หัวโจก - ตอนที่ 63.ฉันอายุยี่สิบแปดแล้ว!
สิบปีต่อมา โจวจิ้งในวัยยี่สิบแปด แต่งงานกับเฮ่อซวิน มุ่งมั่นกับอาชีพทนายที่ตัวเองรัก ส่วนมาร์ตี้ก็กลายมาเป็นเด็กวัยรุ่นอายุสิบแปดอีกครั้ง
แม้เธอจะสาวและสวยกว่าเดิม แต่กลับมีความคิดที่เป็นผู้ใหญ่มากขึ้น
ณ ช่วงเวลาหนึ่ง ทุกอย่างวนกลับไปที่เดิม มีคนได้กลับไปเป็นเด็กมัธยมปลายอายุสิบแปดปีอีกครั้ง ส่วนอีกคนได้กลับไปเป็นหญิงสาววัยยี่สิบแปดปี ที่กำลังไฟแรง มีเป้าหมายและความฝันให้วิ่งตามอย่างชัดเจน
โจวจิ้งใช้ชีวิตเพื่อตัวเองอย่างเต็มที่ มีงานที่ชอบ มีคนที่รักมีลูก เลือกทางเดินที่ลำบากที่สุดโดยมีเฮ่อซวินอยู่เคียงข้างตลอด
มาร์ตี้ยังคงหลงใหลในเครื่องประดับวิบวับแวววาว ไว้ผมยาวสีทอง ใจร้อนไม่มีเปลี่ยน ดีก็ตรงที่พยายามเรียนรู้และปล่อยวางอดีตอย่างที่เคยตั้งใจไว้
ทุกประสบการณ์ชีวิตมักเป็นครูสอนเราเสมอ
เจ้าเขียวสวมแหวนให้เฝิงเอี้ยนและสวมกอดเธอท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสุข
โจวจิ้งมองเฮ่อซวินที่ยืนอยู่ไม่ไกลแล้วหันไปถามมาร์ตี้ว่า “เธอยังไม่ตอบฉันเลยว่าจะกลับไปเยี่ยมพ่อหรือเปล่า?”
“ไม่รู้เหมือนกัน” มาร์ตี้ก้มหน้า “คิดว่าคงไปแหละ”
“ไม่มีใครบังคับเธอได้ ทำตามที่ใจต้องการเถอะ” โจวจิ้งยิ้มตอบ
ชาติก่อน มาร์ตี้ในวัยสิบแปดปีเคยหนีปัญหานี้มาแล้วรอบหนึ่ง วันนี้เธอโตขึ้นมาก เป็นผู้ใหญ่พอที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาเดิมๆ ได้แล้ว
“ไม่ว่าการตัดสินใจจะถูกหรือผิด ฉันสมควรได้รับการให้อภัยใช่ไหม?” มาร์ตี้จ้องตาโจวจิ้ง “เพราะฉันอายุแค่สิบแปดปีเอง!”
โจวจิ้งส่ายหน้าด้วยความระอา
“สมัยก่อนฉันโด่งดังมาก หน้าตาไม่เป็นสองรองใคร ได้เห็นตัวเองในสภาพนี้แถมยังเป็นทนายเฉิ่มๆ อีก ฉันนี่อยากจะพุ่งกลับเข้าร่างเดิมเลย!”
“กะจะเป็นนักเลงหัวโจกไปตลอดชีวิตเลยหรือไง?” โจวจิ้งถามกลับ
“ไม่เห็นมีใครเคยบอกว่าเป็นเด็กเรียนแล้วชีวิตจะดี”
จริงของอีกฝ่าย วัยรุ่นย่อมต้องมีอิสระ มีความมุ่งมั่น มีความโรแมนติก
เกิดมาทั้งทีคนเราควรใช้ชีวิตให้คุ้มค่า มีความสุขอย่างถึงที่สุด ไม่จืดชืด ไม่ตีกรอบ ไม่มีถูกผิด จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจภายหลัง
มาร์ตี้บิดขี้เกียจแล้วพูดต่อ “ไม่มีใครรู้อนาคต แค่กล้าที่จะลงมือทำเป็นพอ”
“พี่ครับ” โจวเสี่ยวหยีเรียกมาร์ตี้จากทางด้านหลัง
เขายิ้มอย่างสุภาพ ดวงตาเป็นประกาย มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า อีกข้างยื่นออกไปหามาร์ตี้
“ผมชื่อโจวเสี่ยวหยี ขอเต้นรำกับพี่สาวคนสวยสักเพลงได้ไหม?”
