หัวโจก - ตอนที่ 54.ผมจัดการเอง
เห็นโจวจิ้งไม่ตอบ แม่ของเฮ่อซวินก็กวาดตามองไปทั่วบ้านราวกับต้องการหาเบาะแส
เด็กสาวคนหนึ่งกับน้องชายในชุดนอนกำลังนั่งกินข้าวกับลูกชายของเธอในบ้าน มองยังไงก็หาความบริสุทธิ์ไม่เจอ
แทนที่พวกเขาจะตะลึงและแสดงความไม่พอใจเมื่อเห็นเธอแอบมาค้างกับลูกชาย กลับยิ้มกรุ้มกริ่มด้วยความยินดีเสียนี่
“พวกเขาถูกขโมยกระเป๋าสตางค์ที่ร้านสะดวกซื้อ เข้าบ้านไม่ได้ เลยขอมารอคุณพ่อที่นี่” เฮ่อซวินอธิบาย
โจวเสี่ยวหยีหันมองเฮ่อซวินเพราะรู้ว่าเขาโกหก แต่กลับถูกโจวจิ้งเตือนด้วยสายตาจึงต้องก้มหน้างุด
“เข้าใจแล้ว” เธอเชื่อคำพูดของลูกชายแต่ยังคงถามต่อ “แล้วทำไมต้องใส่ชุดนอน?”
“พอดีหิวตอนดึก” เฮ่อซวินตอบหน้านิ่ง
แม่ของเขาพยักหน้าแล้วส่งยิ้มให้โจวจิ้ง “เสี่ยวซวินทำอะไรให้กินล่ะ? อิ่มกันหรือเปล่าน้าจะได้ไปทำกับข้าวเพิ่มให้” พูดจบก็หันไปทางพ่อของเฮ่อซวิน “ยืนนิ่งอยู่ทำไมคะ ชงชาให้เด็กๆ ดื่มสิ”
โจวจิ้งปรับตัวกับความกระตือรือร้นของทั้งคู่แทบไม่ทัน สภาพของพวกเขาไม่ต่างจากตอนที่โจวเสี่ยวหยีพยายามยื้อเพื่อนอนุบาล
ไม่ให้กลับบ้าน
“ไม่เป็นไรครับแม่ เธอต้องรีบไปแจ้งความที่โรงพัก” เฮ่อซวินยังคงโกหกต่อ โดยมีโจวจิ้งยืนมองเงียบๆ
“อยากให้ช่วยอะไรไหม? แม่มีเพื่อนเป็นตำรวจ เผื่อช่วยอะไรได้” เธอเสนอ
“ไม่เป็นไร ผมจัดการเอง” เฮ่อซวินปฏิเสธทุกทาง
หลังถูกปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย แม่ของเขาก็หันไปทางโจวเสี่ยวหยีแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี “คุณพ่อ วานหยิบลูกอมมาให้หลานกินหน่อย”
โจวจิ้งรีบหันไปกระซิบบอกเฮ่อซวิน “ขอบใจมากนะ”
ถึงเขาจะโกหกไม่เก่งและอาจถูกจับได้ แต่โจวจิ้งก็ซาบซึ้งใจอย่างมาก
ถ้าเฮ่อซวินสารภาพออกไปตรงๆ ว่าพ่อของโจวจิ้งเมาแล้วอาละวาดปาแก้วใส่กำแพงจนเธอได้รับบาดเจ็บ ซ้ำยังขังเธอกับน้องชายไว้นอกบ้านท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บอีก คงไม่มีใครรับได้แน่นอน
“กินข้าวเถอะจะได้รีบไป” เฮ่อซวินพูด
หลังกินข้าวเสร็จ แม่ของเฮ่อซวินก็ให้โจวจิ้งยืมเสื้อผ้าเพราะหุ่นไล่เลี่ยกัน ส่วนโจวเสี่ยวหยีก็ได้เสื้อยืดตัวใหญ่ของเฮ่อซวินมาสวม
“แล้วมาเที่ยวใหม่นะ” แม่ของเฮ่อซวินทำหน้าเสียดาย “จะทำกับข้าวอร่อยๆ ให้ทาน”
นี่มันบทของแม่สามีดีเด่นกับว่าที่ลูกสะใภ้หรือเปล่า?—เธอแอบเข้าข้างตัวเอง
หลังกล่าวลาผู้ใหญ่เรียบร้อย เฮ่อซวินก็เดินไปส่งโจวจิ้งที่บ้าน
“บุญคุณครั้งนี้ฉันจะไม่มีวันลืมเลย มีอะไรให้ช่วยบอกได้เลยนะ” เธอพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อืม” เฮ่อซวินพยักหน้า
“เย็นชาอีกแล้ว” โจวจิ้งเบ้ปากแล้วจูงน้องชายเข้าคอนโด
โจวฉีเทียนไม่อยู่บ้านตามคาด มีแค่ป้าเฉินที่กำลังเก็บกวาดบ้านอยู่
โจวจิ้งพาโจวเสี่ยวหยีไปอาบน้ำแล้วค่อยกลับเข้าห้องนอนของตัวเอง
เหตุการณ์เมื่อคืนถูกบันทึกลงไดอารี่ทั้งหมด หลังวางปากกาเธอก็นั่งถอนหายใจที่ปลายเตียง—อุตส่าห์หาเป้าหมายชีวิตเจอ ทำไมสวรรค์ต้องกลั่นแกล้งด้วย!
