หัวโจก - ตอนที่ 52.อย่าไปฟัง!
“หัว… หัวของเธอ!” เขาชี้ไปที่ศีรษะของพี่สาว
โจวจิ้งยกมือขึ้นแตะหน้าผาก นิ้วมือชื้นไปด้วยเลือด
“ออกไปให้พ้น!” โจวฉีเทียนตะโกนไล่โจวจิ้ง
โจวเสี่ยวหยียืนอึ้ง นิ่งมองผู้เป็นพ่อโดยไม่พูดอะไร
“ไปสิ!” เขาตะคอกราวกับคนเสียสติ
โจวเสี่ยวหยีตัดสินใจวิ่งไปจูงมือโจวจิ้งแล้วลากเธอวิ่งหนีออกจากบ้าน
“ทำแบบนี้ทำไม?” โจวจิ้งถามน้องชายที่ยืนตัวสั่นอยู่หน้าบ้าน
“ปกป้องพี่ไง ว่าแต่… ไปทำอะไรให้พ่อโกรธ?” โจวเสี่ยวหยีทำหน้าสงสัย “พ่อไม่เคยว่าพี่สักคำ มีแต่ผมกับเถาม่านที่ถูกด่า”
โจวจิ้งถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ไม่รู้จะอธิบายยังไง”
โจวเสี่ยวหยียืนงง ก่อนจะจามออกมา
“กลับไปนอนเถอะ” โจวจิ้งสงสารน้องชายที่ใส่แค่ชุดนอนตัวบางกับเท้าเปลือยเปล่า
“ผมไม่มีกุญแจบ้าน” โจวเสี่ยวหยีสารภาพ
ทั้งคู่จ้องตากันพักใหญ่ ก่อนจะลองเคาะประตูแต่ก็ไม่มีการตอบสนองจากด้านใน
“ช่างเถอะ” โจวจิ้งถอนหายใจ “นายเอามือถือมาหรือเปล่า?”
โจวเสี่ยวหยีส่ายหน้า
“รออยู่ตรงนี้นะ ฉันจะไปยืมโทรศัพท์คนแถวนี้โทรหาป้าเฉิน”
ทั้งคู่ไม่มีเงินติดตัว ใส่แค่ชุดนอนตัวบาง แถมโจวเสี่ยวหยียังเดินเท้าเปล่าอีก
ตัวเธอไม่ลำบากเท่าไหร่ สงสารก็แต่เด็กน้อยข้างๆ ที่อาจป่วยเพราะอากาศหนาวได้
“ขี่หลังฉันดีกว่า” เธอบอกน้องชาย
พออีกฝ่ายอนุญาต โจวเสี่ยวหยีก็ปีนขึ้นหลังอย่างทะมัดทะแมง
ในคอนโดไม่มีคนเพราะดึกมากแล้ว เธอจึงคิดจะไปยืมมือถือที่ร้านสะดวกซื้อเพื่อโทรหาป้าเฉิน
ร้านสะดวกซื้ออยู่ห่างจากคอนโดห้าสิบเมตร แม้จะไม่ค่อยมีคน แต่การที่เธอเดินแบกโจวเสี่ยวหยีก็ดึงดูดสายตาไม่น้อย
“พวกเขามองฉันทำไม?” โจวเสี่ยวหยีถาม
“คงคิดว่าเราเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัวมั้ง”โจวจิ้งตอบ
“ความรุนแรงในครอบครัวคืออะไร?”
โจวจิ้งสูดหายใจเข้าลึก “สิ่งที่พ่อทำกับฉันเรียกว่าความรุนแรงในครอบครัว”
“อ้อ” โจวเสี่ยวหยีพยักหน้าเข้าใจ
ที่ร้านสะดวกซื้อ คนในร้านต่างตกใจเมื่อเห็นสภาพของโจวจิ้ง
เธอพยายามอธิบายว่าพ่อของเธอเมาแล้วเผลอล็อกประตูทำให้เข้าบ้านไม่ได้ พนักงานคนหนึ่งรู้สึกสงสารจึงให้ยืมโทรศัพท์โทรหาป้าเฉิน
“ดำสลวย เจ็บมากไหม?” โจวเสี่ยวหยีถาม
แผลบนหน้าผากของเธอเริ่มแห้งแล้ว ที่ดูไม่น่ากลัวมากเพราะโจวจิ้งคอยใช้ปกเสื้อเช็ดเลือดตลอด ไม่อย่างนั้นอาจถูกคนที่เห็นโทรแจ้งตำรวจได้
ขณะกำลังจะไปเข้าห้องน้ำ โจวจิ้งได้ยินน้องชายตะโกนเรียกใครบางคน
“พี่เฮ่อ!”
