หัวโจก - ตอนที่ 48.หย่า?
“ฉันชนะ!” หยวนคังฉีพูดย้ำ ก่อนจะพึมพำเสียงเบา “แต่เธอไม่ใช่รางวัล!”
โจวจิ้งไม่ใช่ของรางวัลจากการแข่งขัน เพราะความรักตัดสินไม่ได้ด้วยการแพ้ชนะ คนที่ได้คะแนนมากกว่าอาจไม่ใช่คนที่ได้ใจไป หากเทียบกับการทำข้อสอบ หยวนคังฉีคือคนที่พยายามสอบให้ได้ที่หนึ่งแต่ดันตีโจทย์ไม่แตก
คงไม่มีใครเชื่อว่าโจวจิ้งคือรักแรกของเขา แต่ทุกอย่างกลับสายเกินไป
คนเราเกิดมาต้องเคยอกหักสักครั้ง แม้จะอยากเอาชนะหรือทุกข์ใจเพียงใดก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้
หยวนคังฉีลุกขึ้นยืนแล้วหันไปย้ำกับเฮ่อซวินว่า “จำไว้ คืนนี้นายแพ้ฉัน!”
“อืม” เฮ่อซวินทำหน้าไร้อารมณ์
เขาเคยคิดจะแย่งโจวจิ้งมาเป็นของตน สุดท้ายก็ทำได้แค่ปล่อยวาง
“กลับกันเถอะ” เฮ่อซวินชวน
หยวนคังฉียักคิ้วแล้วเดินถือลูกบาสเกตบอลตามหลังเพื่อนรักไป
“วันนี้โคตรสนุกเลย ไว้มาเล่นกันใหม่นะ”
วันเวลาผ่านไปเร็วจนน่าตกใจ ทุกวันจึงมีค่ามากสำหรับเด็กมัธยมปลาย
หน้าที่ของครูในแต่ละภาควิชาคือการแจกข้อสอบ คิดโจทย์ และสอนทำโจทย์ ไม่เพียงแค่เด็กห้องกิฟต์ที่เคร่งเครียด เด็กห้องธรรมดาก็ไม่แพ้กัน
โจวจิ้งจริงจังกับการเรียนมาก เข้มงวดกับการเตรียมตัวสอบทุกครั้ง แม้จะอยู่ในร่างของคนอื่นก็ยังจริงจังเหมือนเดิม
ท่ามกลางบรรยากาศการเตรียมสอบที่เคร่งเครียด โจวฉีเทียนและเถาจิงไม่เคยสนใจไถ่ถามเรื่องนี้กับลูกๆ เลย ขนาดเสาร์อาทิตย์พวกเขายังได้เจอพ่อกับแม่แค่แวบเดียว
เธอไม่คุ้นเคยกับความสัมพันธ์แบบนี้เท่าไหร่ โดยทั่วไปผู้ปกครองจะห่วงบุตรหลานเป็นพิเศษในช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย แต่ไม่ใช่กับครอบครัวนี้ ขนาดประชุมผู้ปกครองของโจวเสี่ยวหยีก็ยังไม่มีใครไป
ทุกวันศุกร์โจวจิ้งจะกลับบ้านกับเฮ่อซวิน แต่จู่ๆ เขาก็ถูกอาจารย์ฉีเรียกไปคุย เธอจึงต้องไปยืนรอที่หน้าห้องพักครู
ขณะยืนรอ เธอรับสายของโจวเสี่ยวหยีที่โทรเข้ามาด้วยน้ำเสียงร้อนรนตื่นตระหนก จึงต้องทิ้งเฮ่อซวินแล้วรีบกลับบ้าน
“ดำสลวย ที่บ้านเกิดเรื่องรีบกลับมาเร็ว!”
“อะไรนะ?”
