หัวโจก - ตอนที่ 53.นายเป็นลมเหรอ?
ในเมื่อชาติที่แล้วเธอไม่มีโอกาสได้ทำตามความฝันที่อยู่ในก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก เมื่อมีโอกาสอีกครั้งก็จะไม่ยอมปล่อยให้ต้องกลับมานั่งเสียดายอีก
หลังทายาที่ขาเสร็จ เฮ่อซวินก็ดึงขากางเกงของโจวจิ้งลงจากนั้นก็เปลี่ยนสำลีอันใหม่ เอามือของโจวจิ้งที่จับศีรษะอยู่ออกแล้วเริ่มทายาบนหน้าผากให้
อาจเพราะผิวหน้าบางกว่าจุดอื่น เมื่อสัมผัสถูกแอลกอฮอล์จึงแสบราวกับถูกมดกัด
เฮ่อซวินตั้งอกตั้งใจทายาให้ โดยมีโจวจิ้งนั่งสังเกตใบหน้าหวานละมุนกับขนตางอนยาวชวนสัมผัสของเขา
เด็กหนุ่มคนนี้มีเสน่ห์ต่างจากคนทั่วไป มีความอบอุ่นเรียบง่ายตามแบบฉบับของคนวัยเดียวกัน รวมถึงมีความเป็นผู้ใหญ่จนคนที่อยู่ด้วยรู้สึกปลอดภัย เรียกได้ว่าพิเศษที่สุดในบรรดานักเรียนชายของยวู่เต๋อแล้ว
ถึงจะทายาให้ด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงความประณีตและละเอียดอ่อนของเขา
ขณะที่เฮ่อซวินกำลังแปะปลาสเตอร์ยาบนหัวให้ โจวจิ้งก็พูดขึ้นว่า
“ฉันเป็นทนาย ส่วนนายเป็นหมอ ก็ดูเข้ากันดีนะ”
ประโยคนี้ทำเฮ่อซวินแทบสำลักน้ำลาย ขาที่กำลังคุกเข่าของเขาเกิดทรงตัวไม่อยู่และเซไปด้านหน้า
“นายเป็นลมเหรอ?” โจวจิ้งตกใจ
เฮ่อซวินส่ายหน้าแล้วยันตัวลุกขึ้น
“ตัวก็หนัก ล้มทับฉันแบบนี้ได้แบนกันพอดี!”
ได้ยินที่อีกฝ่ายบ่น เขาก็รู้สึกหมั่นไส้จึงแกล้งขึ้นคร่อมเสียเลย
“แบนงั้นเหรอ?”
พอถูกคร่อม โจวจิ้งก็รู้สึกเสียเปรียบและรู้สึกถึงอันตรายในเวลาเดียวกัน
สายตาที่เคยเย็นชาเจืออบอุ่นอ่อนโยนของเฮ่อซวินเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์และทรงอำนาจตามฮอร์โมนเพศชายที่เขามี
“ฉันแค่พูดเล่น ไม่ได้ว่านายสักหน่อย” เธอพยายามใช้สองมือดันหน้าอกของอีกฝ่ายให้ยกขึ้น
“ทนไม่ไหวแล้วเหรอ?”
“หนักจะตาย ใครจะไปทนไหว!”
เด็กมัธยมสมัยนี้ชอบทำตัวล่อแหลมกันจัง โลกเปลี่ยนไปเร็วจนเธอตามไม่ทันแล้ว
เฮ่อซวินยังคงจ้องเธอด้วยแววตาว่างเปล่า ก่อนจะค่อยๆ ขยับเข้าใกล้มากขึ้น
โจวจิ้งตื่นเต้นแทบบ้า นิ่งมองเด็กหนุ่มที่กำลังคร่อมร่างพลางกรีดร้องในใจ—อกอีแป้นจะแตก!
ถ้าเขาอยากจูบเธอก็พร้อมให้จูบ จะถือว่าการได้จุมพิตกับหนุ่มหล่อครั้งนี้เป็นการใช้แต้มบุญเก่าที่เคยสะสมมาในอดีตชาติ
สวรรค์คงอยากให้เธอได้เรียนรู้ความตื่นเต้นเร้าใจอย่างวัยรุ่นบ้างแล้ว
ทั้งคู่อยู่ห่างกันเพียงไม่กี่เซ็นต์ แต่เฮ่อซวินกลับไม่ทำอะไรแล้วเอื้อมมือไปแปะปลาสเตอร์บนหัวให้แทน จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าท่าทางปกติ
“ตื่นเต้นทำไม?” เขาขมวดคิ้ว
โจวจิ้งลุกพรวด หัวใจเต้นรัว “ตื่นเต้นตรงไหน ไม่เห็นจะมีอะไรเลย!”