เฮ่อซวินแวะซื้อของก่อนกลับบ้าน เมื่อเห็นสองพี่น้องในชุดนอนซ้ำโจวเสี่ยวหยียังไม่ใส่รองเท้าจึงเดินเข้าไปถาม
“พวกเธอมาทำอะไรตรงนี้?”
โจวเสี่ยวหยีชิงตอบก่อน “ความรุนแรงในครอบครัวน่ะ”
พนักงานที่ได้ยินถึงกับชะงักแล้วมองโจวเสี่ยวหยีด้วยแววตาสงสาร
“เกิดอะไรขึ้น?” เฮ่อซวินถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อย่าไปฟัง!” โจวจิ้งรีบอธิบาย “พ่อเมาอาละวาดแล้วยังเผลอล็อกประตูอีก ฉันกับน้องเลยเข้าบ้านไม่ได้ นี่ก็ว่าจะมายืมโทรศัพท์ของพนักงานโทรหาคุณป้าแม่บ้านน่ะ”
เฮ่อซวินไม่ได้พูดอะไร แค่จิ้มนิ้วลงไปบนบาดแผลของโจวจิ้ง
“โอ๊ย!” เธอปัดมืออีกฝ่ายทิ้ง “เจ็บนะ!”
“โดนทำร้ายมาเหรอ?” เขาทำหน้าตกใจ
โจวจิ้งกลัวว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจผิดจึงรีบอธิบาย “ฉันไม่ระวังเลยโดนเศษแก้วกระเด็นใส่ ว่าแต่นายมีเงินไหม ขอยืมซื้อถุงเท้าให้น้องใส่หน่อย พรุ่งนี้เช้าคืนให้”
เธอตั้งใจไว้ว่าจะไม่กลับเข้าบ้านต่อให้ป้าเฉินมาเปิดประตูให้ แค่ไปส่งโจวเสี่ยวหยีแล้วจะไปเปิดโรงแรมนอน เพราะกลัวจะทำให้โจวฉีเทียนอารมณ์ขึ้นอีก
“จะไปนอนโรงแรมจริงๆ เหรอ?” เฮ่อซวินถาม
โจวจิ้งพยักหน้า
“จะเปิดโรงแรมต้องใช้บัตรประชาชนนะ”
เธอเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงตอบว่า “ถ้างั้น… ขอแค่เงินซื้อถุงเท้าแล้วกัน” พูดจบก็หันมองโจวเสี่ยวหยีที่กำลังอ้าปากหาวด้วยแววตาสงสาร
เด็กวัยนี้ต้องการนอนเยอะๆ โดนปลุกกลางดึกแบบนี้คงทนความง่วงได้อีกไม่นาน
“ไปบ้านฉันก่อนแล้วกัน” เฮ่อซวินเสนอ
“ไม่เป็นไร”
“ที่บ้านไม่มีใคร”
“ไม่เกี่ยวกับว่ามีคนหรือไม่มีคนหรอก”
“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก”
“เดี๋ยวแม่บ้านก็มาแล้ว ขอบใจมากนะ”
“แค่จะให้ไปทำแผล เสร็จแล้วก็กลับได้เลย”
พอเขาพูดจบ โจวเสี่ยวหยีก็ส่งเสียงจามราวกับนัดไว้
โดยไม่รอคำตอบ เฮ่อซวินแบกโจวเสี่ยวหยีขึ้นหลังแล้วบอกให้เธอเดินตาม
เดี๋ยว… เดี๋ยวก่อนนะ! อุ้มน้องคนอื่นไปง่ายๆ แบบนี้ก็ได้เหรอ?
บ้านของเขาอยู่ห่างจากบ้านของเธอไม่กี่ร้อยเมตร
เฮ่อซวินอุ้มโจวเสี่ยวหยีไปตลอดทาง ซ้ำยังเดินเร็วกว่าโจวจิ้งเสียอีก
หลังจากกึ่งเดินกึ่งวิ่งตามจนถึงบ้านของอีกฝ่าย เธอก็พบว่าไม่มีใครอยู่ตามที่เขาบอกจริงๆ
“พ่อกับแม่ของนายยังไม่กลับเหรอ?”
