ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 10 ลาก่อน
อย่ามองว่าวาจาของอวี้ถังพูดได้เป็นเหตุเป็นผล ฟังดูมีพลังโน้วน้าวใจคนได้ เพราะความจริงในใจนางล้วนเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
นางแอบอ้างชื่อของสกุลเผย นับว่านางทำไม่ถูก
แต่นอกจากวิธีนี้แล้ว นางไม่มีทางอื่นอีก
นางลอบคิดในใจ รอให้เรื่องนี้ผ่านไปก่อน นางจะต้องไปวัดแล้วจุดธูปขอพรให้ท่านผู้เฒ่าสกุลเผยแน่ ขอบคุณที่สกุลเผยปกป้องคุ้มครองสกุลนาง และเหล่าชาวเมืองมาตลอดหลายปี หากว่ามีโอกาสใช้ความสามารถของตนทำอะไรเพื่อตอบแทนสกุลเผยได้ นางจะทุ่มเทกายใจ ไม่มีย่นย่อแม้สักนิด
หลู่ซิ่นฟังคำของอวี้ถังแล้วยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
ไม่กลัวเหตุที่แน่นอน กลัวก็แต่เหตุไม่คาดฝัน
สกุลอวี้กับสกุลเผยไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ทว่าหลายวันก่อนเขากลับเชื่อมสะพานให้ด้วยตนเอง เชิญหมอหลวงจากสกุลเผยไปตรวจอาการให้กับคนสกุลเฉิน อวี้เหวินเคยพูดกับเขาว่า ต้องการไปคารวะน้ำใจท่านผู้เฒ่าสกุลเผยด้วยตนเอง ใครจะรู้ว่าระหว่างพวกเขาได้สนทนาสิ่งใดไปบ้าง?
คิดถึงตรงนี้ เขาก็กระทืบเท้าด้วยความเจ็บใจ
ถ้ารู้แต่แรกว่าจะเป็นเช่นนี้ เขาก็คงไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของสกุลอวี้หรอก
แต่ถ้าไม่เข้าไปยุ่งเรื่องของสกุลอวี้ แล้วอวี้เหวินจะยอมควักเงินสองร้อยตำลึงมาซื้อภาพวาดของเขาอย่างง่ายดายเช่นนี้หรือ?
หลู่ซิ่นเอ่ยต่ออย่างดึงดันว่า “ข้าจะไปพบบิดาเจ้า! ข้ามีบุญคุญด้วยเคยช่วยเหลือภรรยาเขามาก่อน เขาตอบแทนข้าเยี่ยงนี้ได้รึ!”
อวี้ถังก้มหน้ามองเขา เอ่ยว่า “เจ้าคิดว่าข้าจะกล้าทำถึงขั้นนี้หากไม่ได้รับการเห็นชอบจากท่านพ่อหรือ? ท่านพ่อข้าก็แค่ไม่ต้องการเห็นหน้าสหายที่ไร้สัจจะแบบเจ้าอีกก็เท่านั้น” พูดจบ นางก็ส่งสายตาให้อาเสา เอ่ยว่า “เจ้าพาคนไปส่งให้เถ้าแก่ถงก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาถกกันใหม่”
อาเสาตอบเสียงดังฟังชัดว่า “ขอรับ”
หลู่ซิ่นพลันกระสับกระส่าย ทำเป็นเอ่ยเสียงแข็งว่า “เจ้าคิดจะทำอะไร? เจ้าไม่กลัวเสื่อมเสียชื่อเสียง วันข้างหน้าหาคนแต่งงานไม่ได้รึ?”
อวี้ถังตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “สกุลข้าถูกเจ้าต้มตุ๋นจนบ้านแตกสาแหรกขาด ข้ายังจะแต่งให้คนดีๆ ที่ใดได้อีก?”
