หัวโจก - ตอนที่ 58.ไม่อยากได้โว้ย!
“คนนอกยังไงก็สู้ลูกสาวไม่ได้” เธอยังคงออกความเห็น “ตอนเสี่ยวจิ้งอยู่ กตัญญูจะตาย…”
เสี่ยวจิ้งหรือโจวจิ้งคือเธอนั่นเอง
ฟังถึงตรงนี้ความทรงจำในอดีตก็ผุดขึ้นราวกับกรอเทป ปะติดปะต่อกันจนเป็นเรื่องราวในหัว
หลังตายในห้องคลอด วิญญาณของเธอก็ถูกส่งไปอยู่ในร่างสก๊อยสาววัยสิบแปดปี
เดี๋ยวก่อนนะ! เธอเพิ่งสอบเอ็นทรานซ์เสร็จไม่ใช่เหรอ ทำไมถึงกลับมาอยู่ในร่างนี้ได้?
นึกออกแล้ว ก่อนหน้านี้เธอโดนชายผมยาวชนจนตกบันไดหัวกระแทกพื้น แล้วภาพก็ตัดมาเป็นเธอในอดีตชาติอย่างที่เห็น
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ดูเหมือนจะไม่มีใครได้ยินทั้งแม่ของเธอและป้าข้างบ้าน
โทรศัพท์ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดดัง โจวจิ้งจึงเดินตามเสียงเข้าไปในบ้านด้วยใจที่เต้นรัว กระทั่งพบกับมือถือลายเสือดาวที่วางอยู่ขอบหน้าต่างริมระเบียง
ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่อีกร้อยรอบ เธอก็จำมือถือเครื่องนี้ได้ สิ่งที่ทำให้ชีวิตของเธอวุ่นวายอย่างหนัก!
ทั้งน้ำฝนที่กระเซ็นเข้ามา ทั้งลมพายุ ไม่ได้ทำให้มือถือกระดาษเครื่องนี้สะทกสะท้านและปลิวหายไปกับสายลมเลย
โจวจิ้งกดรับ ปลายสายยังคงเป็นโอเปอเรเตอร์เสียงหวานคนเดิม
“ขออภัยที่รบกวนนะคะ ดิฉันโทรจากสวรรค์เซอร์วิส 000000 เสียใจด้วยกับเหตุการณ์การแลกแต้มบุญที่ผิดพลาด”
“เสียใจเรื่องอะไร?” โจวจิ้งไม่เข้าใจ
“เนื่องจากระบบที่ขัดข้องทำให้ทางเราบริการได้ไม่ทั่วถึง ชีวิตของคุณจึงต้องประสบกับความวุ่นวาย ดิฉันซึ่งเป็นตัวแทนของบริษัท ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกำลังเร่งแก้ไขให้ ประมาณหนึ่งเดือนทุกอย่างจะกลับสู่ภาวะปกติ รบกวนติดต่อเข้ามาอีกครั้งในภายหลัง”
“พูดบ้าอะไรกันเนี่ย? ขอภาษาคนได้ไหม!” โจวจิ้งเริ่มรำคาญ
“ระบบของเราเกิดความผิดพลาด สลับบริการของคุณกับอีกท่านที่มีชื่อนามสกุลเดียวกัน ตอนนี้ได้ทำการตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว อีกสามสิบวันจึงจะกลับสู่ภาวะปกติ”
โจวจิ้งอึ้งไปพักหนึ่ง เธอเริ่มกระจ่างในทุกข้อสงสัยแล้ว
ตอนที่เธอเสียชีวิตในห้องคลอด โจวจิ้งอีกคนก็ถูกผลักตกบันไดพอดี หมอคิดว่าเธอเป็นลมจึงพาไปนอนให้น้ำเกลือในห้องพยาบาล
ด้วยความที่ระบบของสวรรค์เซอร์วิสล่ม เธอที่สมควรจะไปเกิดใหม่จึงเข้าไปอยู่ในร่างของเด็กมัธยมปลายที่ชื่อโจวจิ้งเหมือนกัน ส่วนเจ้าของร่างที่แท้จริงกลับได้ไปเกิดใหม่แทน
ยิ่งคิดโจวจิ้งก็ยิ่งโมโห ได้แต่ตะโกนใส่มือถืออย่างบ้าคลั่ง
“พวกแกทำงานประสาอะไร เพิ่งจะมาตรวจพบปัญหาตอนนี้เนี่ยนะ ที่ผ่านมาชีวิตของฉันย่ำแย่แค่ไหนรู้บ้างหรือเปล่า ไม่ใช่แค่หนึ่งวัน แต่เป็นหนึ่งปี หนึ่งปีของความเฮงซวย!”