“ไปต่างจังหวัด” เขาตอบขณะเดินไปเปิดไฟ ก่อนจะวางโจวเสี่ยวหยีลงบนโซฟา
โจวจิ้งมองสำรวจบ้านที่ทั้งกว้าง สะอาด และเรียบง่ายเมื่อเทียบกับความหรูหราของบ้านเธอ
เฮ่อซวินรินน้ำให้โจวเสี่ยวหยีที่กำลังงอแง
“พี่เฮ่อ ผมง่วง” เขาทำหน้าจะร้องไห้
เฮ่อซวินรู้สึกสงสารจึงพาเด็กน้อยไปนอนที่ห้องรับแขก
“ถ้าเขาหลับฉันขอยืมผ้าห่มกลับบ้านก่อนนะ” โจวจิ้งทำตาปริบๆ
“ไม่ให้!”
พอถูกปฏิเสธ เธอก็กลอกตาแล้วทิ้งตัวลงบนโซฟา
“มานี่หน่อย” เฮ่อซวินกวักมือเรียก
โจวจิ้งเดินตามเข้าไปในห้องอย่างจำใจ พอเห็นว่าเป็นห้องนอนเธอก็ทำตาโต
“นายคิดจะ… ทำอะไรน่ะ!”
“ฆ่าหั่นศพ” เฮ่อซวินแสยะยิ้ม
โจวจิ้งกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง รู้สึกว่าสไตล์การแต่งห้องของเขาช่างเข้ากับนิสัยเหลือเกิน
ห้องนี้เรียบง่ายไม่หรูหรา มุมโต๊ะมีลูกบาสเกตบอลตั้งอยู่ผนังด้านหนึ่งถูกแปะด้วยโปสเตอร์และลายเซ็นของนักบาสเกตบอลหลายคน
โจวจิ้งเดินไปยังผนังที่เต็มไปด้วยภาพของเฮ่อซวิน เธอรู้สึกทึ่งกับความหล่อที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงของเขาตั้งแต่เด็กจนโต
ขณะกำลังชื่นชมผลงาน เฮ่อซวินก็หยิบกล่องใบหนึ่งออกจากตู้แล้วเดินมาหาเธอ
“นั่งลง” เขาออกคำสั่งพลางยื่นกล่องยาให้
เธอนั่งลงบนเตียง มองกล่องในมือด้วยความรู้สึกทึ่ง “ที่บ้านเตรียมกล่องยาพร้อมขนาดนี้เลยเหรอ?”
เฮ่อซวินไม่ตอบแต่กลับคุกเข่าลงจับขาโจวจิ้ง
ท่าทางของเขาทำเธอสะดุ้งจนต้องรีบดึงขากลับ
“อายเป็นด้วยเหรอ? ทีวันกีฬาสีไม่เห็นอายเลย” เขาพูดด้วยความหมั่นไส้
“ตอนนั้นยังไม่สนิท!” เธอให้เหตุผล “แล้วนี่… จะทำอะไร?”
