หัวโจก - ตอนที่ 49.ได้ยินหมดแล้ว
“น่าเกลียด” เฮ่อซวินส่ายหน้า
“อะไรน่าเกลียด ฉันเหรอ?” โจวจิ้งทำตาโต
“อย่าทำหน้าแบบนี้ ไม่เหมาะกับเธอ” เฮ่อซวินหันไปทางอื่น
“ทำหน้าแบบไหน?” โจวจิ้งเริ่มงง พอรู้ตัวก็อดขำไม่ได้ “คิดว่าฉันไม่มีเรื่องกังวลเลยเหรอ ฉันก็มีเรื่องเครียดเหมือนกันนะ”
“เรื่องอะไร?”
สวรรค์เท่านั้นที่จะเข้าใจความกังวลของเธอ ต่อให้เล่ายาวแค่ไหนเขาก็คงไม่เข้าใจอยู่ดี
แค่เรื่องการสอบเอ็นทรานซ์โจวจิ้งก็เครียดจะแย่อยู่แล้ว ยังมีเรื่องส่วนตัวของโจวฉีเทียนเข้ามาแทรกอีก
“หลายเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องสอบ” เธออ้าง
เฮ่อซวินมองอีกฝ่ายราวกับคนบ้าที่กำลังพูดเพ้อเจ้อ
“ฉันก็แค่… กลัวจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่อยากเข้าไม่ได้น่ะ” โจวจิ้งแก้ตัว
“มหาวิทยาลัยไหน?”
“ยังไม่รู้เลย”
เฮ่อซวินนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงถามต่อ “เธอน่าจะเป็นโรควิตกกังวลก่อนสอบน่ะ”
“พูดเป็นเล่น! ฉันหนาวมากแล้วขอตัวก่อนนะ”
ขณะหันหลังกลับ เธอก็รู้สึกถึงความอุ่นบนหัวจากฝ่ามือของเฮ่อซวิน
“ถ้าเกิดอะไรขึ้นอีก เรียกฉันได้เสมอ”
โจวจิ้งเงยหน้ามองอีกฝ่าย “อืม”
เด็กหนุ่มร่างสูงที่ค่อนข้างเย็นชาแต่กลับมีบางอย่างผูกพันกับเธอ
ทั้งคู่ยืนใกล้กันราวกับคู่รักที่กำลังจะจุมพิต แต่สุดท้ายก็ต้องหักห้ามใจ
“รีบกลับเข้าบ้านเถอะ” เฮ่อซวินเอามือออก
“โอเค” ก่อนเดินเข้าบ้าน โจวจิ้งไม่ลืมที่จะหันไปมองเขาอีกรอบ
เฮ่อซวินยังคงยืนอยู่ที่เดิม ราวกับต้องการบอกว่าจะอยู่เคียงข้างเธอไม่ไปไหน
“โพรโมชันเสริมชั้นดีนี่เอง” เธอพูดกับตัวเอง “อยู่เป็นความทรงจำกันไปนานๆ นะ”
โจวจิ้งอยากช่วยโจวฉีเทียนแต่ทำอะไรไม่ได้
ตลอดวันหยุดสุดสัปดาห์ เธอไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้เป็นพ่อ ส่วนโจวเสี่ยวหยีที่รู้ดีว่าครอบครัวกำลังมีปัญหาก็งอแงน้อยลงและเรียบร้อยเป็นพิเศษ
โจวจิ้งใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่โรงเรียน แม้จะรู้ดีว่าที่บ้านกำลังมีปัญหาใหญ่
เถาม่านมองโจวจิ้งด้วยสายตาเกลียดชังกว่าเดิมจนคนรอบข้างรู้สึกได้ โดยเฉพาะหยวนคังฉีที่คิดไปเองว่าหลินเกาได้เปลี่ยนใจมาชอบโจวจิ้งแล้ว แต่เธอปฏิเสธ
ช่วงพักเที่ยงก่อนเริ่มเรียนคาบบ่าย โจวจิ้งเดินไปเข้าห้องน้ำและเจอเถาม่านยืนรออยู่
“ขอคุยด้วยหน่อย” พูดจบเถาม่านก็เดินนำไปที่ดาดฟ้า
แม้จะเป็นเวลาเรียน แต่ทั่วทั้งบริเวณกลับเต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ การหาที่ลับตาและสงบในโรงเรียนจึงเป็นไปได้ยาก
บนดาดฟ้า เถาม่านเปิดประเด็นขึ้นก่อน “พอใจหรือยัง?”