“ใจเย็นๆ นะคะ ทางเราขอมอบสิทธิพิเศษเพื่อเป็นการไถ่โทษในครั้งนี้”
“ไม่อยากได้โว้ย! บริการห่วยแตกแล้วยังกล้ามาเสนอโบนัสพิเศษอีก!”
“ต้องขออภัยจริงๆ ค่ะ ทางเราจะอัปเดตระบบให้แบบอัตโนมัติหลังครบสามสิบวันแล้ว ต้องการให้ช่วยเหลือหรือมีคำถามอะไรอีกไหมคะ?”
ฝนเริ่มตกหนักขึ้น ตามด้วยเสียงฟ้าผ่าดังลั่น
โจวจิ้งสงบสติอารมณ์แล้วตอบกลับอย่างใจเย็น “หมายความว่าฉันจะได้ไปเกิดใหม่แบบอัตโนมัติ ส่วนอีกคนที่ชื่อนามสกุลเดียวกันก็จะได้กลับมาอยู่ในร่างนี้เหมือนเดิม เข้าใจถูกไหม?”
“ถูกต้องค่ะ”
“ตามนี้!”
“ต้องขออภัยในความผิดพลาดด้วยนะคะ ขอให้มีความสุขในทุกๆ วัน สวัสดีค่ะ”
หลังวางสาย ฝนก็หยุดตกทันที ไม่มีแม้แต่ลม ต้นไม้ที่ก่อนหน้านี้ถูกพัดจนเซเริ่มหยุดนิ่ง
บนระเบียงว่างเปล่า ไม่มีคน ไม่มีมือถือ มีเพียงแมวอ้วนตัวหนึ่งที่นอนหลบฝนอยู่ใต้หลังคาบ้าน
มันหยีตามองเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ร้องเหมียวแล้วหาวหวอดอย่างเกียจคร้าน
ที่โรงพยาบาล ในห้องผู้ป่วยเต็มไปด้วยกระเช้าผลไม้และดอกไม้
ญาติและเพื่อนๆ ทยอยกันมาเยี่ยมเธอแบบไม่ซ้ำหน้า กระเช้าถูกยกเข้ามาในห้องไม่ขาดสายจนล้อมรอบเตียงคนไข้ได้พอดี
โจวจิ้งนั่งพิงหมอน ข้างกายมีโจวเสี่ยวหยีคอยปอกแอปเปิลให้กิน
เจ้าตัวเล็กปอกอย่างทะมัดทะแมงและเสียของในเวลาเดียวกัน แต่ก็ยังคงนั่งหลังตรง ใจจดใจจ่อกับผลไม้และมีดในมือยิ่งกว่าตอนทำการบ้านเสียอีก
โจวจิ้งช่วยชีวิตเขาเอาไว้ จากที่เคยเรียกเธอว่า ‘สัตว์ประหลาดหัวทอง หรือ ดำสลวย’ ก็เปลี่ยนเป็นคำว่า ‘พี่’ จนเธอรู้สึกเขิน แถมเขายังนั่งเฝ้าข้างเตียงไม่ห่างตั้งแต่เช้าจรดค่ำอีก
“ว้าวๆๆ” เสียงมั่วลี่ดังขึ้นที่หน้าประตู “มีน้องชายคอยปอกแอปเปิลให้กินด้วย น่ารักจริงๆ”
เจ้าเขียวเดินตามเข้ามาพร้อมกับกระเช้าผลไม้ในมือ
“บอกว่าไม่ต้องซื้อไงล่ะ เต็มห้องจนไม่มีที่วางแล้ว” โจวจิ้งทำเสียงดุ
“พ่อฉันเก็บเองจากสวน ไม่ได้ซื้อ” มั่วลี่วางกระเช้าผลไม้แล้วนั่งลงข้างเตียง
“ลูกพี่เป็นยังไงบ้าง?” เจ้าเขียวถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก เดี๋ยวก็ได้ออกแล้ว” เธอตอบ