เป็นลูกเศรษฐีได้ไม่กี่วัน ครอบครัวของโจวจิ้งก็ล้มละลายแถมต้องย้ายบ้านหนีอีก
เธอไม่ได้กลัวลำบาก เพราะหนักกว่านี้ก็ผ่านมาแล้ว ซ้ำยังมั่นใจว่าความสามารถที่มีจะทำให้ผ่านเรื่องนี้ไปได้ แต่ที่กังวลกลับเป็นเรื่องของโจวฉีเทียนมากกว่า
เขาคือบาดแผลเล็กๆ ที่ซ่อนอยู่ในความมืด ต่อให้ไม่มีผลกระทบต่อชีวิตก็มองข้ามไปไม่ได้
ขณะกำลังครุ่นคิด ข้อความจากเฮ่อซวินก็เด้งขึ้นในมือถือ
“มีเรื่องอยากให้ช่วย”
เมื่อหนึ่งชั่วโมงที่แล้วเธอเพิ่งบอกไปว่าจะตอบแทนบุญคุณแต่มันเร็วเกินไปไหม!
“ได้สิ เรื่องอะไรล่ะ”
“ลงมาก่อน” เขาพิมพ์ตอบอย่างรวดเร็ว
เธอรู้สึกสังหรณ์ใจจึงวิ่งไปที่หน้าต่าง
ที่ด้านล่าง เฮ่อซวินยืนอยู่หน้าคอนโดพร้อมกับจักรยานสองคัน
“ขี่จักรยานเนี่ยนะ!”
โจวจิ้งคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมาชวนขี่จักรยาน
“ใกล้สอบแล้วยังทำตัวว่างอยู่อีก ไม่รีบอ่านหนังสือเหรอ?” เธอแซว
“ฉันเบื่อ” พูดจบเฮ่อซวินก็ดันจักรยานอีกคันให้เธอ “ขี่เป็นไหม?”
