หัวโจก - ตอนที่ 62.มาที่นี่ต้องการอะไร?
“เฮ่อซวิน?” มาร์ตี้พยายามนึกหน้าเจ้าของชื่อ สักพักจึงถามกลับ “ทำไมถึงเป็นเขา?”
“ไม่ชอบเด็กห้องกิฟต์เหรอ?”
“ไม่ชอบ มีแต่พวกเนิร์ด!”
“แต่หลินเกาเป็นเด็กห้องกิฟต์นะ”
มาร์ตี้ถึงกับเถียงไม่ออกเพราะเป็นเรื่องจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้
“ไม่รู้ล่ะ เธอทำชีวิตฉันพังหมดแล้ว ถ้าไม่บังเอิญเจอกันคงไม่รู้ว่าชีวิตตกต่ำถึงขนาดนี้ เป็นอะไรที่ฉันไม่เคยต้องการเลย!”
“อ้าว โยนความผิดให้เฉยเลย! ฉันก็ถูกส่งมาอยู่ในร่างนี้แบบไม่เต็มใจเหมือนกัน แทนที่จะโทษฉันควรไปโทษระบบของสวรรค์เซอร์วิสที่ขัดข้องมากกว่าไหม?”
“นึกแล้วยังโกรธไม่หาย!” มาร์ตี้พยายามสงบสติอารมณ์“โอเปอเรเตอร์ที่โทรมาเอาแต่พูดภาษาอังกฤษ ฉันฟังไม่ออกและคิดว่าเป็นพนักงานขายประกันจึงกดตัดสาย แต่ดันซวยไปกดถูกเลข 2 บัญชีก็เลยถูกล้าง”
“ฮะ!” โจวจิ้งร้องเสียงหลง
ชีวิตของมาร์ตี้สนุกกว่าที่เธอคิดเยอะเลย…
อายุได้แปดขวบมาร์ตี้เจ้าของร่างเดิมที่เป็นดาวน์ซินโดรมตกจากที่สูงเพราะพี่เลี้ยงเผอเรอ การตกครั้งนั้นทำให้เธอสลับร่างกับ‘หัวโจกโจวจิ้ง’ ที่ตกบันไดพอดี
พอลืมตาขึ้นอีกครั้ง ‘หัวโจกโจวจิ้ง’ ก็พบกับคู่สามีภรรยาหัวทองตาฟ้าที่นั่งร้องไห้ฟูมฟายอยู่ข้างเตียง จอร์จและภรรยามีทรัพย์สินมากมาย ครอบครัวอบอุ่น ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีแต่คนชื่นชม น่าเสียดายที่พวกเขามีแต่ลูกชาย พอได้ลูกสาวก็ดันเป็นดาวน์ซินโดรมตั้งแต่กำเนิด
จากนั้นชีวิตของเธอก็กลายเป็นซีรีส์ซิตคอม
แม้ลูกสาวเพียงคนเดียวจะฟื้นขึ้นมามีนิสัยเปลี่ยนไปเป็นคนละคน สองสามีภรรยาคู่นี้ก็ใจกว้างพอที่จะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซ้ำยังทำพิธีขอบคุณพระเจ้าอีกด้วย
พวกเขาขอบคุณพระเยซูที่เมตตาลูกสาว ให้พรเธอและคืนสู่อ้อมกอดแบบเด็กปกติทั่วไป
เรื่องที่เธอพูดภาษาจีนได้ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพวกเขา เพราะหนังไซไฟหลายเรื่องก็ชอบมีบทที่ตัวละครล้มหัวฟาดพื้นแล้วตื่นขึ้นเป็นอีกคน ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำได้
นอกจากจะพร่ำขอบคุณพระเยซูที่เปลี่ยนเด็กดาวน์ซินโดรมให้เป็นเด็กปกติ พวกเขายังขอบคุณพระแม่มารีที่ทำให้เธอพูดภาษาจีนได้อีก
