หัวโจก - ตอนที่ 6 ข้อสรุป
เช้าวันใหม่ โจวจิ้งคาบซาลาเปาไว้ที่ปากขณะนั่งเล่นมือถือในห้องเรียน
หลังรูดซื้อซาลาเปาไป บัตรเติมเงินก็เหลืออยู่ 30 หยวน ซึ่งพอจะซื้อบะหมี่ตอนมื้อเที่ยงได้
เมื่อเช้าเธอเห็นเฝิงเอี้ยนซื้อเครปในโรงอาหาร จึงอยากจะลองสั่งบ้าง แต่หากทำคงมีข่าวเรื่องนักเลงหัวไม้รีดไถเพื่อนร่วมชั้นเพื่อหาเงินซื้อเครปใส่ไข่ราคาสี่สิบห้าหยวนเป็นแน่
โจวจิ้งไม่อยากจะก่อเรื่องอีกเพียงหวังให้ระบบของสวรรค์ซ่อมเสร็จโดยเร็ว จะได้ไปจากร่างนี้สักที
การไม่สร้างความลำบากให้ผู้อื่น คือมาตรฐานในการดำรงชีวิตของเธอ
หลังลองสำรวจมือถือของตัวเอง โจวจิ้งก็ถอนหายใจยาว
เจ้าของร่างมีความอินดี้สูงมาก ในมือถือเมมเบอร์ไว้แค่ มั่วลี่ เคอเสี่ยวฝานหรือเจ้าเขียว และหลินเกาเท่านั้น ไม่มีชื่อของคนอื่นเลย เช่นนี้จึงไม่สามารถคาดเดาสังคมและเพื่อนฝูงของเธอได้
ส่วนข้อความก็ยิ่งแล้วใหญ่ เธอเก็บแค่แชทที่คุยกับหลินเกาเอาไว้
จะใช้คำว่า ‘คุย’ ก็ดูจะเกินไปหน่อย เพราะส่วนใหญ่ที่เห็นคือการพูดคนเดียว แชทหนักขวา เพราะหลินเกาแทบจะไม่ตอบเธอเลย
ที่เห็นตอบคงมีแค่ครั้งเดียว คือตอนที่โจวจิ้งถามว่าจะมาร่วมงานวันเกิดหรือไม่?
ซึ่งเขาก็ตอบเพียงสั้นๆ ว่า “ไม่”
คำตอบเพียงคำเดียว ถูกเจ้าตัวบันทึกเก็บไว้เป็นอย่างดี
เจ้าของร่างไม่มีวีแชท มีแค่เว่ยป๋อที่ใช้ชื่อว่า ‘หลุมดำ’
โจวจิ้งสะกดกลั้นความขำแล้วกดเข้าไปดู ในนั้นมีแต่โพสต์ที่ให้แง่คิดและกำลังใจ ราวกับอีกฝ่ายเป็นสาวน้อยใสซื่อในกระโปรงสีขาว
“ยัยเด็กนี่ต้องเป็นไบโพลาร์แน่นอน!”