สองคนแลกเปลี่ยนวาจาคมกริบไปพักหนึ่ง อย่างไรหลู่ซิ่นก็เกรงกลัวสกุลเผย จึงเอ่ยว่า “ถ้าจะเอาเงินก็ไม่มีหรอก…ข้าใช้จ่ายไปห้าสิบตำลึงแล้ว”
อวี้ถังให้อาเสาค้นตัวเขา เจอตั๋วเงินทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดสิบตำลึง
นางสบถใส่หลู่ซิ่นไปคำหนึ่ง แล้วร่างหนังสือขึ้นมาตรงนั้นให้หลู่ซิ่นประทับลายนิ้วมือลงไป “พวกเรามาตกลงกันให้ชัดเจน เจ้ายินดีขายภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ฉบับคัดลอกผืนนั้นให้สกุลข้าในราคายี่สิบตำลึง ให้หนังสือฉบับนี้เป็นหลักฐาน ต่อไปไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีก อีกอย่างข้าก็จ่ายสามสิบตำลึงนี้ให้เจ้าใช้เป็นค่าเดินทาง เรื่องนี้ถือว่าเลิกแล้วต่อกัน”
หลู่ซิ่นมีหรือจะพอใจ
อวี้ถังข่มขู่เขาต่อว่า “ได้ยินว่ามีหลายคนถูกไฟคลอกตายที่ถนนฉางซิ่ง หากว่าข้าซ่อนเจ้าไว้ตรงนี้ ไม่รู้เมื่อใดจึงจะมีคนมาพบ”
หลู่ซิ่นจ้องเขม็งที่อวี้ถังอย่างโกรธแค้นราวกับงูพิษตัวหนึ่ง
อวี้ถังในชาติก่อนพบเจอเรื่องที่ยากลำบากกว่านี้นัก มีหรือจะรู้สึกสั่นไหวเพียงเพราะสายตาคู่นั้นของหลู่ซิ่น?
นางกดนิ้วของหลู่ซิ่นให้ประทับลงบนหนังสือราวกับว่ารอบข้างไร้ผู้คน เสร็จแล้วก็เก็บหนังสือไว้อย่างดี โยนตั๋วเงินสามสิบตำลึงให้หลู่ซิ่น แล้วบอกให้เขาไสหัวไป
หลู่ซิ่นจากไปพร้อมความเคียดแค้น
อวี้ถังล้วงเงินออกมาอีกยี่สิบตำลึงเพื่อขอบคุณเหล่าฮูหยินที่มาช่วยเหลือ หลังจากส่งพวกนางกลับไปแล้ว ก้อนหินใหญ่ที่อยู่ในใจพลันวางลงได้เสียที
อาเสาเอ่ยอย่างกังวลใจว่า “คุณหนูใหญ่ หลู่ซิ่วไฉคงไม่เอาเรื่องนี้ไปฟ้องนายท่านหรอกนะขอรับ”
อวี้ถังตบหนังสือสัญญาที่เก็บใส่ในถุงหอมข้างเอว เอ่ยว่า “ถ้าเขากล้าโผล่หน้าไปก็ลองดู”
อาเสาค่อยสบายใจขึ้น แล้วเริ่มรู้สึกเสียดายเงินสามสิบตำลึงนั้นขึ้นมา “เหตุใดท่านยังให้เงินเขาไปตั้งมากมายล่ะขอรับ?”
อวี้ถังตอบอย่างไม่ใส่ใจว่า “คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนใส่รองเท้าหรอก[1] มิใช่ว่าเขาร้อนใจจะไปเมืองหลวงหรือ? ถ้าพวกเราไม่ให้เงินเขาแม้สักอีแปะเดียว ปิดตายทางรอดของเขา ไม่แน่เขาอาจจะเข้าตาจน แล้วย้อนมาแว้งกัดสกุลเราก็เป็นได้ สามสิบตำลึงนั้นถือว่าซื้อความสงบสุขก็แล้วกัน”
หวังว่าหลู่ซิ่นจะเหมือนกับชาติที่แล้ว หลังจากเดินทางไปเมืองหลวงก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
อาเสาหัวเราะอย่างเข้าอกเข้าใจ
อวี้ถังพลันสบายใจขึ้นมาเปราะหนึ่ง
เพียงแต่คาดไม่ถึงว่า พอนางหันหลังกลับมา ก็เห็นดวงตามืดสลัวคู่หนึ่งอยู่หลังเงากำแพงเก่าฝั่งตรงข้าม จ้องเขม็งมาที่นางอย่างนิ่งเงียบ
อวี้ถังตกใจหัวใจแทบวาย
หรือนั่นคือวิญญาณคนที่ถูกไฟคลอกตายบนถนนฉางซิ่ง?