“ไม่อยากจะพูดว่าฉันน่ะเทพเรื่องจักรยานมาก เมื่อก่อนขี่มือเดียวไปโรงเรียนด้วยนะ” เธอคุยโม้ใหญ่โต
โรงเรียนของโจวจิ้งอยู่ห่างจากบ้านมาก ทุกวันจึงต้องขี่จักรยานไปด้วยกินข้าวเช้าไปด้วย ยิ่งวันไหนขี่เร็วก็จะยิ่งดูเท่ หากเป็นผู้ชายสาวๆ คงกรี๊ดสลบไปแล้ว
แต่หลังจากเข้ามหาวิทยาลัย เธอก็ไม่แตะจักรยานอีกเลย
“ไม่เคยเห็นเธอขี่สักครั้ง” เฮ่อซวินทำหน้าไม่เชื่อ
“ฉันพูดถึงสมัยประถมน่ะ”
โจวจิ้งกลอกตา เพราะตอนที่เธอขี่จักรยาน เขาน่าจะเพิ่งเกิดหรือหัดคลานอยู่
“เก่งเหลือเกินนะ” เขาทำเสียงประชด
“ไปขี่ที่ไหนกันดี?” โจวจิ้งเปลี่ยนเรื่อง
“ตามมา”
เฮ่อซวินขี่จักรยานออกนอกคอนโดโดยมีโจวจิ้งขี่ตาม แต่เพราะไม่ถนัดและไม่มั่นใจ เธอจึงขี่ค่อนข้างช้า
ปกติหญิงวัยทำงานที่แต่งตัวดีแต่งหน้าเป๊ะจะถูกมองด้วยสายตาแปลกๆ หากขี่จักรยาน แต่พอเป็นเด็กมัธยมวัยใส กลับถูกมองว่าเป็นเรื่องดีงามสมวัย
เฮ่อซวินพยายามรักษาความเร็วให้เป็นปกติ โจวจิ้งจะได้ตามทัน
ขี่กันไปได้สักพัก เธอก็นึกคะนองแล้วปล่อยมือข้างหนึ่งเหมือนตอนเป็นเด็ก ทำให้เกือบล้มอยู่หลายรอบจนถูกเฮ่อซวินดุด้วยสายตา
พวกเขาขี่ผ่านเขตหนานซินเข้าสู่เส้นทางชนบท ผ่านไปนานกระทั่งเหงื่อผุดพรายขึ้นบนหน้าผากของโจวจิ้ง เฮ่อซวินก็หยุดตัวลง
ตรงนี้คือทางขึ้นเขาที่ทะนุบำรุงเรียบร้อยแล้ว ตรงไปอีกนิดคือสวนสาธารณะที่ชอบมีคนมาวิ่งจ๊อกกิ้งตอนเช้า
“พักก่อนเถอะ ฉันเหนื่อยแล้ว” โจวจิ้งหอบตัวโยน
ทั้งคู่เข็นจักรยานไปจอดที่ด้านข้างแล้วเดินไปนั่งชมวิวเมืองที่ม้าหินริมภูเขา
พระอาทิตย์ยังคงถูกเมฆบดบัง ลมพัดผ่านเบาๆ ให้ความรู้สึกเย็นสบาย
“ขอบคุณนะ” เธอรับน้ำจากเฮ่อซวินแล้วดื่มอย่างกระหาย
เขาดื่มน้ำคำหนึ่งแล้วก้มมองวิวเมือง “อารมณ์ดีขึ้นหรือยัง?”
เฮ่อซวินรู้ว่าโจวจิ้งอารมณ์ไม่ดีเลยพาออกมาขี่จักรยานเล่น
“โอเคแล้ว ขอบใจนะ” เธอส่งยิ้มให้
“แค่กลัวว่าเธอจะสอบได้คะแนนไม่ดีแล้วคะแนนเฉลี่ยของห้องจะถูกฉุดน่ะ” เขาตอบเสียงเรียบ
โจวจิ้งเริ่มชินกับนิสัยปากไม่ตรงกับใจของอีกฝ่ายจึงยิ้มตอบ
“ถ้าฉันสอบได้คะแนนไม่ดี นายก็สอบให้ได้คะแนนดีกว่าเดิมสิ”
ทั้งคู่นั่งชมวิวเงียบๆ โดยไม่รู้สึกถึงความอึดอัด ตรงกันข้ามกลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก หรือเพราะพวกเขากลายเป็นเพื่อนสนิทแบบไม่รู้ตัวกันไปแล้ว…
เด็กหนุ่มยังคงก้มมองวิวเมือง ท่าทางสงบนิ่งและมั่นคงของเขาไม่ต่างจากต้นไม้ต้นใหญ่ที่คอยให้ความร่มเย็นแก่คนรอบข้างมอบความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยให้ ไม่หยิ่งทะนงแต่แฝงไปด้วยความอ่อนโยนที่ผสมผสานกันเป็นอย่างดี
ถ้าชาติที่แล้วเธอได้เจอผู้ชายแบบเขา คงไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือ มั่นใจด้วยว่าชีวิตที่จะร่วมสร้างด้วยกันต้องเต็มไปด้วยสีสันอย่างแน่นอน
แต่ด้วยสถานการณ์ที่ไม่มั่นคงในตอนนี้ ต่อให้เจอเขาแล้วจะทำอะไรได้
“เฮ่อซวิน”
“ว่า?”
“ถามอะไรหน่อยได้ไหม?”