“พอใจอะไร?” เธอไม่ชอบที่เถาม่านคอยหาเรื่องตลอด
“แม่ฉันขายแกลเลอรีทิ้งไปแล้ว!” เถาม่านโมโหหนักกว่าเดิม
โจวจิ้งเคยได้ยินว่าก่อนหน้าเถาจิงจะคบกับโจวฉีเทียน เธอเป็นเจ้าของแกลเลอรีอยู่แล้ว หลังแต่งงานก็ยังคงดูแลแกลเลอรีเหมือนเดิม หากต้องการปิดแล้วเกี่ยวอะไรกับโจวฉีเทียนด้วย?
“หมายความว่าอะไร ไม่เข้าใจ?” โจวจิ้งถามกลับตรงๆ
“ไม่เข้าใจงั้นเหรอ? พ่อของเธอดูถูกพวกฉันไว้มาก เราจะไม่ทนอีกแล้ว วันนี้ไม่ได้มาขอร้องแค่อยากฝากไปบอกว่าให้รีบหย่า แม่ฉันจะได้ยอมรับความจริงเสียที ไม่ใช่ปล่อยให้เข้าใจผิดว่าเป็นแค่ผู้หญิงที่คิดจะเกาะคนรวย!”
“ฉันไม่เข้าใจจริงๆ” โจวจิ้งเริ่มไม่สบอารมณ์ “ทำไมเธอถึงอยากให้พวกเขาหย่ากัน?”
“อยู่ต่อให้พ่อเธอใช้เงินฟาดหัวงั้นเหรอ? เห็นพวกฉันเป็นหมาส่ายหางขอกินไปวันๆ หรือไง!” เถาม่านตวาดกลับ
“ใครบอกว่าพวกเธอเป็นหมา?” โจวจิ้งพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ช่วยมีสติหน่อยเถอะ ความจริงเป็นยังไงเธอเองก็ยังไม่รู้ ถ้าอยากจะเข้าข้างแม่ตัวเองก็กรุณาสืบหาที่มาที่ไปเสียก่อน มาหาว่าพ่อฉันใช้เงินฟาดหัว รู้ปัญหาที่แท้จริงของพวกเขาแล้วเหรอ?”
“ก็บอกมาสิว่าเกิดอะไรขึ้น!” เถาม่านถามกลับ
“ถามแม่เธอสิ ฉันจะไปรู้ได้ยังไง!”
“ไม่รู้แล้วทำเป็นว่าคนอื่น! เธอน่าจะดีใจนะที่ฉันไม่อยู่เป็นก้างขวางคอ จะได้ไม่ต้องอึดอัดเหมือนที่ผ่านมา แม่ของฉันโง่เองที่ไม่ยอมหย่า ขนาดแกลเลอรียังขายทิ้ง สักวันคงขายฉันทิ้งแน่นอน ฉะนั้นได้โปรดปล่อยพวกเราไป ฉันขอร้อง!”