นางก้าวขาเตรียมจะออกวิ่ง ใครจะคิดว่าเท้าสองข้างคล้ายถูกถ่วงด้วยตะกั่ว จะออกแรงอย่างไรก็ยกไม่ขึ้น
อวี้ถังสั่นระริกไปทั้งตัว กอดอาเสาจนแทบจะรวมร่างเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว
เจ้าของดวงตาคู่นั้นเคลื่อนตัวออกมาจากหลังกำแพงอย่างไร้สุ้มเสียง
แสงจันทร์ส่องกระทบลงที่ดวงหน้าของเขา
อายุประมาณยี่สิบสามยี่สิบสี่ปี คิ้วตาน่ายล ทว่าเย็นเยียบดั่งบึงน้ำในฤดูหนาว เครื่องหน้าดั่งหยกแต่แผ่อำนาจกดข่มคน
ที่แท้ก็คือบุรุษชุดเขียวที่นางได้พบที่โรงจำนำนี่เอง
เขาในตอนนี้กำลังสาวเท้าเข้ามาอย่างเชื่องช้า ซากปรักหักพังบนถนนฉางซิ่งคล้ายกลายเป็นสวนหลังบ้านของเขาไปแล้ว
อวี้ถังเบิกตาโต
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
อวี้ถังรีบเคลื่อนสายตาไปมองด้านหลังเขา
มีเงา!
นางค่อยถอนหายใจเฮือก
ดีชั่วอย่างไรก็เป็นคน ไม่ใช่ภูตผีปีศาจ!
อวี้ถังตบอกตัวเองเบาๆ เป็นการปลอบขวัญ พอนึกถึงท่าทีที่เขามีต่อนางตอนอยู่ในโรงจำนำ ก็ไม่รู้ว่าต้องทักทายเขาอย่างไร ทว่าบุรุษชุดเขียวกลับมองนางแล้วเลิกคิ้วถามว่า “สกุลเผย? เจ้าสนิทกับเถ้าแก่ถงของโรงจำนำสกุลเผยรึ? ทั้งเถ้าแก่ถงยังบอกกับเจ้าอีกว่านี่เป็นภาพคัดลอก?”
น้ำเสียงเขาราบเรียบเย็นชา อวี้ถังได้ฟังพลันหน้าขึ้นสี รู้สึกจนตรอกอย่างที่สุด
เรื่องเหลวไหวที่สุดที่นางเคยทำมา หนึ่งคือเอาภาพไปจำนำที่โรงจำนำสกุลเผย สองคือแอบอ้างชื่อสกุลเผยมาข่มขู่หลู่ซิ่น
แล้วทั้งสองเรื่องนี้กลับตกอยู่ในสายตาของบุรุษที่อยู่เบื้องหน้าทั้งหมด
เขาต้องคิดว่านางเป็นคนเลวทรามต่ำช้า อวดอ้างแสดงตนเพื่อหลอกลวงผู้อื่นไปทั่วเป็นแน่
พอคิดได้ดังนั้น อวี้ถังก็รู้สึกไม่สบายตัวเอาเสียเลย นางรีบเอ่ยว่า “ไม่ใช่นะ ไม่ใช่! เจ้าฟังข้าพูดก่อน นี่ก็คือคนที่ขายภาพนั้นให้ข้า…”
“ถ้าไม่ใช่เห็นแก่ที่เจ้าเป็นผู้เสียหาย เจ้าคิดว่าตนจะมีโอกาสแอบอ้างชื่อสกุลเผยแล้วพูดจาเหลวไหลอยู่ตรงนี้ได้หรือ?” บุรุษผู้นั้นเอ่ยเสียงคมกริบ ไม่คิดจะฟังนางอธิบายแม้สักคำเดียว เขาเอ่ยแทรกตัดบทอย่างไร้ซึ่งความเกรงใจ “เห็นแก่ที่เจ้าอายุยังน้อย เพียงหวังเอาเงินทองที่ถูกหลอกไปกลับคืนมา เรื่องนี้ข้าจะไม่สืบสาวเอาความ หากว่ามีครั้งต่อไป จะไม่อ่อนข้อให้อีก!”
ที่แท้เขาก็เห็นทั้งหมดแล้วสินะ!