ตลอดช่วงบ่าย โจวจิ้งใช้เวลาไปกับการค้นหาว่าเจ้าของร่างเป็นคนยังไง แล้วก็ได้ข้อสรุปว่า…
โจวจิ้ง เด็กสาวอายุสิบแปดปี นักเลงอินดี้ในรั้วโรงเรียน เป็นไบโพลาร์ ชอบทะเลาะวิวาท ดื่มเหล้าสูบบุหรี่ มีรอยสัก กำลังตามหารักแท้โดยมีหลินเกาเป็นพระเอก หมอนั่นเป็นเด็กเรียนตัวท็อปในห้องกิฟต์ เพื่อนเล่นสมัยยังเด็ก ก่อนหน้านี้เธอทุ่มเงินเก็บทั้งชีวิตเพื่อซื้อกล้องให้เขา ทั้งยังสมัครเข้าชมรมถ่ายรูปอีกด้วย
วันพุธนี้ กล้องที่อยู่ตรงหน้าจะกลายเป็นของขวัญวันเกิดให้กับหลินเกา
เจ้าของร่างคงอยากจะเซอร์ไพรส์อีกฝ่าย จึงนำของขวัญที่ห่อเรียบร้อยแล้วไปวางในลิ้นชักของเขาที่ห้องแล็บ
เนื่องจากห้องกิฟต์คือห้องที่ดีที่สุดของยวู่เต๋อไฮสคูล ศูนย์รวมพวกหัวกะทิ เด็กมัธยม 6 จึงมีห้องแล็บเป็นของตัวเองพร้อมที่นั่งส่วนตัว
เธอคือแฟนพันธุ์แท้ของเจ้าหลินเกา จึงใส่ใจและพิถีพิถันกับการให้ของขวัญมาก ต่างจากโจวจิ้งที่มองว่าเรื่องนี้ค่อนข้างไร้สาระ
“สาธารณะขนาดนี้ ไม่กลัวของหายรึไง?”
วันนี้คือวันที่โจวจิ้งต้องเผชิญกับภารกิจใหญ่หลวง นั่นคือการเอากล้องไปปล่อยขายในตลาดมือสอง
“ทำไมจู่ๆ ถึงอยากขายล่ะ?” เจ้าเขียวทำหน้าตกใจ “ไม่อยากเอาให้หลินเกากับมือแล้วเหรอ?”
ไม่มีจะแ—ก ละจ้า! โจวจิ้งคิดในใจและตอบกลับไปว่า “ก็แค่หน้ามืดตามัว หลงหน้าตาและความฉลาดของเด็กคนหนึ่ง แต่พอคิดดูอีกที ฉันรู้สึกว่าเขาหน้าแปลกๆ แถมยังไม่แมนอีก ก็เลยเลิกชอบและอยากเอาเงินไปหาอะไรอร่อยๆ กินมากกว่า”
เจ้าเขียวที่ปรับตัวไม่ทันพูดขึ้น “ก็เพราะเรื่องนี้ทำให้ลูกพี่ถูกเถาม่านหัวเราะเยาะแล้วผลักจนตกบันไดไม่ใช่เหรอ?”
“ผู้หญิงเปลี่ยนใจง่าย เข้าใจไหม?” โจวจิ้งกอดคออีกฝ่าย
“ไม่ต้องคิดมากหรอก เอาของคืนให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน”
นักเรียนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใช้ห้องแล็บหลังเลิกเรียน ที่ชั้นสองของตึกจึงเงียบสงัดไร้ผู้คน
ที่นั่งของหลินเกาอยู่ด้านในสุด แม้จะไม่มีกุญแจ แต่ทั้งสองก็ไม่กังวลเพราะกระจกบานที่อยู่บนสุดถูกแง้มเอาไว้เนื่องจากตัวล็อกพัง
“ที่นี่มีกล้องวงจรปิดรึเปล่า? ถ้าคนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าเรามาขโมยของจะทำยังไง?” เจ้าเขียวกระซิบ
“ในนั้นมีแต่หนังสือ!” โจวจิ้งกลอกตา “เอาของของตัวเองคืนไม่นับว่าเป็นขโมยหรอก อย่าเอาแต่ตื่นตูม มาช่วยฉันก่อน!” พูดจบก็เหยียบขอบหน้าต่างขึ้นไป
เจ้าเขียวรู้สึกจนปัญญา จึงช่วยจับขาแล้วดันตัวอีกฝ่ายขึ้นไป
โชคดีที่ห้องนี้หลบมุมเลยไม่มีใครเห็นว่าทั้งสองทำอะไรอยู่โจวจิ้งปีนอย่างกระฉับกระเฉงทั้งที่ไม่ใส่กางเกงซับใน โดยมีเจ้าเขียวใช้ไหล่พยุงตัวให้
หลังจากดันขอบหน้าต่างแล้วปีนเข้าไปราวกับกำลังฝึกวิชาตัวเบา เธอก็กระโดดลงบนโต๊ะแล้วเดินหาโต๊ะของหลินเกาอย่างรวดเร็ว
อุปกรณ์ในห้องล้ำสมัยมาก ต่างกับสมัยที่เธอเรียนฟ้ากับเหว
ยืนเหม่อไปได้สักพัก เธอก็ได้สติและรีบทำภารกิจต่อ แต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าที่นั่งของหลินเกาอยู่ตรงไหน จึงหันไปขมุบขมิบปากถามเจ้าเขียว
“เขานั่งตรงไหน?”