“รู้หรือเปล่าว่าฉันอายุเท่าไหร่?” มาร์ตี้เลิกคิ้วถาม
“ไม่ทราบว่า…”
“ฉันอายุยี่สิบแปดแล้ว!”
ตอนพิเศษ
เปิดตัว
ตอนเข้ามหาวิทยาลัย A ใหม่ๆ เฮ่อซวินได้รับเลือกให้เป็นเดือนของคณะแพทยศาสตร์อย่างสมศักดิ์ศรี
ส่วนโจวจิ้งก็ยุ่งอยู่แต่กับเรื่องสอบ ทั้งคู่จึงคบกันไปเรื่อยๆ แบบไม่เปิดเผย น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเฮ่อซวินมีแฟนแล้ว
เด็กมหาวิทยาลัยไม่ขี้อายเหมือนอย่างเด็กมัธยมปลาย จึงมีคนมาสารภาพรักกับเฮ่อซวินไม่เว้นแต่ละวัน พอถูกปฏิเสธก็พากันนินทาและปล่อยข่าวว่าเขาเป็นเกย์
อย่างเช่นวันนี้ที่เฮ่อซวินถูกสาวหน้าตาดีคนหนึ่งตะโกนถามด้วยความโมโห
“สรุปว่าเป็นเกย์ใช่ไหม?”
“ไม่ใช่”
“แล้วทำไมถึงปฏิเสธฉัน?”
“ฉันมีแฟนแล้ว”
“โกหก ฉันไม่เคยเห็นเลย!”
ปกติเฮ่อซวินเป็นคนไม่อดทนกับเรื่องไร้สาระอยู่แล้ว ยิ่งเจอเรื่องแบบนี้ก็ยิ่งขี้เกียจอธิบาย
“เธออยู่มหาวิทยาลัย G”
หลังจากวันนั้น เขาถูกบรรดาเพื่อนๆ ท้าให้พาไปเจอโจวจิ้งเพื่อพิสูจน์ความจริง สุดท้ายเหล่านักเรียนแพทย์ก็แห่กันไปหาโจวจิ้งถึงที่มหาวิทยาลัย
เวลานั้นเธอกำลังถูกรุ่นน้องจากคณะนิเทศศาสตร์บอกรักด้วยการดีดกีตาร์ร้องเพลงให้ฟัง
โจวจิ้งยืนตัวแข็งทื่อ อึดอัดกับการสารภาพรักที่เว่อร์วังอลังการนี้มาก
บรรยากาศเริ่มอึมครึมเมื่อเฮ่อซวินปรากฏตัวขึ้น ราวกับสามีจับภรรยาที่กำลังนอกใจได้
ชาวแก๊งที่เดินตามมายกมือปิดปากด้วยความตกใจ เด็กสาวหลายคนตรงนั้นภาวนาให้พวกเขาแตกหักกัน จะได้เข้าแทรกทันที
เฮ่อซวินจ้องเด็กหนุ่มที่กำลังเล่นกีตาร์แล้วพูดอย่างไร้อารมณ์ “ม้ามไม่ดี ไตไม่แข็งแรง ผอมซีดไร้เรี่ยวแรง แต่ยังกระปรี้กระเปร่าใช้ได้อยู่”
หลังได้ยินการวินิจฉัยโรคจากคุณหมอเฮ่อ เด็กหนุ่มคนนั้นก็หน้าถอดสี ก้มเก็บของแล้วเดินหนีไป ผู้คนที่ยืนมุงก็ทยอยแยกย้ายเช่นกัน
“เดี๋ยวนี้เก่งถึงขนาดมองหน้าก็รู้ว่าคนไข้ป่วยเป็นโรคอะไรเหรอ?” โจวจิ้งกระซิบถาม
“ฉันเคยเห็นประวัติการตรวจสุขภาพของเขาตอนฝึกงานที่แผนกอายุรกรรมชายน่ะ” เฮ่อซวินตอบ
เหตุการณ์นี้ทำให้ทั้งคู่ร่างข้อตกลงในการเจอกัน โดยเฮ่อซวินจะต้องจูงมือโจวจิ้งเดินรอบมหาวิทยาลัยหนึ่งรอบทุกวันเพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่ามีแฟนแล้ว หลายคนที่เห็นต่างยกธงขาวยอมแพ้ ตายอย่างสงบศพสีชมพูไปตามๆ กัน