แทนที่จะซาบซึ้ง มาร์ตี้กลับมองว่าสามีภรรยาคู่นี้จิตไม่ปกติ
แต่เมื่อต้องอยู่ในร่างของเด็กอายุแปดปี ที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ซ้ำยังอยู่ต่างแดนอีก เธอจึงไม่กล้ามีปากเสียงและค่อยๆ เรียนรู้ชีวิตอย่างใจเย็น
ด้วยความที่เป็นเด็กดาวน์ซินโดรมตั้งแต่กำเนิด ทุกคนจึงพร้อมใจกันสอนเธอใหม่ตั้งแต่ต้น
เมื่อเด็กสาวอายุสิบแปดปี ต้องเรียนรู้ทุกอย่างเหมือนเด็กหนึ่งขวบ แม้จะอยู่ในร่างของเด็กอายุแปดขวบ จึงไม่อาจปิดบังความโดดเด่นที่ต่างจากเด็กวัยเดียวกันได้ สุดท้ายก็ถูกขนานนามว่า ‘เด็กอัจฉริยะ’
เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่เด็กเกเรประจำโรงเรียนกลายเป็นเด็กอัจฉริยะในสายตาของทุกคน
มาร์ตี้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทุกวันแม้จะยังอยากได้ร่างเดิมกลับคืน
กระทั่งฤดูร้อนปีถัดมา ขณะกำลังนอนกลางวันอยู่ เบอร์ 000000 จากสวรรค์เซอร์วิสก็โทรเข้ามาหาเธอ
พอกดรับเสียงอ่อนหวานของโอเปอเรเตอร์ก็พูดภาษาอังกฤษรัวๆ ใส่มาร์ตี้
ที่ผ่านมาเธอไม่เคยตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษสักคาบ ต่อให้อยู่ต่างประเทศเป็นปีแล้วก็ยังฟังไม่คล่องอยู่ดี
ด้วยความง่วง มาร์ตี้ที่คิดว่าบริษัทประกันโทรมาก่อกวนรีบกดตัดสาย แต่ดันเผลอไปกดถูกเลข 2 ซึ่งเป็นการล้างบัญชีส่วนตัวแทน
ชีวิตของเธอจึงกลายเป็นอย่างทุกวันนี้…
ผ่านไปหลายปี มาร์ตี้ฝึกภาษาอังกฤษจนคล่องแคล่วเท่าภาษาจีน จึงเข้าใจในภายหลังว่าโอเปอเรเตอร์พูดเรื่องอะไร
‘ถ้าต้องการค้นบัญชีเดิม กรุณากด 1 ถ้าต้องการล้างบัญชี กรุณากด 2’
แล้วเธอก็เผลอกด 2 ไป
“ที่ผ่านมาฉันคิดว่าตัวเองตายไปแล้ว…” มาร์ตี้มองหน้าโจวจิ้ง “พอมีโอกาสได้มาเรียนต่อที่จีนเลยแวะมาเยี่ยมบ้านเกิด ถึงได้รู้ว่าเจ้าเขียวแต่งงาน รู้ว่าตัวเองยังไม่ตาย”
โจวจิ้งแอบคิดในใจ ถ้าตอนนั้นมาร์ตี้ไม่ได้กดผิด ตอนนี้ชีวิตของเธอจะเป็นอย่างไร?
อาจเพราะแต้มบุญเมื่อชาติที่แล้วทำให้ชีวิตของมาร์ตี้สุดแสนจะเพอร์เฟกต์ พ่อแม่พี่น้องรักกันกลมเกลียว แถมยังหน้าตาดีราวกับนางฟ้าอีก
แม้จะถูกอีกคนแย่งชีวิตไป แต่เธอก็ใช้ชีวิตในร่างของคนอื่นเช่นกัน
ทั้งหมดเป็นเรื่องของพรหมลิขิตโดยแท้
มาร์ตี้เงียบไปพักหนึ่งก่อนจะถามขึ้นต่อ “พ่อของฉันเป็นยังไงบ้าง? เธอยังทะเลาะกับเถาม่านและเถาจิงอยู่อีกรึเปล่า?”