“งั้นเหรอ?” เฮ่อซวินหัวเราะแล้วเดินถือกล่องยาออกจากห้องไป
โจวจิ้งรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นดู ปากก็บ่นแก้เขินไปด้วย “ป้าเฉินมาถึงรึยังนะ…”
พออีกฝ่ายคล้อยหลังไป เธอก็ยกมือขึ้นทาบอกแล้วบ่นกับตัวเอง—แก่แล้วก็แบบนี้ หวั่นไหวง่ายกว่าตอนเป็นสาวเยอะเลย
หากใครได้เจอแบบเธอคงรู้สึกเขินเป็นธรรมดา แค่ต้องปรับตัวให้ทันเท่านั้น
ยังไม่ทันหายตื่นเต้นดี เฮ่อซวินก็ผลักประตูเข้ามา
โจวจิ้งที่กำลังนั่งลูบหน้าอกอยู่ตกใจและเผลอฟาดมือใส่หน้าอกเต็มแรง
แค่กๆๆ!
พอเห็นว่าเธอสำลัก เขาก็ยัดนมอุ่นๆ แก้วหนึ่งใส่มือ
“ไหนบอกว่าไม่ตื่นเต้นไง?”
“ไปไกลๆ เลย!”
v
แสงอาทิตย์เดือนห้าเริ่มมีกลิ่นอายของฤดูร้อนแล้ว
“ดำสลวย น้ำลายหกรู้ตัวหรือเปล่า?!” โจวเสี่ยวหยีตะโกนปลุก
โจวจิ้งสะดุ้งตื่นจากความฝัน ลุกขึ้นนั่งจับหัวตัวเองพร้อมกับขยี้ตา
“อย่าบอกนะว่าเมื่อคืน…” เธอหันไปถามน้องชาย
เตียงก็ไม่คุ้น ผ้าห่มก็ไม่คุ้น แสดงว่าเมื่อคืนพวกเธอไม่ได้กลับบ้านแน่นอน
เธอจำได้ว่านั่งรอโทรศัพท์จากป้าเฉินอยู่ในบ้านของเฮ่อซวิน แล้วจู่ๆ ฟ้าก็สว่าง โจวจิ้งเดินงัวเงียออกจากห้องแล้วก็พบว่าเฮ่อซวินกำลังจัดโต๊ะกินข้าว ขณะที่เขายืนอุ่นนมในไมโครเวฟ เธอก็ถาม
บางอย่างจากทางด้านหลัง
“ทำไมไม่ปลุกฉันให้กลับบ้าน?” โจวจิ้งเงียบไปพักหนึ่งแล้วถามต่อด้วยสีหน้าเป็นกังวล “หรือว่า… นายวางยาสลบในนม!”
เธอจำได้ว่าเฮ่อซวินยื่นนมอุ่นๆ ให้ดื่ม แล้วภาพก็ตัดไป
“บ้านของนายมีกล่องยาใบใหญ่ คงมียานอนหลับด้วยสินะ!”
เฮ่อซวินขี้เกียจเถียงจึงตอบเพียงว่า “แปรงสีฟันอยู่ในห้องน้ำ จะทำอะไรก็รีบไปทำ เสร็จแล้วค่อยมากินข้าว” เขาเงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “อย่าให้แผลโดนน้ำล่ะ”
“อย่ามาเปลี่ยนเรื่อง!” โจวจิ้งพูดเสียงดัง “ฉันต้องรีบกลับบ้าน ป้าเฉินเป็นห่วงแย่แล้ว!”
“ฉันรับสายป้าเฉินแล้ว” เฮ่อซวินตอบ
“แล้วไงต่อ?”
“ก็ไม่มีอะไร”
“ป้าเฉินไม่ได้พูดอะไรกับนายเลยงั้นเหรอ? เป็นไปได้ยังไงสาวสวยวัยกำลังโตอย่างฉันอยู่กับผู้ชายทั้งคืนป้าแกควรจะสงสัยบ้างนะ!”