โจวจิ้งได้แต่ชะงักกับท่าทางเว่อวังของอีกฝ่าย แม้จะสัมผัสได้ถึงความเป็นเกย์ของเขา แต่เจ้าเขียวละเอียดอ่อนกว่ามั่วลี่มาก เธอจึงเลือกที่จะพามาด้วย
“ตกลงว่าอยู่ตรงไหน?” โจวจิ้งตัดสินใจเดินไปที่ประตูเพราะมึนกับลีลาการใบ้ของเจ้าเขียว
เพียงแค่สองก้าว ไฟทุกดวงในห้องแล็บก็สว่าง ประตูถูกเปิดออก ตามด้วยคนอีกสองคนที่เดินเข้ามา
“มาขโมยของเหรอ?” คนที่เดินนำหน้าถามขึ้น
เจ้าเขียวยืนหน้าซีดอยู่นอกหน้าต่าง จะหนีก็หนีไม่ได้
โลกนี้มีคนอยู่สองประเภท ประเภทแรกคือพวกที่ส่องแสงออร่าจากภายในสู่ภายนอก ประเภทที่สองคือดับสนิททั้งภายในและภายนอก
แม้จะช่วยเสริมด้วยการแต่งหน้าแต่งตัวให้ดูดี แต่เมื่ออยู่ในวัยเรียน ทุกคนจึงต่างกันไม่มาก ยกเว้นคะแนนสอบที่จะช่วยแยกพวกเขาออกจากกันได้
ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา โจวจิ้งรู้สึกว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องจริง แค่การแต่งกายวิบวับอินดี้ของตัวเอง ก็แทบจะไม่กลมกลืนกับคำว่าเด็กนักเรียนเลย
เธอรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในฉากหนัง ความดีงามของผู้ที่มาใหม่ไม่ต่างจากเนื้อเรื่องในหนังสือนิยายวัยรุ่น เป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้เฉพาะในรั้วโรงเรียนเท่านั้น
เด็กหนุ่มในเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขายาวสีดำคนนี้เหมือนหลุดออกมาจากหนังสือ ใบหน้าคมเข้ม น้ำเสียงไพเราะ ทั้งร่างเหมือนใส่ฟิลเตอร์ ดูอบอุ่นและสะอาดสะอ้านเหลือเกิน
“ฉัน… ฉันมาเอาของฉันคืน” โจวจิ้งตอบตะกุกตะกัก
ชายคนแรกถามต่อ “มาเอาของขวัญที่จะให้หลินเกาใช่ไหม?”
“…”
ต้องยอมรับว่า หลินเกาคือสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของเธอไปแล้ว
“ประมาณนั้นแหละ” โจวจิ้งตอบเสียงเบา “เอ่อ… ที่นั่งของหลินเกาอยู่ตรงไหนเหรอ?”
“ตลกน่า!” คนข้างหลังหัวเราะ เย้ยหยัน “ตอนเอามาให้ยังจำได้อยู่เลย”
ชายคนที่อยู่ด้านหลังหน้าตาดีไม่แพ้คนแรก เพียงแต่ผิวเข้มกว่า คิ้วหนากว่า สายตาแน่วแน่บ่งบอกถึงความฉลาด ในมือถือลูกบอล กระดุมเสื้อเปิดถึงเม็ดที่สามเพื่อโชว์ซิกซ์แพก
โจวจิ้งมองตาค้าง—นักเรียนของที่นี่หน้าตาดีทั้งนั้นเลย!