“ว่ามา”
“ถ้านายมีคนที่รักมากๆ หรือเจอสิ่งที่อยากทำมากๆ แต่อาจไม่มีวันเป็นไปได้ รู้ด้วยว่าหากตัดสินใจผิดพลาดอาจส่งผลกระทบต่อคนอื่น แต่ก็ไม่อยากปล่อยให้หลุดมือ นายจะทำยังไง?”
“งั้นก็ทำเลย” เฮ่อซวินตอบโดยไม่เสียเวลาคิด
“คิดหน่อยก็ได้นะ อย่างน้อยก็แสดงความจริงใจน่ะ” โจวจิ้งกลอกตา
“ถ้าไม่ทำจะรู้ได้ไงว่าผลลัพธ์ดีหรือไม่ดี ยอมแพ้ก่อนลงมือไม่ใช่นิสัยของฉัน หรือว่าเธอเป็น?” เขาจ้องตาราวกับกำลังอ่านใจ
แม้จะเป็นคำถามง่ายๆ แต่ก็จี้ใจดำจนโจวจิ้งพูดไม่ออก
จริงของเขา ถ้าผลลัพธ์ที่ได้มีโอกาสจะออกมาดีทำไมถึงไม่ลองก่อนล่ะ?
วัยรุ่นก็แบบนี้ กล้าเสี่ยงเพราะไม่มีอะไรต้องเสีย เดินทางผิดก็แค่เริ่มต้นใหม่ ส่วนคนแก่ก็มักจะกลัวนั่นกลัวนี่ กลัวล้ม กลัวการเริ่มต้นใหม่จนเผลอทิ้งความฝันของตัวเองไป
ฤดูร้อนมักให้ความรู้สึกเหมือนชีวิตมีแสงสว่างนำทาง
แม้จะผ่านเรื่องราวมามากมาย แต่เมื่อนึกถึงเหตุการณ์สมัยยังเด็ก โจวจิ้งก็ไม่ลืมความรู้สึกของการคาดหวัง
คาดหวังที่จะไม่เดินทางผิด คาดหวังที่จะได้ทำหลายสิ่งที่ไม่เคยมีโอกาส ต่อให้ทำไม่สำเร็จก็ไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจ ขอเพียงมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จเป็นพอ
ชีวิตคนเรามีแค่ไม่กี่สิบปี ที่น่าเศร้าคงเป็นการใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองไม่ชอบ ในเมื่อเธอเคยมีประสบการณ์แบบนี้แล้วรอบหนึ่ง จะไม่ยอมให้มีรอบสองอีกแน่นอน
คนเราควรเดินทีละก้าวกินข้าวทีละคำ แม้จะวุ่นวายสับสนเพียงใด แต่เรื่องบางเรื่องต้องค่อยๆ คิด ค่อยๆ แก้ปัญหา ค่อยๆ จัดการไปทีละเรื่อง สักวันทุกอย่างจะดีขึ้นเอง ไม่ควรปฏิเสธโอกาสเพียงเพราะหวาดกลัวสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
เมื่อตัดสินใจได้ โจวจิ้งก็รู้สึกโล่งอกราวกับสายลมในช่วงบ่ายได้พัดพาเมฆดำออกไปจากใจแล้ว
เธอเปล่งเสียงหัวเราะอย่างมีความสุข จนเฮ่อซวินปรับอารมณ์ไม่ทัน
“ถ้าอยากเป็นทนายก็ลองเลือกคณะนิติศาสตร์ของมหาวิทยาลัย G สิ” เขาแนะนำ
“อยากอยู่เหมือนกัน แต่ที่นั่นใช้คะแนนสูงมาก อาจไม่ง่ายอย่างที่คิด”
เฮ่อซวินก้มมองขวดน้ำแล้วพูดต่อ “มหาวิทยาลัย A กับมหาวิทยาลัย G ห่างกันแค่ถนนเดียว”
“อ้อ”
ยิ่งเธอทำหน้าเฉยๆ เขาก็ยิ่งไม่พอใจ จึงพูดย้ำอีกครั้ง
“ใกล้มาก”
“อื้ม”
เฮ่อซวินสูดหายใจเข้าลึกแล้วพูดขึ้นว่า “ยื่นด้วยกันนะ”
“พูดตั้งแต่แรกก็หมดเรื่อง อ้อมไปอ้อมมาอยู่ได้” โจวจิ้งกลอกตา