เฮ่อซวินยักไหล่แล้วไม่พูดอะไรต่อ
“นายต้องพูดอะไรที่ทำให้ป้าแกไว้ใจและไม่ดูเป็นคนร้ายใช่ไหม?!”
“ฉันแค่ส่งรูปไปให้เอง” เขาตอบเสียงเรียบเหมือนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
“รูป? นายส่งรูปอะไรไป?” โจวจิ้งรู้สึกได้ว่าต้องไม่ใช่เรื่องดี
พอเห็นรูปที่เขาส่งให้ป้าเฉิน เธอก็อยากจะหงายหลังเป็นลม
ในรูปโจวจิ้งนอนหงายแผ่แขนอ้าซ่า ขาข้างหนึ่งยื่นออกมานอกผ้าห่ม ดูสบายๆ ไร้ซึ่งมารยาทอันงดงาม ด้วยความคมชัดของกล้องทำให้เห็นรอยน้ำลายซึ่งเปียกอยู่บนหมอนอย่างชัดเจน
“นี่มันอะไรกัน?” เธอยื่นมือถือคืนให้เฮ่อซวิน เหนื่อยใจจนพูดไม่ออก
ฝีมือการถ่ายรูปของเขาแย่มาก จากสาวสวยน่ารักคนหนึ่งกลายเป็นยัยเพิ้งน้ำลายยืดเพียงชั่วข้ามคืน
“ผมหิวแล้ว” โจวเสี่ยวหยีพูดแทรก
“กินๆๆ วันๆ รู้จักแต่เรื่องกิน!” โจวจิ้งบ่นน้องชาย
แม้เฮ่อซวินจะเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟังแล้ว แต่เธอก็ยังโทรหาป้าเฉินเพื่อความสบายใจ
ป้าเฉินเล่าว่าโจวจิ้งหลับไปแล้วตอนได้รับสายจากเฮ่อซวิน
ฟังเขาพูดไปสักพัก เธอก็รู้สึกไว้ใจจึงฝากทั้งสองไว้ที่บ้านของอีกฝ่ายเพราะต้องอยู่จัดการกับโจวฉีเทียนที่เมาหนักและอารมณ์ไม่ดีก่อน
หลังตื่นนอนในตอนเช้า โจวฉีเทียนถามหาลูกๆ อีกครั้ง ซึ่งป้าเฉินได้บอกว่าไปค้างบ้านเพื่อน เขาได้ฟังก็นิ่งไปพักหนึ่งแล้วจึงเดินออกจากบ้าน
พอวางสายจากป้าเฉิน โจวจิ้งก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกแล้วเดินไปล้างหน้าแปรงฟัน
ที่โต๊ะกินข้าว โจวเสี่ยวหยีกินขนมปังด้วยความหิวโหย
แม้เฮ่อซวินจะไม่ใช่เชฟมือทอง อาหารที่ทำก็มีเพียงนม ไข่ดาว และขนมปังปิ้งง่ายๆ แต่เพราะโจวเสี่ยวหยีใช้พลังงานไปเยอะ อาหารเช้าบนโต๊ะจึงถูกจัดการจนเรียบ
“พวกเธอจะกลับกันยังไง?” เฮ่อซวินกินไปถามไป
โจวจิ้งก้มมองชุดนอนที่ใส่อยู่ “นั่นสิ จะกลับยังไงดี?”