โชคดีที่เขาไม่เข้ามาเปิดโปงนาง
อวี้ถังค่อยใจชื้นขึ้นบ้าง
ทว่า ฟังจากน้ำเสียงเช่นนี้ของเขา หากมิใช่เป็นคนสกุลเผยก็ต้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับสกุลเผยแน่
หากว่าเปลี่ยนเป็นนางที่เจอคนทำตัวเป็นจิ้งจอกอาศัยบารมีเสือเช่นนี้ นางคงกระโดดเข้าใส่แต่แรกแล้ว ไม่เหมือนเขาที่ตำหนิคนสองประโยคแล้วจบเรื่อง
อวี้ถังก้มหน้ายอมรับผิดโดยดี
บุรุษผู้นั้นไม่คิดสนทนากับนางต่อ สาวเท้ายาวๆ ไปทางตรอกฮวาเอ๋อร์
อวี้ถังกำลังลังเลว่าควรตามเขาไปถามชื่อเสียงเรียงนามสักคำดีหรือไม่ เพื่อภายหลังค่อยเชิญบิดาไปเยี่ยมเยียนกล่าวขอบคุณด้วยตนเอง ทว่าบุรุษผู้นั้นเหมือนมีดวงตาติดอยู่ที่แผ่นหลัง เขาหันหน้ามาปรายตามองนางทีหนึ่ง
สายตาคู่นั้น คล้ายมีดคมกริบที่วิ่งผ่านกลางอากาศแล้วกรีดลงบนร่างนาง
อวี้ถังพลันสูญสิ้นซึ่งความกล้าหาญนั้นไป
แม้จะพูดได้ว่าทำไปเพราะมีเหตุผล แต่ทำผิดอย่างไรก็คือผิด ดูจากท่าทีเขา คงไม่อยากรู้จักข้องเกี่ยวกับนางแม้แต่เสี้ยวเดียว แล้วจะให้นางไปตอแยอย่างหน้าไม่อายได้อย่างไร?
บุรุษผู้นั้นเดินจากไปแล้ว
ชายหนุ่มท่าทางคล่องแคล่วเจ็ดแปดคนโผล่ออกมาจากเงามืด เดินประกบอยู่ข้างกายเขา
ที่แท้มีคนซ่อนตัวอยู่ในเงามืดอีกตั้งหลายคนรึ?
อวี้ถังประหลาดใจเป็นที่สุด
นางมองไม่ออกแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ
บุรุษผู้นั้นกับคนที่ล้อมรอบอยู่ข้างกายเขาเดินหายไปในความมืดยามราตรีอย่างรวดเร็ว
อวี้ถังสะท้านสั่นด้วยความเหน็บหนาว
อาเสาคล้ายเพิ่งปีนออกมาจากถ้ำน้ำแข็ง ฟันบนกับฟันล่างกระทบกันกึกๆ เอ่ยว่า “คุณ คุณหนูใหญ่ เขาเป็นใครหรือขอรับ? เหตุใดน่ากลัวเช่นนี้? เขาคงไม่เอาเรื่องเราไปฟ้องสกุลเผยหรอกใช่ไหม?”
อวี้ถังยิ้มขื่น “คงจะไม่หรอก!”
เขาผู้นั้นไม่ได้เห็นพวกนางอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ
ใครจะมาคิดเล็กคิดน้อยกับคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกัน
ความคิดของอวี้ถังตีกันวุ่น ยิ่งสนใจใคร่รู้เกี่ยวกับบุรุษผู้นั้นมากกว่าเดิม
นางสั่งอาเสาว่า “เจ้าไปถามเถ้าแก่ถงดู สืบมาหน่อยว่าเขาเป็นใครกันแน่?”
