอใจ แม้จะชอบทำหน้านิ่ง แต่เซนส์ของผู้หญิงก็แรงพอที่จะสัมผัสได้ว่าเขากำลังโกรธอยู่
“ฉันเห็นบัตรสตาร์แลนด์ที่เคยไปเที่ยวด้วยกันในกระเป๋าสตางค์ของนาย ทำไมถึงเก็บไว้ล่ะ?”
เฮ่อซวินรีบปฏิเสธ “ไม่มีอะไร”
“นึกว่าเก็บเพราะฉันเสียอีก”
เมื่อรู้ตัวว่าพูดสิ่งที่ไม่สมควรออกไป โจวจิ้งก็แทบตบปากตัวเอง ถึงอยากจะวิ่งหนีก็คงไม่ทันแล้ว
เธอไม่เคยนึกชอบคนที่เด็กกว่า แต่กลับพ่ายแพ้ให้เขาทุกครั้ง หรือจะเป็นเพราะฮอร์โมนวัยรุ่นที่พลุ่งพล่าน
โจวจิ้งใจเต้นรัว พยายามทำหน้านิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่เมื่อสบตากับเฮ่อซวินก็เกิดอาการขาสั่นจนแทบล้ม
“อืม” เขาตอบเสียงเรียบ
อืมอะไร? เก็บบัตรไว้เพราะฉันเหรอ? ยอมรับง่ายๆ แบบนี้เลย?
จู่ๆ เฮ่อซวินก็ขยับเข้าใกล้เธอจนหลังชิดกำแพง
เขายืนนิ่งอยู่แบบนั้น มือหนึ่งดึงสายสะพายเป้ อีกมือล้วงกระเป๋ากางเกง กดใบหน้าลงต่ำจนอยู่ระดับเดียวกับโจวจิ้ง
ใบหน้าของเฮ่อซวินชวนหลงใหลอย่างมาก ขนาดอยู่มัธยมปลายยังหล่อขนาดนี้ ต่อไปต้องได้เป็นดาราแน่นอน
โจวจิ้งใจเต้นราวกับจะทะลุออกมา เธอไม่เคยถูกผู้ชายทำแบบนี้ใส่มาก่อน จึงหลับตาปี๋แล้วตะโกนขึ้นว่า “ฉัน… ฉันปวดฉี่!”
พอลืมตาก็พบว่าเฮ่อซวินกำลังปิดปากหัวเราะอยู่
“รีบไปสิ ปวดฉี่ไม่ใช่เหรอ?”
แม้จะรู้สึกอายแต่เธอก็ดีใจที่เขาอารมณ์ดีขึ้น
“งั้น… ฉันไปก่อนนะ” โจวจิ้งวิ่งเข้าคอนโดโดยไม่หันกลับไปมองอีก
โจวเสี่ยวหยีตื่นมาเข้าห้องน้ำพอดี พอเห็นพี่สาวกระหืดกระหอบกลับเข้าบ้านจึงงัวเงียถาม
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
“หมายถึงอะไร?” โจวจิ้งถามกลับ
“ภูมิแพ้กำเริบอีกแล้วเหรอ?” โจวเสี่ยวหยีถามต่อ
เห็นอีกฝ่ายทำหน้าตกใจเธอก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไปส่องกระจก
หน้าของโจวจิ้งแดงก่ำ ผิวที่ขาวอยู่แล้วช่วยขับให้ผื่นภูมิแพ้ชัดขึ้นไปอีก
เธอโทษตัวเองที่ใจบางเกินไป เพราะเฮ่อซวินต้องการเตือนเรื่องผื่นบนหน้าเท่านั้น
หลังแปรงฟันอาบน้ำเสร็จ โจวจิ้งก็นั่งเหม่ออยู่บนเตียง
ตามหลักแล้ว เขาควรสารภาพรักหลังยอมรับว่าเก็บบัตรไว้เพราะเธอ แต่กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและปล่อยเธอเข้าบ้านอย่างง่ายดาย
นี่เขาตั้งใจจะแกล้งหรือไม่ได้คิดอะไรเลยกันแน่?
