หัวโจก - ตอนที่ 5 เรื่องเฮงซวย
สุดท้าย เมี่ยเจวี๋ยก็ไม่ได้พบพ่อของโจวจิ้งอยู่ดี เพราะหลังจากติวช่วงเย็นเสร็จ ก็ไม่มีใครโทรหาเธอสักคน
ตอนโจวจิ้งเดินเข้าห้องติว เพื่อนทั้งห้องต่างพากันตะลึงค้างเพราะเคยชินกับการโดดเรียนของเธอมากกว่ามาเรียน คนที่ตะลึงที่สุดคือเด็กหนุ่มใส่แว่นร่างผอมที่นั่งโต๊ะติดกัน หากเป็นโจวจิ้งคนเดิม
เขาคงโดนแกล้งหรือทำร้ายร่างกายไปแล้ว
หนังสือบนโต๊ะยังคงใหม่เอี่ยมแม้จะมีใยแมงมุมเกาะ สันปกไม่มีรอยยับเพราะไม่เคยถูกเปิดใช้งาน
โจวจิ้งคิดจะเอื้อมมือไปหยิบหนังสือ แต่เอื้อมไปได้นิดเดียวก็สังเกตเห็นสายตาของเพื่อนทั้งห้อง จึงชักมือกลับแล้วหยิบมือถือออกจากกระเป๋าแทน
‘เฮ้อออ’
คนทั้งห้องถอนหายใจด้วยความโล่งอก โจวจิ้งที่ได้ยินถึงกับไปไม่เป็น
ตอนนี้สองทุ่มครึ่งแล้ว แต่ทุกคนยังติวไม่เสร็จ
การที่ต้องกลับมาเรียนอีกครั้งเป็นเรื่องที่ยากจะอธิบาย ประการแรก ชาติที่แล้วเธอเป็นมนุษย์เงินเดือนให้กลับมาเรียนอีกครั้งจึงไม่ใช่เรื่องสนุก ประการที่สอง ตอนเป็นนักเรียน เธอเป็นคนมีระเบียบและความรับผิดชอบสูง เวลาติวหนังสือจะไม่นั่งเล่นมือถือเด็ดขาด
ด้วยความเบื่อหน่าย โจวจิ้งตัดสินใจกดเบอร์ 000000
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นอีกครั้ง “ขอโทษค่ะ หมายเลขที่ท่านเรียก ยังไม่เปิดใช้บริการ…”
“นี่มันเรื่องเฮงซวยอะไรกันเนี่ย!”
ตั้งแต่ลืมตา ชีวิตก็มีแต่ความวุ่นวาย เธอเลือกทำทุกอย่างตามสัญชาตญาณ ไม่คิดมากหรือใช้ความรู้สึกส่วนตัวชี้นำ เพราะคงดีกว่าไม่ได้ลืมตาตื่นอีก
“น่าจะเป็นความผิดพลาดของระบบ เราต้องรู้จักให้อภัยคนอื่นสิ!” โจวจิ้งปลอบตัวเอง
คิดได้เช่นนี้ เธอจึงฟุบหน้าลงบนโต๊ะแล้วนอนหลับอย่างสบายใจ
กระทั่งเสียงออดดังขึ้น ร่างของเธอก็ถูกใครบางคนเขย่า “ป้าจะปิดห้องเรียน รีบกลับหอพักได้แล้ว”
โจวจิ้งมองไปรอบตัวและพบว่าไม่มีเพื่อนร่วมห้องหลงเหลืออยู่ มนุษยสัมพันธ์ของเจ้าของร่างนี้คงจะแย่มากๆ ขนาดเลิกเรียนยังไม่มีใครคิดจะปลุกเธอสักคน
โจวจิ้งลุกขึ้น แบกกระเป๋าแล้วเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบๆ
เธอไม่รู้ว่าตัวเองพักอยู่หอไหน แถมโรงเรียนยังกว้างมากอีกด้วย “บ้าจริง! ฉันไม่เอาแล้วได้ไหมร่างนี้!”
หลังเดินสบตากับพนักงานรักษาความปลอดภัยใต้ตึกอยู่นาน โจวจิ้งก็รู้ว่าตัวเองพักที่ไหน
รูมเมทของเธอคือสาวผมสั้นที่กำลังต้มบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอยู่ พอเห็นเธอ อีกฝ่ายก็มีสีหน้าตกใจและรีบยกถ้วยในมือไปแอบ แต่ไม่ทันเสียแล้ว สีหน้าของฝ่ายนั้นไม่ต่างจากคนใกล้ตาย ทำเอาโจวจิ้งคิดว่าตัวเองเป็นฮิตเลอร์ ส่วนอีกฝ่ายคือชาวยิว คู่ปรับในตำนาน
สาวผมสั้นทำท่าจะวิ่งไปเข้าห้องน้ำ โจวจิ้งจึงห้ามเธอไว้
“เดี๋ยวก่อน!”