โจวจิ้งอยากจะกัดลิ้นตาย คุยด้วยเหตุผลเท่าไหร่เถาม่านก็ไม่ยอมฟัง ซ้ำยังทำเหมือนจะร้องไห้อีก
“คุยกันดีๆ ก่อนเถอะ ฉันไม่คิดว่า…”
“ไม่มีอะไรจะคุยแล้ว!” เถาม่านถลึงตาใส่ “ในเมื่ออยากหย่าก็รีบหย่าสิ จะมีพ่อหรือไม่มีสำหรับฉันไม่สำคัญเลย” สีหน้าของเถาม่านกลับเป็นปกติ น้ำเสียงที่คุยเริ่มเย็นลง “ไปบอกพ่อเธอว่าเลิกหาเรื่องแม่ฉันได้แล้ว แม่ฉันเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาๆ อยากเล่นกับความรู้สึกของใครก็เชิญ แต่ไม่ใช่กับเราสองคน”
เถาม่านคุยกับโจวจิ้งนานกว่าทุกวัน ตั้งแต่รู้จักกันมาพวกเธอไม่เคยคุยกันเยอะเท่านี้เลย
พออีกฝ่ายพูดจบก็ปาดน้ำตาแล้ววิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็ว
นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!—โจวจิ้งเกาหัว
เธอไม่เข้าใจว่าทำไมเถาม่านต้องมีอคติกับพ่อของเธอขนาดนี้ ถึงขั้นอยากให้แม่ของตัวเองหย่า มากไปกว่านั้นคือการขายแกลเลอรีทิ้งแบบไม่มีเหตุผลของเถาจิง หรือเธอต้องการใช้เงินซื้อใจโจวฉีเทียน แต่เขาก็ดูมีเงิน ไม่ได้ลำบากหรือตกอับอะไร
โจวจิ้งนวดหัวด้วยความกลัดกลุ้มเพราะได้ข้อมูลจากโจวฉีเทียนน้อยมาก พอถูกเถาม่านต่อว่าโดยที่ไม่รู้เรื่องมาก่อนจึงสับสนมึนงงไปหมด
‘เป๊าะ!’
เธอได้ยินเสียงกิ่งไม้หักขณะก้าวลงบันได เมื่อกวาดตามองก็พบว่าจิงจิงยืนแอบอยู่ตรงห้องเก็บของ ของดาดฟ้า
จิงจิงหน้าตาตื่นหลังถูกจับได้ “พี่จิ้ง…”
โจวจิ้งรู้ว่าอีกฝ่ายได้ยินหมดแล้ว เพราะเถาม่านพูดเสียงดังขนาดนั้น ห้องเก็บของเองก็ไม่มีอะไรน่าสนใจถึงขนาดที่จิงจิงจะต้องมาป้วนเปี้ยน นอกจากจะตั้งใจมาแอบฟัง
ให้พูดตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์ เธอจึงปล่อยเลยตามเลยแล้วเดินลงบันไดต่อ
“พี่จิ้ง…” จิงจิงวิ่งเข้าไปคว้าแขน “ฉัน… ได้ยินหมดแล้วนะ”
ซื่อสัตย์ดีเหลือเกิน!
“แม่ของเถาม่านจะหย่ากับพ่อของพี่เหรอ?”
เธอถามด้วยความระมัดระวัง น้ำเสียงนุ่มนวลอ่อนโยน ใบหน้าสื่อถึงความเป็นห่วงโดยไม่กลัวว่าโจวจิ้งจะโกรธหรือคิดมากเลย
โจวจิ้งยิ้มตอบ “ใช่ที่ไหนล่ะ เถาม่านชอบคิดไปเองตลอด เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว”
“จริงเหรอ?” จิงจิงทำหน้าไม่เชื่อ
สีหน้าอยากรู้อยากเห็นของอีกฝ่ายทำโจวจิ้งหมดความอดทน “ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันกลับไปเรียนก่อนนะ”
ในยวู่เต๋อ ศัตรูของโจวจิ้งมีไม่น้อย แต่เพราะเป็นเด็กนักเรียนจึงทำได้เพียงทะเลาะเบาะแว้งเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งหลีกเลี่ยงค่อนข้างยาก
แต่กับจิงจิง เธอคือเด็กสาวที่โจวจิ้งควรระมัดระวังตัวในการเข้าใกล้มากที่สุด เพราะคนประเภทที่ยิ้มแย้มและดูเป็นมิตรตลอดเวลาแต่กลับถือมีดคอยแทงข้างหลังคนอื่นนั้นมีอยู่จริง
หลังแทงเสร็จก็มักจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โยนความผิดให้แพะรับบาปแทน
ถ้าเป็นคนอื่นที่มาได้ยิน โจวจิ้งจะไม่ระแวงเท่านี้ เพราะสัญชาตญาณบอกว่าเด็กสาวตรงหน้าจะสร้างเรื่องให้เธออย่างแน่นอน
โจวจิ้งไม่เคยได้รับความจริงใจจากจิงจิงและเถาม่านอยู่แล้ว ยิ่งมีหลินเกาเป็นเชื้อไฟอีก เรื่องนี้คงจบไม่ง่ายอย่างที่คิด
ตลอดคาบบ่าย โจวจิ้งครุ่นคิดถึงสีหน้าสุดท้ายของจิงจิงด้วยความกังวล—ต้องมีอะไรแย่ๆ เกิดขึ้นอีกแน่นอน!