ยวู่เต๋อกลับมาเปิดเทอมอีกครั้งหลังวันหยุดปีใหม่
เพียงวันแรกนักเรียนก็ต้องทำแบบทดสอบเพื่อเตรียมตัวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยแล้ว
บรรยากาศทั่วทั้งตึกเต็มไปด้วยด้วยความเครียดและกดดัน โจวจิ้งก้มหน้าก้มตาทำแบบฝึกหัดโดยมีเฮ่อซวินคอยส่งชีตติวของตัวเองให้
ด้านบนเขาขีดไฮไลต์ในส่วนที่สำคัญ ส่วนด้านล่างก็จดด้วยลายมือที่สวยและหนักแน่นเหมือนเจ้าของ
เฮ่อซวินไม่ได้สอนอะไรมากเพราะโจวจิ้งปรับตัวเข้ากับห้องกิฟต์ได้ประมาณหนึ่งแล้ว แค่ให้เธออ่านชีตติวที่เขาเขียนขึ้น ไม่ก็สอนโจทย์เลขเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น
เขาเป็นคนไม่ชอบพูดเยอะ เวลาที่เธอทำโจทย์ไม่ได้ก็จะเขียนวิธีทำลงในเศษกระดาษแล้วยื่นให้ ยิ่งทั้งคู่ฉลาดอยู่แล้ว แค่อ่านก็เข้าใจวิธีนี้จึงประหยัดเวลาอย่างมาก
หลังส่งชีตของตัวเองให้เรียบร้อย เฮ่อซวินก็หันไปอ่านหนังสือโดยไม่สนใจโจวจิ้งอีก
เขาทำตัวปกติมากจนเธอเริ่มสับสน ทั้งที่คืนนั้นรู้สึกได้ถึงความพิเศษแต่กลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หรือเพราะเธอห่างหายจากชีวิตวัยรุ่นมานานจึงไม่เข้าใจอุบายของเด็กวัยนี้
หยวนคังฉีที่นั่งอยู่ด้านหลังเตะเก้าอี้โจวจิ้งเบาๆ “ทะเลาะกันเหรอ?” แล้วก็ทำหน้าตื่นเต้นราวกับกำลังดูละครหลังข่าวอยู่
หยวนคังฉีที่สารภาพรักกับเธอวันก่อนก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน ยังคงเล่นและคลุกคลีด้วยเหมือนเดิม
จู่ๆ ประตูห้องเรียนก็ถูกเปิดออก อาจารย์ฉีเดินถือแก้วน้ำชาเข้ามาแล้วพูดกับนักเรียนชายสี่คนที่หน้าห้อง “ช่วยไปเอาหนังสือในห้องพักครูมาแจกเพื่อนๆ ที”
เพียงไม่นานพวกเขาก็อุ้มหนังสือที่รวบรวมรายละเอียดของแต่ละคณะเข้ามาในห้อง
ใกล้สอบเอ็นทรานซ์แล้ว หลายมหาวิทยาลัยเริ่มเปิดรับสมัครนักเรียน คนที่จะไปเรียนต่อต่างประเทศก็ต้องเตรียมตัวแล้วเช่นกัน โดยเฉพาะการเลือกคณะ
เมื่อทุกคนได้รับหนังสือแล้ว อาจารย์ฉีก็เริ่มอธิบาย “ว่างๆ ก็ลองเปิดดู พยายามเลือกคณะที่เหมาะกับตัวเองมากที่สุด”
โจวจิ้งพลิกหน้าหนังสือไปมา แววตาเหม่อลอย
หนังสือเล่มนี้เพิ่งจะตีพิมพ์เสร็จ หมึกยังไม่แห้งดี ลองเอานิ้วลูบก็ยังมีน้ำหมึกสีดำติดนิ้วออกมา ด้านในเต็มไปด้วยรายชื่อคณะและมหาวิทยาลัยต่างๆ
เด็กห้องกิฟต์ตื่นตาตื่นใจกันมาก พลิกหน้าหนังสือดูอย่างตั้งอกตั้งใจเพราะเป็นครั้งแรกที่จะได้เลือกอนาคตเอง ยกเว้นโจวจิ้งที่เคยผ่านเรื่องนี้มาแล้ว
หนังสือถูกแบ่งออกเป็นสองตอน ตอนแรกเป็นของเด็กสายศิลป์ ตอนหลังเป็นของเด็กสายวิทย์ ซึ่งเธอต้องการเลือกมากกว่าเพราะเคยผ่านการเป็นเด็กสายศิลป์มาแล้ว
“อยากเรียนคณะอะไร?” หยวนคังฉีถาม
“ต้องลองสอบก่อน พอรู้คะแนนจะได้เลือกถูก” โจวจิ้งตอบ
“ชอบแบบไหนก็เลือกแบบนั้น ไม่เห็นยาก”
สมัยที่ต้องยื่นเรื่องเข้ามหาวิทยาลัย เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะเลือกสิ่งที่ชอบเพราะต้องทำตามความต้องการของครอบครัว คำนึงถึงปากท้องเป็นหลัก สำคัญคือต้องหางานง่ายจะได้ลดภาระของที่บ้าน
เมื่อเป็นเช่นนี้ โจวจิ้งจึงไม่ชอบงานที่ตัวเองทำเท่าไหร่ พอมีโอกาสได้เลือกคณะที่ชอบจึงอยากทำตามความฝันของตัวเองบ้าง
เธอส่ายหน้าแรงๆ แล้วกำหมัดด้วยความมุ่งมั่น “เป็นไงเป็นกัน!”
“จริงจังขนาดนั้นเลย? อย่าบอกนะว่า…” หยวนคังฉีกระซิบที่ข้างหู
“อย่าบอกนะว่าอะไร?” โจวจิ้งถามกลับ
“จำคำพูดของตัวเองไม่ได้เหรอ?”
โจวจิ้งเดาว่าน่าจะเป็นคำพูดของเจ้าของร่างเดิม จึงไม่ถามต่อเพราะไม่อยากรื้อฟื้น