เมื่อคืนบนถนนไม่ค่อยมีคน ใส่ชุดนอนเดินก็ไม่รู้สึกอะไรมาก แต่ตอนนี้ฟ้าสว่างแล้ว ถ้าเดินกลับในสภาพเดิมคงมีคนคิดว่าเธอไปปาร์ตี้ชุดนอนมาแน่นอน
โจวจิ้งกลืนขนมปังลงคอแล้วหันไปพูดกับเฮ่อซวิน “ขอยืมเสื้อให้เจ้าตัวเล็กใส่ได้ไหม? ฉันกลับชุดนี้ได้บ้านไม่ได้ไกลมาก ขายหน้ามาแล้วตั้งหลายเรื่องแค่นี้เล็กน้อยมาก”
“กลับบ้านตอนนี้จะไม่เป็นไรใช่ไหม?” เฮ่อซวินชักไม่มั่นใจ
“ไม่เป็นไรหรอก พ่อฉันไม่อยู่บ้าน”
เธอรู้ดีว่าโจวฉีเทียนจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น อาจลืมที่เคยพูดเมื่อคืนไปหมดแล้วด้วย หรืออาจจำได้แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ แต่เรื่องนี้ไม่สำคัญกับโจวจิ้งอีกแล้ว
ในเมื่อเขาตัดสินใจแบบนี้เพราะยังรับความจริงไม่ได้ เธอก็จะไม่รื้อฟื้นเพราะไม่อยากสร้างบาดแผลในใจให้เขา ต่อให้พูดกันตรงๆ ก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น หากเลี่ยงได้ก็อยากเลี่ยงไปก่อน อีกไม่นานทุกอย่างคงเข้าร่องเข้ารอยเอง
เธอก้มหน้าดื่มนมด้วยใจที่ห่อเหี่ยว แต่แล้วเสียงไขประตูก็ดังขึ้น
โจวจิ้งหันไปสบตากับเฮ่อซวินราวกับต้องการคำตอบ
เฮ่อซวินก็ขมวดคิ้วสงสัยเช่นกัน แต่ไม่นานสีหน้าของเขาก็กลับเป็นปกติ
ประตูถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วโดยที่ทุกคนไม่ทันตั้งตัว
ชายหญิงวัยกลางคนคู่หนึ่งปรากฏตัวขึ้น ฝ่ายชายรูปร่างสูงใหญ่ ท่าทางสง่าผ่าเผย ส่วนฝ่ายหญิงก็หน้าตาสะสวย ท่าทางสุภาพอ่อนโยนและดูเป็นมิตร
ทุกคนต่างพูดอะไรไม่ออก ได้แต่จ้องหน้ากันไปมา
“พี่ชายกับพี่สาวของพี่เฮ่อเหรอ?” โจวเสี่ยวหยีโพล่งขึ้น
โจวจิ้งยอมใจน้องชายของตัวเองมาก ดูเหมือนเขาจะปากหวานโดยกำเนิด ยิ่งหน้าตาน่ารักปานตุ๊กตาลูกเทพแบบนี้ คนที่ได้ฟังก็ยิ่งหลงคารมกันไปใหญ่
เมื่อชายหญิงวัยกลางคนได้ยินคำพูดของโจวเสี่ยวหยี สีหน้างุนงงของพวกเขาก็เปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส แววตาเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู
“เสี่ยวซวิน พวกเขาคือ?” ฝ่ายหญิงถามขึ้นก่อน
“เพื่อน” เฮ่อซวินตอบสั้นๆ
เห็นเช่นนี้โจวจิ้งก็รีบยืนขึ้นทักทายอย่างนอบน้อม
“เธอคือโจวจิ้งใช่ไหม?” หญิงวัยกลางคนถามต่อ
โจวจิ้งชะงักแล้วหันไปมองเฮ่อซวิน—พูดถึงฉันกับคนในบ้านด้วยเหรอนี่? คงรู้กันหมดแล้วสิว่าฉันเกเรแค่ไหน!
ปฏิกิริยาของโจวจิ้งทำอีกฝ่ายหัวเราะด้วยความเอ็นดู “ได้ยินเสี่ยวฉีพูดถึงเธอว่าเป็นเพื่อนสนิทของเสี่ยวซวิน”
เสี่ยวฉีที่ไหนอีกล่ะเนี่ย?—โจวจิ้งทำหน้างง
“อาจารย์ฉี ครูประจำชั้นของเธอเป็นน้องชายฉันเอง แล้วก็เป็นน้าของเสี่ยวซวินด้วย”
ที่แท้เขาก็เป็นหลานของอาจารย์ฉี แต่ดูยังไงก็ไม่เหมือน พูดง่ายๆ คือเฮ่อซวินไม่ใช่คนอบอุ่นอ่อนโยนเหมือนอย่างคนอื่นๆ ในครอบครัว
“เสี่ยวจิ้ง”
แม่ของเฮ่อซวินเป็นคนไม่ถือตัว เข้ากับคนอื่นง่าย ดูได้จากการเรียกโจวจิ้งอย่างสนิทสนมในเวลาเพียงไม่กี่นาที
“เมื่อคืนค้างที่นี่เหรอ?” เธอถาม
ประโยคนี้ทำพ่อของเฮ่อซวินที่ยืนอยู่ด้านหลังกระแอมเบาๆ