หมอบอกว่าสมองของเธอกระทบกระเทือนนิดหน่อย ไม่เป็นอะไรมาก อยู่ดูอาการสักสองวันก็กลับบ้านได้แล้ว แต่คนที่ไม่ยอมให้กลับคือเถาจิง
หลังตกบันไดหัวฟาดพื้น เฮ่อซวินก็พาร่างที่หมดสติของเธอส่งโรงพยาบาล
มือถือของโจวจิ้งไม่มีเบอร์ของโจวฉีเทียน เถาม่านจึงรีบโทรหาเถาจิง ซึ่งเธอก็มาหาทันทีแล้วจัดการเรื่องรักษาพยาบาลให้ทั้งหมด
อาจเพราะโจวจิ้งช่วยชีวิตลูกชายและลูกสาวของเธอเอาไว้เถาจิงจึงแวะมาเยี่ยมทุกครั้งที่ว่าง ทั้งยังไถ่ถามอาการจากหมอและพยาบาลอย่างใส่ใจตลอด
ต่อให้ไม่ใช่เถาม่านที่ถูกหลอกในวันนั้น โจวจิ้งก็ช่วยอยู่ดี เพราะรับไม่ได้ที่จะต้องเห็นใครตกเป็นเหยื่อของชายผมยาวโรคจิต
ถึงจะทำเรื่องดีๆ ให้กับสองแม่ลูกคู่นี้ แต่เธอก็ยังไม่ชินกับการเผชิญหน้าจึงแกล้งทำเป็นหลับทุกครั้งที่พวกเขามาเยี่ยม
โจวฉีเทียนก็มาเยี่ยมอยู่หลายครั้ง โดยจะมาตอนที่โจวจิ้งหลับแล้ว แต่เธอไม่รู้สึกน้อยใจ ซ้ำยังเข้าใจความรู้สึกของเขาเป็นอย่างดี
สองแม่ลูกและโจวฉีเทียนแวะเวียนมาบ่อยจนโจวจิ้งต้องแกล้งหลับไม่ต่ำกว่าสิบแปดชั่วโมง
ด้วยเหตุที่นอนมากเกินไป คุณหมอจึงเริ่มกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยของเธอ
เฮ่อซวินและหยวนคังฉีก็มาเยี่ยมบ่อยเช่นกัน ยังไม่พูดถึงความหัวร้อนของเฮ่อซวินในวันที่เห็นโจวจิ้งตกบันไดเพราะเข้าไปช่วยน้องชาย
มีเพียงหลินเกาที่มาแค่สองครั้ง และทุกครั้งจะทำเพียงมองผ่านช่องกระจกของประตูเท่านั้น
โจวจิ้งรู้สึกว่าการเข้าโรงพยาบาลครั้งนี้เหมือนเป็นฮีโร่ของคนทั้งประเทศ
“เจ๊อยากรู้เรื่องของจิงจิงไหม?” มั่วลี่กระซิบถาม
“ว่ามา”
“ชายผมยาวสารภาพว่ายัยจิงจิงเป็นคนจ้างให้ไปจัดการเถาม่าน ที่หล่อนกล้าทำเพราะรู้ดีว่าเถาม่านจะไม่แจ้งความเพราะกลัวเสียหน้า ถึงตอนนั้นหล่อนก็จะแอบปล่อยข่าวเพื่อทำลายภาพพจน์ของอีกฝ่าย” มั่วลี่ส่ายหน้าด้วยความระอา “หล่อนทำเหมือนไม่มีอะไรจะเสีย ต่อให้ถูกเพ่งเล็งว่าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ก็ไม่สนใจ ขอเพียงเถาม่านหมดอนาคต ถูกหลินเกาทิ้ง อับอายจนอยากจะเอาน้ำกรดมาสาด หล่อนก็พึงพอใจแล้ว”
โจวจิ้งกัดฟันกรอด “งูพิษชัดๆ!”
“นั่นสิ” เจ้าเขียวพูดต่อ “ผมนี่ตาสว่างเลย เมื่อก่อนคิดว่างูพิษอันตรายแล้วนะ แต่ยังสู้พิษของยัยจิงจิงไม่ได้!”