“เสี่ยวจิ้ง คุณผู้ชายกับคุณนายมีเรื่องกันค่ะ!” เสียงโวยวายของป้าเฉินดังลอดเข้ามาในโทรศัพท์
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”
“ทะเลาะกัน… ถึงขั้นจะหย่าแล้ว!” ป้าเฉินตอบ
“ใครเป็นคนพูดเรื่องหย่า?” เธอถามต่อ
“คุณผู้ชายค่ะ แต่รายละเอียดป้าไม่ค่อยรู้เท่าไหร่”
“เดี๋ยวเจอกันค่ะ”
หลังส่งข้อความบอกเฮ่อซวิน โจวจิ้งก็โบกแท็กซี่หน้าโรงเรียนเพื่อกลับบ้าน
ความสัมพันธ์ของครอบครัวนี้แปลกตั้งแต่แรกแล้ว แต่เธอไม่กล้าถามเยอะเพราะกลัวผิดสังเกต อีกทั้งโจวฉีเทียนและเถาจิงก็แสดงความรักต่อกันตลอด ไม่มีวี่แววว่าจะหย่ากันเลย
แม้โจวฉีเทียนจะเป็นพ่อที่ไม่ผ่านเกณฑ์ แต่หน้าที่ของสามีกลับทำได้ดี หรือเขาจะเป็นอย่างซูเจียงไห่ที่ซุกเมียน้อยไว้นอกบ้าน
จากมุมมองของผู้หญิงด้วยกัน เถาจิงเสียสละมากกว่าโจวจิ้งด้วยซ้ำ สมองของโจวฉีเทียนต้องถูกกระทบกระเทือนอย่างแน่นอนหากคิดจะทิ้งคู่ชีวิตคนนี้
เธอยังคงคิดฟุ้งซ่านตลอดทางกลับบ้าน หลังลงจากรถได้ก็รีบวิ่งเข้าไปในคอนโด
ทันทีที่เปิดประตูบ้าน เสียงโวยวายของเถาจิงก็ดังลงมาจากชั้นสอง
“ฉันไม่หย่า ให้ตายก็ไม่หย่าเด็ดขาด!”
ป้าเฉินที่ยืนกุมมือโจวเสี่ยวหยีอยู่หันมาส่ายหน้าให้เธอ ราวกับต้องการจะบอกว่าสถานการณ์ตรงหน้าเลวร้ายเกินจะแก้ไขแล้ว
การกลับมาของโจวจิ้งไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น เพราะเธอไม่ใช่ครูแนะแนวที่จะคอยไกล่เกลี่ยเวลาเด็กๆ มีปัญหากัน
ความสัมพันธ์เชิงลึกของสามีภรรยาคู่นี้เป็นอย่างไร เธอเองก็ไม่เคยรู้ แล้วจะเอาอะไรมาช่วย
เสียงโวยวายของเถาจิงดังขึ้นอีกครั้ง “คุณต้องการอะไรกันแน่?”
ที่ผ่านมา เถาจิงมักจะแสดงความหยิ่งทะนง ไม่เคยให้เห็นความอ่อนแอหรือควบคุมตัวเองไม่ได้แบบนี้มาก่อน ผิดกับโจวฉีเทียนที่เย็นชาราวกับเป็นคนละคน
“ผมจะให้เงินคุณก้อนหนึ่งแล้วจบกันแค่นี้!”
“เงินงั้นเหรอ?” เสียงของเถาจิงสั่นเครือ “คิดว่าที่ฉันแต่งงานกับคุณก็เพราะเงินงั้นสิ?”
“แล้วไม่ใช่เหรอ?”
ประโยคนี้ของโจวฉีเทียนเต็มไปด้วยความดูหมิ่นเสียดแทง อย่าว่าแต่คนใจบางอย่างเถาจิง ตัวเธอเองก็คงรับไม่ได้เหมือนกัน
ความผิดปกตินี้ทำโจวจิ้งประหลาดใจไม่น้อย แม้จะใช้ชีวิตร่วมกับโจวฉีเทียนได้ไม่นาน แต่ที่ผ่านมาเขาดูเป็นคนใจเย็นมาก ทำแบบนี้ไม่ต่างจากการเอ่ยปากไล่
โจวจิ้งเริ่มสับสน รู้สึกเหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือฉากหนึ่งในละครหลังข่าว
เธอเดาว่าโจวฉีเทียนมีโรคประจำตัวที่ทำให้มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน จึงหาเรื่องขับไล่อีกฝ่ายเพื่อจะได้ไม่ต้องลำบากหรือทุกข์ระทมไปกับเขาเหมือนในละคร
ดูเหมือนสันนิษฐานนี้จะเป็นไปได้น้อยมาก…
หลังเสียงทะเลาะเงียบลง เถาจิงก็พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ฉีเทียน ฉันรู้ว่าคุณไม่ได้คิดแบบนั้น มีเรื่องอะไรทำไมไม่ปรึกษากัน ฉันเป็นภรรยาของคุณนะ”
คนส่วนใหญ่เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้มักพ่ายแพ้ให้กับอารมณ์จนตัดสินใจผิดพลาด แต่เถาจิงกลับตั้งสติได้ ซึ่งบ่งบอกว่าความรักของทั้งคู่ลึกซึ้งกว่าที่คนภายนอกมองเห็น
ขณะครุ่นคิดหาสาเหตุ เธอรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ด้านหลัง พอหันไปมองก็พบกับเถาม่านที่ยืนดวงตาแดงก่ำ
เถาม่านจ้องประตูห้องที่ปิดสนิทสลับกับมองโจวจิ้งด้วยแววตาเคียดแค้นราวกับเพิ่งถูกเธอฆ่ายกตระกูลมา
ยังไม่ทันได้อธิบาย เถาม่านก็เดินกระแทกเท้าหนีขึ้นชั้นสองพร้อมกับตะโกนลั่นบ้าน
“ตาสว่างได้แล้ว เขาไม่เคยมองว่าแม่เป็นเมียสักครั้ง! มีเงินแล้วจะทำไม อยากหย่าก็หย่าเลย! พอมีสาวๆ เข้าหาก็คิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้า ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นอย่างที่คุณคิดนะ!”
โจวจิ้งแทบจะเป็นลม สำคัญที่สุดในตอนนี้คือให้สองสามีภรรยาได้ปรับความเข้าใจกัน เมื่อครู่เถาจิงอุตส่าห์ใจเย็นลงแล้ว ทุกอย่างกำลังจะไปได้ดี แต่เถาม่านกลับทำเสียเรื่อง
“ม่านม่าน…” เถาจิงเรียกลูกสาว
“เขาทิ้งแม่แล้วจะอยู่ต่อทำไม? ไม่มีเขาใช่ว่าชีวิตเราจะไปต่อไม่ได้ เมื่อก่อนก็มีกันแค่สองคนแม่ลูกไม่ใช่เหรอ?”
เถาม่านเดินน้ำตาไหลพรากไปจูงมือเถาจิง ก่อนออกจากบ้านก็ยังหันไปตวาดใส่โจวจิ้งอีก
“ไม่ต้องห่วง เราสองแม่ลูกจะไม่กลับมาเหยียบที่นี่อีก พวกเราไม่ได้ใฝ่ต่ำขนาดนั้น!” พูดจบก็ลากแม่ของตัวเองออกนอกประตูไป ตามด้วยเสียงร้องไห้โฮของโจวเสี่ยวหยี
ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลย!—โจวจิ้งคิดในใจ
ป้าเฉินรีบเข้าไปปลอบใจเจ้าตัวเล็ก โจวจิ้งจึงตัดสินใจถามเรื่องทั้งหมดกับเธอ
“เกิดอะไรขึ้นคะ?”