“ขอโทษ…” เธอทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ “ฉันนึกว่าเธอไม่กลับก็เลยต้มบะหมี่กิน แต่จะเททิ้งแล้วเปิดหน้าต่างให้เดี๋ยวนี้เลย”
โจวจิ้งโบกมือ “ไม่เป็นไร กินต่อเถอะ”
สาวผมสั้นได้แต่ยืนอึ้งกับคำพูดนี้
“กินสิ ยืนเฉยทำไม?” โจวจิ้งนั่งลงบนเก้าอี้
ห้องนี้เป็นห้องสำหรับสองคน แค่กวาดตามองก็เดาออกว่าโต๊ะไหนเป็นของใคร แน่นอนว่าโต๊ะที่เต็มไปด้วยเครื่องสำอางและขนตาปลอมก็คือโต๊ะของเธอ
สาวผมสั้นไม่กล้าขัดคำสั่ง รีบก้มหน้ากินอย่างรวดเร็ว
กลิ่นหอมของบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเรียกน้ำย่อยได้ดีโดยเฉพาะดึกๆ
โจวจิ้งหิวจนน้ำลายสอเพราะไม่มีอะไรเข้าท้องตั้งแต่ตื่น
ข้าวของที่ติดมากับร่างนี้มีเพียงเงินเจ็ดหยวนกับบัตรกินข้าวที่เหลือเงินอยู่สิบแปดหยวน ซึ่งน่าจะพอสำหรับซื้อขนมกิน
โจวจิ้งคิดไปเองว่าเจ้าของร่างอาจลืมกระเป๋าสตางค์ไว้ในหอพัก จึงเริ่มทำการค้นหา เพราะกว่าระบบสวรรค์เซอร์วิสจะซ่อมเสร็จ เธอคงหิวตายเสียก่อน แต่หากจะไปยืมเงินคนอื่น ก็คงไม่มีใครยอมให้เจ้าของร่างยืมเป็นแน่ นอกจากตั้งแก๊งรีดไถซึ่งก็ยังไม่อยากทำ
หาอยู่ครึ่งชั่วโมงก็ยังไม่พบ กระทั่งหอพักดับไฟ โจวจิ้งจึงต้องคลำกำแพงเพื่อเข้าห้องน้ำไปแปรงฟัน
หลังทำธุระเสร็จ เธอก็เดินลากรองเท้าแตะกลับเตียง
ต่อให้เตียงนอนที่หอจะนุ่มและสะอาดยังไงก็สู้เตียงที่บ้านไม่ได้ ยิ่งมาได้เตียงที่แข็งอย่างกับหินแบบนี้ โจวจิ้งก็ยิ่งนอนไม่หลับ สุดท้ายจึงหันไปถามหากระเป๋าสตางค์กับสาวผมสั้นที่ชื่อ ‘เฝิงเอี้ยน’
เธอแค่อยากลองถาม เพราะเป็นไปไม่ได้ที่สาวเกเรผมทองคนนี้จะไม่มีกระเป๋าสตางค์ ถ้าไม่มีเงินจะเอาเครื่องประดับและเครื่องสำอางมากมายขนาดนี้มาจากไหน
คำถามของโจวจิ้งทำเฝิงเอี้ยนถึงกับเด้งตัวขึ้นจากเตียงด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เกิดอะไรขึ้น?” โจวจิ้งสงสัย
เฝิงเอี้ยนทำหน้าเหมือนจะร้องไห้อีกครั้ง “เธอเอากระเป๋าสตางค์แบรนด์เนมไปขายเพื่อซื้อกล้องให้หลินเกาไม่ใช่เหรอ? ส่วนกระเป๋าสตางค์ใบใหม่… ฉันไม่เห็นจริงๆ”
ท่าทางเฝิงเอี้ยนจะถูกเจ้าของร่างกลั่นแกล้งมาไม่น้อย และตอนนี้ก็กำลังกลัวว่าเธอจะโยนความผิดข้อหาขโมยให้อีก
“ก็แค่ถาม จะร้องทำไม? โตขนาดนี้แล้วยังร้องไห้เป็นเด็กอยู่อีก ฉันไม่ได้จะหาเรื่องอะไรหรอก รีบนอนเถอะ” พูดจบโจวจิ้งก็หันหลังให้อีกฝ่ายตอบ
เมื่อเห็นโจวจิ้งหันหลังโดยไม่หาเรื่อง เฝิงเอี้ยนก็กะพริบตาด้วยความงุนงง
พัดลมในห้องยังคงส่ายไปมาเหมือนทุกวัน แต่เธอกลับรู้สึกว่าคนที่นอนเตียงข้างๆ ไม่เหมือนเดิม
ต่างจากโจวจิ้งที่ไม่ได้สนใจเฝิงเอี้ยน เพราะกังวลเรื่องเงินยี่สิบห้าหยวนที่เจ้าของร่างทิ้งไว้ให้แบบไม่กลัวว่าตัวเองจะอดข้าวตายมากกว่า
‘หลินเกา’ เธอได้ยินชื่อนี้เป็นรอบที่สี่แล้ว ทั้งจากเจ้าเขียวมั่วลี่ เถาม่าน แล้วยังเฝิงเอี้ยนอีก
ดีมากพ่อหนุ่ม นายทำให้ฉันสนใจขึ้นมาแล้วสิ!