เฮ่อซวินเริ่มงานทันทีหลังเรียนจบ
ชื่อเสียงของเขาโด่งดังในฐานะคุณหมอหนุ่มไฟแรงมากฝีมือ ผู้มุ่งมั่นจริงจังกับการทำงาน แม้จะชอบทำหน้าไร้อารมณ์ตลอดเวลา แต่ก็เป็นยาเสน่ห์เดินได้ของเหล่านางพยาบาล รวมถึงคนไข้ผู้หญิงที่ยอมแอดมิตต่ออีกหลายวันเพื่อเขาโดยเฉพาะ
ใครๆ ก็รู้ว่าหมอเฮ่อมีแฟนแล้ว ทั้งคู่รักกันมากจนไม่มีอะไรแทรกกลางได้
จนวันหนึ่งที่เขาถูกคุณหนูไฮโซตามจีบ ทั้งที่ป่วยนิดเดียวแต่กลับไม่ยอมออกจากโรงพยาบาล
เมื่อเห็นว่าเฮ่อซวินไม่เล่นด้วย เธอจึงถามออกไปตรงๆ
“แฟนของคุณหมอเป็นคนยังไงเหรอคะ?”
เขาตอบขณะก้มหน้าเขียนใบวินิจฉัยโรคไปด้วย “เธอเป็นคนสวย เรียนเก่ง จิตใจดี มีเมตตา ชอบช่วยเหลือคนอื่น”
คุณหนูไฮโซผู้นี้ค่อนข้างเพอร์เฟกต์ในสายตาของทุกคน เธอเรียนจบปริญญาโทจากเมืองนอก มีน้ำใจโอบอ้อมอารี หน้าตาดี หุ่นดี เป็นดาวเด่นในวงสังคมชั้นสูง แต่กลับลดตัวมาตามจีบเฮ่อซวิน
สุดท้ายเขาก็ไม่เลือกเธอ…
หลังเรื่องนี้ถูกเล่าปากต่อปาก หลายคนพากันลือว่าแฟนของหมอเฮ่อคือนางฟ้าที่ทรงคุณค่าจนใครก็เทียบไม่ติด
ด้วยบุคลิกภายนอก ทุกคนจึงคิดไปว่าเขาน่าจะชอบผู้หญิงอ่อนหวาน เรียบร้อย ขี้อ้อน เป็นตัวของตัวเอง และบุคลิกดี ซึ่งทุกครั้งที่ถูกถาม เขาก็จะทำเพียงพยักหน้าตอบ
กระทั่งวันที่หญิงสาวหน้าตาทรุดโทรม ผมชี้โด่ชี้เด่ไม่เป็นทรงวิ่งกระหืดกระหอบมาหาหมอเฮ่อที่โรงพยาบาล
“ฉันเพิ่งกลับจากต่างจังหวัด ลืมเอากุญแจบ้านออกมาด้วย ขอยืมของนายก่อนได้ไหม?”
“กินข้าวหรือยัง?” เฮ่อซวินถามด้วยความเป็นห่วง
“ยัง เหนื่อยมาก ทำอะไรไม่ทันสักอย่าง!” พูดจบเธอก็วิ่งหายไป
คำว่าสวยจากไปพร้อมกับแผ่นหลังนั้น
อ่อนโยนตรงไหน ดูไม่ออกเลย!
แล้วน่ารัก ขี้อ้อน เป็นตัวของตัวเองล่ะ?
เธอคือผู้หญิงที่ธรรมดามากๆ ต่างจากคุณหนูไฮโซคนนั้นราวฟ้ากับเหว
ทั้งโรงพยาบาลวิจารณ์เรื่องนี้กันอย่างหนาหู สุดท้ายก็ลงความเห็นว่าหมอเฮ่อมีนิสัยชอบของแปลก
มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่ทุกคนกำลังกินข้าวกลางวันในโรงอาหารของโรงพยาบาล รายการทีวีก็ถ่ายทอดสดความคืบหน้าของคดีดัง
ทนายสาวฝ่ายจำเลยปิดคดีได้อย่างงดงามจนกลายเป็นที่กล่าวขานในแวดวงกฎหมาย
คนที่จำหน้าได้ชี้ไปที่หน้าจออย่างไม่เชื่อสายตา “ทนายคนนี้… แฟนของหมอเฮ่อนี่!”