ป้าเฉินถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ช่วงนี้คุณผู้ชายเปลี่ยนไปมาก ไม่ค่อยพาคุณนายไปไหนมาไหนด้วย พอกลับเข้าบ้านก็ทะเลาะกันคุณผู้ชายก็เลยขอหย่า”
“เขามีชู้เหรอ?” โจวจิ้งถามแบบไม่อ้อมค้อม
“ไม่น่าเป็นไปได้” ป้าเฉินส่ายหน้า “คุณผู้ชายไม่ใช่คนแบบนั้น”
“พาเสี่ยวหยีไปกินข้าวเถอะ” โจวจิ้งหันมองน้องชายที่กำลังสะอึกสะอื้นด้วยความสงสาร น่าจะเพิ่งเคยเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันเป็นครั้งแรก
ป้าเฉินพยักหน้า “ฝากดูคุณผู้ชายด้วยนะคะ”
โจวจิ้งพยักหน้าแล้วเดินไปหาโจวฉีเทียนในห้องนอนแต่ไม่พบ
ในนั้นกลิ่นบุหรี่คละคลุ้ง เศษของก้นบุหรี่เกลื่อนเต็มที่เขี่ยบุหรี่ ทำให้เธอรู้ว่าเขาน่าจะเครียดมาก
เมื่อหันหลังเตรียมจะเดินออก โจวจิ้งเหลือบไปเห็นผ้าม่านที่ถูกลมจากนอกระเบียงพัดจนปลิวไสว พอเดินไปดูก็พบว่าโจวฉีเทียนยืนสูบบุหรี่อยู่
ดวงตาเหม่อลอยของเขาจ้องท้องฟ้านิ่งค้าง ควันจากบุหรี่โขมงจนเธอมองหน้าอีกฝ่ายไม่ชัด เห็นเพียงความเหนื่อยล้าบนใบหน้าเท่านั้น
จำได้ว่าตอนเจอกันครั้งแรกเขาดูสง่าและน่าเกรงขาม ต่างจากคนตรงหน้าที่ทั้งเครียดและอ่อนล้า โจวจิ้งรู้สึกย่ำแย่อย่างบอกไม่ถูก อาจไม่ถึงกับสงสารแต่เพราะความเกี่ยวพันทางสายเลือดของร่างนี้มากกว่า ต่อให้วิญญาณเปลี่ยน แต่หลายๆ อย่างยังคงรู้สึกและสัมผัสได้ตามสัญชาตญาณของมนุษย์
เธออยากเดินเข้าไปหาโจวฉีเทียน ถามเขาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ดันได้รับข้อความจากเฮ่อซวินเสียก่อน
“ลงมา” เขาพิมพ์สั้นๆ
เธอตกใจเล็กน้อยแล้วรีบเดินออกจากห้องของโจวฉีเทียน
เมื่อมองลงไปจากหน้าต่าง ก็เห็นเฮ่อซวินยืนสะพายกระเป๋ารออยู่ใต้เสาไฟแล้ว
โจวจิ้งถอนหายใจด้วยความโล่งอก เพราะเขามักจะโผล่มาทุกครั้งที่เธอมีปัญหา
หรือเด็กหนุ่มคนนี้จะเป็นหนึ่งในโพรโมชันเสริมของสวรรค์เซอร์วิส รางวัลชิ้นโตนี้อาจแลกด้วยแต้มบุญที่เธอเคยสะสมไว้เมื่อชาติที่แล้ว
หากเป็นโพรโมชันเสริมอย่างที่คิดจริงๆ เธอก็จะขอใช้แบบอันลิมิเต็ดไปเลย!
เฮ่อซวินยังคงยืนรออยู่ใต้แสงไฟ
โจวจิ้งสวมเสื้อกันหนาวลวกๆ แล้วลงไปหาเขา “มาทำอะไรที่นี่?”
“เกิดอะไรขึ้น?” เขาถาม
สัญชาตญาณของเฮ่อซวินไวจนเธอตะลึง เขาเหมือนมีเรดาร์ติดอยู่ที่ตัวและคอยตรวจจับอารมณ์ของเธอตลอด ทั้งยังวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
“ไม่มีอะไรนี่” โจวจิ้งบ่ายเบี่ยง
“แล้วทำไมต้องรีบกลับ?” เฮ่อซวินยังคงไม่เชื่อ
“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ”
“มุกเดิมเลยนะ”
“เรียกฉันลงมาทำไม?” เธอเปลี่ยนเรื่อง
เฮ่อซวินหันไปค้นกระเป๋าเป้แล้วยื่นบางอย่างให้โจวจิ้ง “ฉันเอากระดาษคำตอบวิชาคณิตที่แจกวันนี้มาคืน”
โจวจิ้งจ้องกระดาษปึกหนาตรงหน้า “มาไกลขนาดนี้เพื่อคืนกระดาษ?”
แค่ได้เจอเฮ่อซวิน เธอก็อารมณ์ดีขึ้นทันที