สัมผัสที่หกของผู้หญิงแม่นยำเสมอ โดยเฉพาะจากคนที่เคยผ่านความตายมาแล้ว
อย่างเช่นตอนที่เดินเข้าโรงเรียนวันนี้ โจวจิ้งรู้สึกเหมือนถูกมองด้วยสายตารังเกียจ บ้างก็ซุบซิบนินทาจนรู้สึกได้
ตอนฟื้นขึ้นมาใหม่ๆ เธอก็ถูกมองด้วยสายตาแบบนี้เพราะเคยก่อวีรกรรมไว้มาก แต่นี่ก็ผ่านมาครึ่งปีแล้ว เหตุการณ์เดิมที่เคยเบาบางกลับย้อนเข้ามาอีก
ที่แปลกกว่านั้นก็คือ เพื่อนในห้องกิฟต์ที่เคยเป็นมิตรพากันมองเธอแปลกๆ เถาม่านก็โดนเช่นกัน
ปกติโจวจิ้งกับเถาม่านจะมีปัญหากันก็แค่เรื่องของหลินเกา เธอเลยพยายามตีตัวออกห่างจากเขา การทะเลาะเบาะแว้งจึงหยุดลง เมื่อถูกมองด้วยสายตาเช่นนี้จึงพอจะเดาได้ว่าเป็นเรื่องของโจวฉีเทียนและเถาจิงอย่างแน่นอน
พอหันไปมอง พวกนั้นก็รีบหลบตาแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เถาม่านนั่งหันหลังให้เธอตลอด จึงไม่อาจรับรู้ความรู้สึกของอีกฝ่ายได้ รวมถึงหยวนคังฉีกับเฮ่อซวินที่นิ่งจนผิดปกติ ทำให้โจวจิ้งรู้ถึงความใหญ่โตของเรื่องที่เกิดขึ้น
ช่วงพักระหว่างคาบ มั่วลี่แวะมาหาโจวจิ้งในสภาพเหงื่อท่วมตัวหลังไม่ได้เจอกันนาน
เธอเคยซ้ำชั้นมาแล้วหนึ่งปี ถ้าสอบเอ็นทรานซ์ไม่ผ่านอีกคงถูกไล่ออกจากบ้านแน่นอน
“พ่อเจ๊กับแม่ของเถาม่านจะหย่ากันเหรอ?”
“รู้ได้ไง?”
“ยังไม่ได้อ่านกระทู้ในเพจของโรงเรียนสินะ คนแชร์เรื่องนี้กันระเบิดเลย!”
โจวจิ้งไม่ได้เข้าเพจของโรงเรียนนานมากแล้วเมื่อเทียบกับช่วงแรกๆ แถมต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบจึงไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น
เชื่อว่าเด็กมัธยมหกคนอื่นๆ ก็คงไม่ต่างกัน แต่ถ้ามีใครยอมสละเวลาอ่านหนังสือเพื่อเข้าไปอ่านเรื่องในกระทู้ ก็แสดงว่าเรื่องนั้นต้องน่าสนใจจริงๆ
“เจ๊ไม่ได้เป็นคนโพสต์ใช่ไหม?” มั่วลี่ถาม
“จะบ้าเหรอ?”
“ฉันก็ว่างั้นแหละ ถ้าจะทำเจ๊คงไม่รอถึงป่านนี้หรอก แสดงว่าคนโพสต์ต้องเป็นศัตรูกับเถาม่าน ถึงได้แต่งเรื่องใส่ร้ายขนาดนี้!” มั่วลี่วิเคราะห์อย่างจริงจัง
“ไม่ใช่เรื่องแต่งหรอก” โจวจิ้งส่ายหน้า
“เรื่องจริงงั้นเหรอ?” มั่วลี่ทำตาโต “ใครกันนะที่เป็นคนโพสต์ เพราะเถาม่านคงไม่แฉตัวเองแน่นอน”