อาเสาค่อนข้างขลาดกลัว แต่พอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในสกุลหลายวันมานี้ สุดท้ายก็ฝืนตอบตกลง
อวี้ถังเก็บตั๋วเงินหนึ่งร้อยสามสิบตำลึงกลับเรือน มอบมันให้กับอวี้เหวิน เล่าเรื่องราวที่ประสบมาทั้งหมดให้เขาฟังโดยไม่ปิดบังหลบเลี่ยง
อวี้เหวินตกใจจนหน้าถอดสี แตกตื่นจนเหงื่อเย็นๆ ซึมทั่วร่าง ซ้ำตำหนิบุตรสาวว่า “เหตุใดถึงใจกล้าเช่นนี้? เจ้าเป็นเด็กสาวตัวคนเดียว กล้าไปสถานที่แบบนั้นได้เช่นไร? หากว่าเกิดเรื่องกับเจ้าขึ้นมา เจ้าจะให้ข้ากับมารดาเจ้าทำอย่างไร? แล้วก็อาเสาอีกคน กำเริบเสิบสานใหญ่แล้ว ถึงกับไปตรอกฮวาเอ๋อร์กับเจ้าแล้วจ้างฮูหยินพวกนั้นมาทำให้หลู่ซิ่นอับอาย ถ้าหลู่ซิ่นโมโหเลือดขึ้นหน้า ลากเจ้าให้ลำบากไปด้วยเล่า เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าจะรับมืออย่างไร?” พูดจบก็รู้สึกซาบซึ้งใจที่บุรุษชุดเขียวผู้นั้นได้รับการสั่งสอนมาดี
“เรื่องนี้เป็นข้าที่ไม่ดีเองเจ้าค่ะ!” อวี้ถังเอ่ย พลางเชิดชูความมีคุณธรรมของเถ้าแก่ถงว่า “เพราะไม่รู้ว่าภาพผืนนั้นเป็นของจริงหรือปลอม ในมือก็มีเงินทองเหลืออยู่ไม่เท่าไร ถึงได้อ้างไปว่าต้องการจำนำของ ความจริงควรจะไปขอร้องตรงๆ ให้เถ้าแก่ถงช่วยตรวจสอบให้ ส่วนทางเถ้าแก่ถง ต้องขอให้ท่านพ่อเตรียมของขวัญไปขอบคุณเขาสักหน่อยนะเจ้าคะ”
อย่างไรนางก็เป็นแค่เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหกเท่านั้น เรื่องสำคัญเช่นนี้ ต้องให้ผู้ใหญ่ในสกุลออกหน้าจึงจะถูกต้องเหมาะสม
“สมควรเป็นเช่นนั้น!” อวี้เหวินพยักหน้าติดๆ กัน เอ่ยว่า “หากสามารถรู้ได้ว่าบุรุษชุดเขียวผู้นั้นเป็นใครจะยิ่งดี…สมควรไปขอโทษเขาสักครั้งด้วย”
อวี้ถังผงกศีรษะ ยกภาพวาดในมือขึ้น ถามว่า “แล้วจะทำอย่างไรกับภาพผืนนี้เจ้าคะ?”
อวี้เหวินถอนหายใจเฮือก ตอบว่า “เก็บไว้เป็นที่ระลึกแล้วกัน! ถือเสียว่าจ่ายเงินซื้อบทเรียน ท่านลุงหลู่ของเจ้าอับอายขายหน้าเพียงนั้น คงไม่น่ากลับมาที่หลินอันอีกแล้ว”
อย่างนั้นย่อมดีที่สุด!
จะได้ไม่มีคนมาคอยชักชวนบิดานางให้ทำเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อยเปื่อย
อวี้ถังส่งเสียง ‘อืม’ ทีหนึ่ง แล้วเอ่ยเรื่องท่านผู้เฒ่าเผยขึ้นมาอีกรอบ “ท่านพ่อ ตอนที่ไปจวนสกุลเผยก็ลองถามอาการป่วยของท่านผู้เฒ่าเผยในช่วงหลายวันนี้ดูนะเจ้าคะ เฮ้อ! สกุลเราติดค้างหนี้น้ำใจเขาก้อนใหญ่ถึงเพียงนี้ หากว่ามีสิ่งใดที่พวกเราพอจะช่วยเหลือได้ ก็ต้องช่วยเหลืออย่างเต็มที่”
อวี้เหวินถลึงตาใส่นางทีหนึ่ง เอ่ยว่า “สกุลเผยจะขาดแคลนสิ่งใดไปได้? มีหรือที่ต้องให้เรายื่นมือช่วยเหลือ?”