เสียงฮือฮาดังไปทั่วทั้งโรงอาหาร
ทนายสาวคนที่ว่ามัดผมรวบตึง แต่งหน้าด้วยโทนสีสุภาพสวมชุดสูทสีเทาดูดีมีระดับ ฝีปากกล้าไม่มีใครเกินโดยเฉพาะทนายฝ่ายโจทก์
แม้จะดูเชี่ยวชาญและเก่งกาจในสาขาอาชีพ แต่บุคลิกของเธอก็ดุเกินหญิงไปหน่อย
ทุกคนต่างหันมองเฮ่อซวินเพื่อดูปฏิกิริยาของเขา
เขาจดจ่อกับรายการตรงหน้า มุมปากยกโค้งเป็นรอยยิ้มด้วยความภูมิใจ
“หมอเฮ่อ” หมอผู้ชายที่อยู่ด้านข้างสะกิดถาม “ระหว่างผู้หญิงเซ็กซี่กับผู้หญิงขี้อ้อนชอบแบบไหนมากกว่า?”
เฮ่อซวินตอบโดยไม่หันไปมอง “ชอบผู้หญิงน่ารักๆ แบบนี้”
คำตอบของเขาทำทุกคนตรงนั้นพูดไม่ออก แล้วก็พากันสรุปว่าหมอเฮ่อคือคนประหลาดที่ชอบของแปลกอย่างแท้จริง
แต่งงาน
โจวจิ้งและเฮ่อซวินคบกันกระทั่งเรียนจบ
เริ่มทำงานได้ไม่นาน พ่อกับแม่ของเฮ่อซวินก็อยากให้เขาสร้างครอบครัว แต่เขาต้องการสร้างเนื้อสร้างตัวก่อน โจวจิ้งจะได้ไม่ลำบากไปด้วย
อยู่มาวันหนึ่ง เฮ่อซวินชวนโจวจิ้งไปกินข้าวกลางวันเพราะไม่ต้องเข้าเวร
ณ บริษัทกฎหมายเล็กๆ ซึ่งมีชื่อเสียงในวงการอย่างมากหลังเปิดตัวเพียงไม่กี่วัน โดยเฉพาะทนายโจวผู้เป็นหุ้นส่วน
เธออายุยังน้อยแต่กลับมากประสบการณ์ ความคิดกว้างไกล มีความเป็นมืออาชีพสูง
นอกจากงานจะมีคุณภาพแล้ว โจวจิ้งยังเลือกรับแต่เคสยากๆ หลังชนะคดีอยู่หลายหน ชื่อเสียงก็แพร่หลายในวงการมากขึ้น
ความดุเดือดของเธอเป็นที่กล่าวขานจนทนายอีกฝั่งส่ายหน้าเมื่อต้องประชันกันหน้าบัลลังก์ แม้ตัวตนที่แท้จริงของเธอจะเป็นคนใจกว้าง สนุกสนานเฮฮา ต่างจากตอนขึ้นว่าความลิบลับก็ตาม
หากบอกว่าหมอเฮ่อคือยาเสน่ห์ที่คอยดึงดูดสาวๆ ทนายโจวก็คือนางฟ้าแห่งความยุติธรรมเช่นกัน
ที่บริษัท โจวจิ้งกำลังถูกหนุ่มๆ รุมถามเกี่ยวกับข้อกฎหมายและความคืบหน้าของคดี
มองผ่านๆ ก็รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ตั้งใจจะมาหาความรู้ แค่อยากโปรยเสน่ห์เรียกร้องความสนใจเท่านั้น ยิ่งโจวจิ้งเป็นคนใจดี พร้อมจะช่วยเหลือรุ่นน้องอย่างเต็มที่ ตั้งอกตั้งใจสอนโดยไม่คิดอะไร ก็ยิ่งทำให้เฮ่อซวินรู้สึกหึงหวง