สิบปีผ่านไป ความสัมพันธ์ของโจวจิ้งและโจวฉีเทียนยังคงคาราคาซัง
สุดท้ายเถาจิงก็เลิกรากับโจวฉีเทียน ทั้งคู่ไม่ได้แต่งงานใหม่ เพราะเถาจิงยังคงไม่ยอมแพ้
เถาม่านไม่ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่ค่าเทอมแพงแสนแพงในต่างประเทศ แต่กลับเลือกมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในประเทศทางด้านดนตรีแทน
นิสัยเย่อหยิ่งหายเป็นปลิดทิ้ง ตอนนี้กำลังร่วมหุ้นกับเพื่อนๆ เปิดสตูดิโอกันอยู่ ส่วนเรื่องความรัก แม้เธอจะได้คบหากับหลินเกาแต่สุดท้ายก็ไปกันไม่รอด
ยิ่งได้ฟังสีหน้าของมาร์ตี้ก็ยิ่งย่ำแย่ลง ยกเว้นตอนที่โจวจิ้งเล่าเรื่องของหลินเกา
“พ่อของเธอเหมือนจะรู้ว่าฉันไม่ใช่ตัวจริง” โจวจิ้งบอก “อยากไปเยี่ยมเขาหน่อยไหม?”
ที่โจวจิ้งไม่ได้เล่าก็คือ โจวฉีเทียนดูแก่ลงมาก
หลายปีที่ผ่านมาเขาทุ่มเทชีวิตไปกับการหาเงินจนล้มป่วย แม้โจวจิ้งจะให้เงินไปรักษาตัว แต่โจวฉีเทียนปฏิเสธทุกครั้ง
คนเราเมื่อไม่มีเป้าหมาย วันๆ จึงจมอยู่กับความเศร้า เป็นชีวิตที่น่าสงสารเหลือเกิน
มาร์ตี้กำลังจะพูดบางอย่าง แต่เสียงฮือฮาที่ดังจากอีกฟากของสนามก็ทำให้เธอเปลี่ยนใจ
มั่วลี่ตะโกนเรียกโจวจิ้ง เธอจึงชวนมาร์ตี้ไปด้วยกัน
มั่วลี่มองมาร์ตี้หัวจรดเท้าแล้วถามด้วยความสงสัย “นักเรียนของเจ้าเขียวเหรอ?”
เนื่องจากทั้งงานมีแต่คนหน้าเด็ก ส่วนใหญ่เป็นนักเรียนของเจ้าเขียว แต่ยังไม่มีนักเรียนต่างชาติคนไหนที่หน้าตาดีขนาดนี้
“มั่วลี่ นี่คือมาร์ตี้” โจวจิ้งแนะนำ
มาร์ตี้จ้องมั่วลี่ตาแทบถลน สีหน้าท่าทางดูตกใจ เหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น
มั่วลี่ในความทรงจำของเธอคือเด็กสาวผมแดงร่างอวบอ้วนไม่คิดว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นสาวเซ็กซี่ได้ แม้จะไม่พอใจกับสายตาของอีกฝ่าย แต่มั่วลี่ก็ฝืนยิ้มเพราะไม่อยากมีเรื่อง
เฮ่อซวินเดินมาหาโจวจิ้ง หน้าตาของเขาเปลี่ยนไปไม่มาก แค่ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เมื่อมาร์ตี้เห็นก็จำได้ทันที เธอจ้องเฮ่อซวินอยู่นานด้วยความรู้สึกเกินบรรยาย การได้เห็นร่างของตัวเองแต่งงานกับชายคนนี้เป็นเรื่องที่ชวนขนลุกอย่างมาก
มั่วลี่รู้สึกไม่เป็นมิตรกับสายตาของมาร์ตี้ จึงดึงชายเสื้อเพื่อเตือนโจวจิ้ง ไม่ทันที่โจวจิ้งจะได้ตอบ อีฟ หนุ่มผมทองก็แทรกตัวเข้ามาบังสายตาของมาร์ตี้
“รอตั้งนาน ไม่เห็นออกไปรับเลย!” โจวเสี่ยวหยีตบไหล่ทักทายพี่สาว
เขาในตอนนี้ตัวสูงกว่าโจวจิ้งมาก หน้าตาขาวใสสะอาดสะอ้าน ท่าทางสุขุมและเป็นผู้ใหญ่เกินวัย
“เบาๆ หน่อย ผู้ใหญ่เขาคุยกันอยู่!” เธอดุน้องชาย