อวี้เหวินเม้มปากหัวเราะ
อวี้เหวินรู้สึกขอบคุณสกุลเผย ตอนที่ไปเยือนจวนสกุลเผยจึงสอบถามอาการป่วยของท่านผู้เฒ่าอย่างจริงจัง
พ่อบ้านใหญ่สกุลเผยรู้เรื่องที่ท่านผู้เฒ่าเชิญหมอหลวงหยางกับหมอหลวงหวังไปตรวจอาการให้คนสกุลเฉิน ทั้งกิริยาของอวี้เหวินก็นอบน้อมจริงใจ จึงตอบเขาอย่างไม่ปิดบังว่า “ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก ก็แค่ไม่สบายทางใจ ถึงเรียกนายท่านสองกับนายท่านสามกลับมา นายท่านสามเป็นคนอยู่นิ่งไม่เป็น ทว่านายท่านสองแต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนเงียบๆ หลายวันนี้ก็ดื่มชาสนทนาเป็นเพื่อนท่านผู้เฒ่า ทั้งมีท่านหมอหลายคนคอยดูแล สังเกตว่าสีหน้าท่านผู้เฒ่าก็ดีขึ้นทุกวันๆ อยู่”
ส่วนเรื่องที่ว่าบุรุษชุดเขียวเป็นใคร พ่อบ้านใหญ่สกุลเผยก็ตอบอย่างคลุมเครือไม่ชัดเจน
อวี้เหวินคิดว่าต้องเป็นคนของสกุลเผยแน่นอนแล้ว คนของสกุลเผยไม่ยอมพูด เห็นชัดว่าไม่ได้เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ เขาก็ไม่สะดวกจะซักไซ้ จึงได้แต่จดจำน้ำใจนี้เอาไว้เท่านั้น
เขากลับมาก็เทศนาอวี้ถังต่อทันทีว่า “ถ้าเจ้ากล้าก่อเรื่องวุ่นวายอีก ข้าจะตีขาเจ้าให้หัก!”
อวี้ถังเดินเข้าไปบีบนวดไหล่ให้บิดาอย่างว่านอนสอนง่าย
อวี้เหวินไม่รู้จะจัดการกับบุตรสาวที่มาในรูปแบบนี้อย่างไร จึงได้แต่ถอนหายใจอย่างอับจน
วันที่สองเขาก็หิ้วพวกขนมน้ำชาสุราและของกินเล่นไปขอขมาเถ้าแก่ใหญ่ถง
เถ้าแก่ใหญ่ถงรับรู้ที่มาที่ไปของเรื่องราวทั้งหมดก็หัวเราะลั่น ไม่เพียงไม่กล่าวโทษอวี้ถัง ซ้ำชมว่านางกล้าหาญมีความรู้ ถึงกับฝากขนมดอกกุ้ยฮวา[2]มาให้อวี้ถังทานเล่นหนึ่งห่อ
เพียงแต่เขาก็ไม่ยอมบอกอวี้เหวินเช่นเดียวกันว่าบุรุษชุดเขียวผู้นั้นเป็นใคร
ความรู้สึกที่อวี้ถังมีต่อเถ้าแก่ใหญ่ถงจึงดีขึ้นไปอีกขั้น
พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น อวี้เหวินกับคนสกุลเฉินกลัวว่าอวี้ถังจะออกไปก่อเรื่องอีก หลังจากหารือกันเสร็จ ก็สั่งกักบริเวณอวี้ถัง ให้นางฝึกเย็บปักถักร้อยอยู่แต่ในเรือน
อาเสาตามสืบอยู่เป็นนานแต่ก็สืบไม่รู้เสียทีว่าบุรุษที่โรงจำนำในวันนั้นมีฐานะเช่นใดกันแน่
มีเรื่องใดในเมืองหลินอันบ้างที่จะรอดพ้นจากสายตาของคนสกุลเผยไปได้
เห็นอยู่ชัดๆ ว่าผู้อื่นไม่ยินดีจะพบนาง
อวี้ถังค่อยๆ ลืมเรื่องนี้ไป เพียงแต่บางทีก่อนเข้านอน ก็แวบไปคิดถึงเรื่องนี้จนนอนไม่หลับ นึกถึงสายตาที่บุรุษผู้นั้นใช้มองนาง ทำให้หัวใจไม่อาจสงบสุขได้เลย
————————————————————-
[1]คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนใส่รองเท้า หมายถึง คนที่ไม่มีอะไรให้เสียกับคนที่ครอบครองหลายสิ่งมาต่อสู้กัน ฝ่ายแรกย่อมเป็นผู้ชนะเสมอ เพราะเขาไม่มีอะไรให้กลัวจะสูญเสียอีกแล้ว
[2]ขนมดอกกุ้ยฮวา เป็นขนมทานเล่นที่นิยมขายทั่วไปตามท้องถนน มีทั้งทำจากแป้งข้าวเจ้า เนื้อจะเป็นเหมือนเค้กเบา ทำจากแป้งข้าวเหนียว ให้สัมผัสนุ่มหนึบ ทำจากแป้งแห้วหรือวุ้น เป็นต้น