เฮ่อซวินไม่ตอบ ทำเพียงถกขากางเกงของโจวจิ้งขึ้นจนเห็นแผลที่น่องและข้อเท้า
เศษแก้วไม่ได้บาดแค่หน้าผากแต่บาดขาของเธออีกหลายจุดด้วย
ที่โจวจิ้งไม่รู้ก็เพราะใส่กางเกงขายาวตลอด อีกทั้งแผลไม่ใหญ่มากจึงไม่รู้สึกเจ็บ
เฮ่อซวินเปิดกล่องยาแล้วเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์เพื่อเตรียมล้างแผล
“ฉันทำเองดีกว่า”
“อยู่เฉยๆ น่ะ”
เขาไม่ได้จับขาเธอแรงมาก แต่ก็ดิ้นหลุดไม่ง่าย
เฮ่อซวินเช็ดเลือดด้วยสำลีอย่างเบามือจนโจวจิ้งเริ่มเคลิ้ม
ที่ผ่านมาเวลาได้รับบาดเจ็บเธอก็แค่เอาน้ำลูบเท่านั้น ไม่มีใครมาสนใจดูแลแบบนี้ ต่างจากโจวเค่อที่มีแต่คนโอ๋ มีแต่คนคอยทำแผลให้
หากไม่ใช่แผลใหญ่โต โจวจิ้งก็จะทิ้งมันไว้ให้ตกสะเก็ดและหายไปเองตามธรรมชาติ
พอมีคนมาคอยดูแลทะนุถนอมจึงรู้สึกเคอะเขินไม่น้อย
“ขอบใจมากนะ” เธอพูดเสียงเบาในลำคอ
มือของเฮ่อซวินชะงักไปพักหนึ่งแล้วจึงเช็ดต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ไม่เป็นไร”
“นายเป็นคนรอบคอบเหมือนกันนะเนี่ย” โจวจิ้งชมพลางเหลือบมองรายชื่อคณะที่เฮ่อซวินลิสต์ไว้บนกระดาษตรงหัวเตียง
‘คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย A’
“นายจะเรียนหมอที่นี่เหรอ? นี่มันอันดับหนึ่งของประเทศเลยนะ!” เธอถามอย่างไม่เชื่อสายตา
“แล้วจะทำไม?” เขาแต้มยาไปตอบไป
“เปล่า… ไม่มีอะไร” เธอจ้องหน้าอีกฝ่าย “แค่ตกใจนิดหน่อย”
สำหรับโจวจิ้ง เฮ่อซวินกับหมอคือเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ
เธอยังจำครั้งแรกที่เจอเขาได้ เด็กหนุ่มแสนเย็นชาที่เข้าถึงยาก ความอดทนต่อสิ่งรอบตัวต่ำ คนที่เจ้าเขียวเคยบอกว่านิสัยไม่ดีเพราะไม่เป็นมิตรกับใครเลย
แต่ที่ผ่านมา โจวจิ้งรู้สึกได้ว่าลึกๆ เขาเป็นคนจิตใจดีมากทุกครั้งที่เธอสร้างเรื่องให้ลำบากใจ เขาไม่เคยโกรธหรือต่อว่าเลยสักครั้ง ซ้ำยังหาทางช่วยเหลืออีกด้วย
เมื่อจินตนาการภาพของเขาในเสื้อกาวน์สีขาว คงไม่พ้นคำว่า ‘หล่อ’ ไปได้
“กรอกแบบสอบถามหรือยัง?” เฮ่อซวินถามกลับ
“ยังเลย แต่ถ้านายเป็นหมอฉันก็จะเป็น…”
“เป็นอะไร?”
“ผู้อำนวยการโรงพยาบาล”
เฮ่อซวินหยุดทายาแล้วเงยหน้ามองอย่างไร้อารมณ์
“พูดเล่นน่ะ ฉันอยากเข้าคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย G ต่างหาก” เธอตอบ “ทนายในละครเท่จะตาย ฉันเลยอยากช่วยหาความเป็นธรรมให้คนอื่นแบบนั้นบ้าง”
“หาความเป็นธรรมคือหน้าที่ของตำรวจ” เฮ่อซวินส่ายหน้า
“ทนายช่วยรักษาสิทธิ์ของเพื่อนมนุษย์ ช่วยเหลือคนที่สมควรได้รับการช่วยเหลือ ช่วยเปลี่ยนเรื่องที่ไม่เป็นธรรมให้เป็นธรรม คนเราเกิดมาทั้งทีควรทำตัวให้เป็นประโยชน์ สำหรับฉันการเป็นทนายคือการทำตัวให้มีคุณค่า แถมยังได้สนุกกับชีวิตด้วย” พูดจบก็หันไปถามเฮ่อซวินว่า “เป็นไง ฉันดูสวยขึ้นไหม?”
“ไม่อ่ะ” เขาตอบโดยไม่ต้องคิด
“นายนี่น่าเบื่อจริงๆ!” โจวจิ้งเบ้ปาก
หลังคิดทบทวนอยู่นาน เธอก็พบสิ่งที่ชอบและความฝันที่ไม่เคยทำสำเร็จในชาติที่แล้ว
โจวจิ้งอยากเป็นทนาย ชอบที่จะนำกฎเกณฑ์และการวิเคราะห์ต่างๆ ไปช่วยเหลือคนอื่นให้ได้รับความเป็นธรรม