“โจวเสี่ยวหยี?” มาร์ตี้ตกใจจนหลุดเรียกชื่อออกมา
โจวเสี่ยวหยีหันมองมาร์ตี้ ใบหน้าขาวใสเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย
“พี่จิ้ง คนนี้คือ?” เขาถามพี่สาว
มาร์ตี้เบิกตากว้างเมื่อได้ยินโจวเสี่ยวหยีเรียกโจวจิ้งว่า ‘พี่’
ขณะกำลังครุ่นคิดหาคำตอบให้น้องชาย เสียงโห่ร้องของแขกเหรื่อก็ดังขึ้นที่อีกฟากของสนาม
บ่าวสาวเดินจูงมือกันเข้าพิธี เจ้าเขียวและเฝิงเอี้ยนดูเข้ากันดีและมีความสุขมาก
เจ้าเขียวแต่งกายด้วยชุดสูทสีดำสุดเท่ ใส่แว่นตาไร้กรอบไม่หลงเหลือความเป็นเด็กแว้นแม้แต่น้อย ส่วนเฝิงเอี้ยนที่เคยจืดชืดก็ดูงามสง่า พราวเสน่ห์จนหลายคนไม่อยากจะเชื่อ
มาร์ตี้ยังคงจ้องเจ้าเขียวไม่เลิก จนโจวจิ้งต้องลากเธอออกมา
“มาที่นี่ต้องการอะไร?”
กว่าจะเรียกสติและตอบคำถามของโจวจิ้งได้ มาร์ตี้ใช้เวลานานพอสมควร
“ฉันมาเรียนต่อที่จีน เห็นว่ามหาวิทยาลัยอยู่ใกล้เมือง H เลยแวะมาดู” เธอหยุดหายใจครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “ที่จริงฉันจินตนาการไว้เยอะกว่านี้มาก คิดด้วยว่าตัวเองน่าจะตายไปแล้ว แต่เมื่อเป็นแบบนี้ก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก แค่เห็นทุกคนมีความสุขก็สบายใจแล้ว”
“สิบปีที่แล้วฉันก็ได้รับสายจากสวรรค์เซอร์วิสเหมือนกัน”โจวจิ้งเล่า “ตอนแรกคิดว่าเธอจะกลับเข้าร่างเดิม ไม่คิดว่าเธอจะสละสิทธิ์ เมื่อไม่ได้คาดหวังจึงเขียนไดอารี่เล่าเรื่องทั้งหมดตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาในร่างนี้ให้เธออ่าน”
“จริงเหรอ เขียนว่าอะไรบ้าง?” มาร์ตี้ถามต่อ
“ไม่มีอะไรหรอก ฉันแค่ขอบคุณและบอกว่าอิจฉาเธอมาก”
ไม่ว่าจุดจบจะดีหรือร้าย เธอก็ไม่เสียดายที่ได้ทดลองใช้ชีวิตตอนอายุสิบแปดอีกครั้ง แถมยังอิจฉาเด็กวัยนี้ที่ได้ทำอะไรหลายอย่างที่เมื่อก่อนเธอไม่เคยได้ทำ
“ฉันเคยโกรธมากที่มีคนมาสิงอยู่ในร่าง แต่ตอนนี้ไม่รู้สึกแบบนั้นแล้ว” มาร์ตี้พูดไปหัวเราะไป “ถึงโกรธก็เปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ ปล่อยเลยตามเลยดีกว่า” เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ “ฉันเกลียดเถาม่านเพราะรักหลินเกาจนรู้สึกว่าตายแทนเขาได้ มาวันนี้กลับรู้สึกว่าเรื่องพวกนี้ไร้สาระเหลือเกิน พอเริ่มโตขึ้น คนรอบข้างก็แก่ตัวลง ถึงเวลาต้องปลงเสียที”
สิบปีก่อน โจวจิ้งในวัยสามสิบเอ็ด มีความเป็นผู้ใหญ่และมีประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลายมาก ทั้งเคยแต่งงาน รวมถึงผ่านการมีลูกมาแล้ว ส่วนมาร์ตี้วัยแปดขวบก็กำลังใช้ชีวิตวัยเด็กอย่างคุ้มค่า