“ไหนว่าปลื้มมากไง ฮ่าฮ่าฮ่า” มั่วลี่แซว
“ใครจะไปรู้ว่าหล่อนเป็นคนแบบนั้น” เจ้าเขียวทำหน้าน่าสงสาร
“พอได้แล้ว เล่าต่อเร็ว” โจวจิ้งขัดจังหวะ
“ชายผมยาวคนนั้นเป็นพวกมิจฉาชีพ หลอกเด็กผู้หญิงหลายคนด้วยวิธีการชั่วร้ายต่างๆ นานา เถาม่านก็เป็นหนึ่งในคนที่หลงกล ยิ่งพ่อแม่มีปัญหาเรื่องหย่าร้าง เธอก็ยิ่งอยากจะหาทางลัดเข้ามหาวิทยาลัยแบบโง่ๆ แต่ยังพอมีบุญอยู่บ้าง เลยไม่พลาดท่าเสียทีให้กับคนร้าย ส่วนยัยจิงจิงก็โดนจับข้อหาว่าจ้างและสนับสนุนให้กระทำความผิดทางอาญา ตอนนี้ตำรวจกำลังหาหลักฐานเพิ่มเติมอยู่”
“แค่นี้ก็ถือว่าจบแล้วเหรอ?” โจวจิ้งไม่พอใจ
“ยังหรอก จบง่ายๆ ได้ยังไง ต้องเอาคืนให้คุ้มกับที่เจ๊ต้องเข้าโรงพยาบาลสิ!” มั่วลี่ปอกกล้วยเข้าปาก “หลังถูกจับ ยัยจิงจิงก็ถูกขุดประวัติไม่ดีขึ้นมาแฉ ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าหล่อนเป็นคนแบบไหน ยิ่งมหาวิทยาลัยที่หล่อนคิดจะสมัครใส่ใจเรื่องศีลธรรมมากๆ มีคดีติดตัวแบบนี้ใครจะกล้ารับ หมดอนาคตไม่พออยู่ในสังคมยังลำบากอีก”
“อืม” โจวจิ้งพยักหน้า
แม้เราจะถูกสอนว่าอย่ามองคนในแง่ร้าย แต่สำหรับโจวจิ้งทุกอย่างมีขีดจำกัด อายุแค่นี้ยังกล้าทำเรื่องที่เลวร้ายเกินรับได้ โตไปไม่รู้จะขนาดไหน
ผลที่จิงจิงได้รับในวันนี้คือสิ่งที่ตัวเธอสร้างขึ้นทั้งนั้น
“ฉันเล่าข่าวดีให้ฟังแล้ว เมื่อไหร่จะเล่าข่าวดีของเจ๊ให้ฟังบ้าง?” มั่วลี่ถาม
โจวเสี่ยวหยียื่นแอปเปิลหน้าตาขี้เหร่ที่เพิ่งปอกเสร็จให้โจวจิ้งพลางทำตาปริบๆ
เธอยิ้มตอบด้วยความรู้สึกชื่นชม ก่อนจะหันไปคุยกับมั่วลี่ต่อ
“ฉันมีข่าวดีอะไร?” โจวจิ้งถามกลับ
“ได้ข่าวว่าเจ๊นัดกับพวกเฮ่อซวินไปปีนเขาดูพระอาทิตย์ขึ้นกัน” มั่วลี่ทำหน้าวิงวอน “ตั้งแต่เกิดมาฉันยังไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นบนภูเขาเลย พาฉันไปด้วยนะ”
“ไปขอเฮ่อซวินเองสิ” โจวจิ้งบอกปัด
“ฉันไม่สนิทกับเขา” มั่วลี่เขย่าแขนโจวจิ้ง “นะเจ๊นะ เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ?”
“นั่นสิ ผมก็อยากเห็นพระอาทิตย์ขึ้นบนภูเขาเหมือนกัน”เจ้าเขียวรีบสำทับ
“โอเคๆ ไปด้วยกันก็ได้ เผื่ออนาคตไม่ได้เจอกันอีก”
“เจ๊พูดอะไรเนี่ย ไม่เป็นมงคลเลย!”
“ห้ามพูดอะไรแบบนี้ในโรงพยาบาลนะ!” เจ้าเขียวทำเสียงดุ
โจวจิ้งฝืนยิ้ม ในใจเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง