ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 100 เหนือกว่า
อวี้ถังยังทำได้เลย เช่นนั้นเขาก็ควรจะลองสักตั้งใช่หรือไม่?
อวี้หย่วนกำลังตรึกตรอง พลันรู้สึกถึงความไม่สบอารมณ์ที่ปะทุอยู่หลายส่วน
เขาเอ่ยขึ้นมาว่า “เพียงแต่ข้าไม่เคยดูแลเรื่องไร่นาและสวนป่ามาก่อน อย่างไรจะนับว่าดูแลได้ดี? แล้วจะทำเช่นไรให้ท่านพ่อเชื่อว่าข้ามีความสามารถจัดการเรื่องในสกุลได้จริง?”
อวี้ถังกลัวว่าอวี้หย่วนจะไม่เชื่อนาง บัดนี้เห็นว่าอวี้หย่วนเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของนางอย่างจริงจัง นางย่อมบอกออกไปอย่างหมดเปลือกไม่ปิดบัง
“ก่อนหน้านี้ตอนที่มาไหว้บรรพบุรุษ พวกเรามิใช่เคยกลับไปที่บ้านเก่าหรือ?” นางเอ่ย “ไร่นาทางนั้นข้าไม่ทันได้สนใจ แต่ว่าสวนป่าของเรา ที่ขึ้นอยู่ก็มีแต่ไม้อะไรก็ไม่รู้ปะปนกันไปหมด ข้าได้ยินคนพูดว่า สวนป่าของเราสามารถปลูกต้นไม้ชนิดหนึ่งซึ่งผลของมันเอามาทำผลไม้เชื่อมได้ หากว่าพวกเราปลูกต้นไม้ชนิดนี้ ถึงเวลาที่มันออกผล เราก็เอามันมาทำผลไม้เชื่อมขาย”
ตอนแรกที่สองพี่น้องสกุลอวี้แยกบ้านกัน อวี้ป๋อด้วยคำนึงว่าอวี้เหวินเก่งแต่เล่าเรียนเขียนอ่าน ถึงได้ทิ้งที่นาไว้ให้เขาเก็บสวนป่าที่ไม่อาจทำประโยชน์ใดๆ ได้เอาไว้เอง ดังนั้นสวนป่าที่อวี้ถังพูดถึง ความจริงเป็นของครอบครัวอวี้หย่วน อีกทั้งสวนป่าผืนนั้นของอวี้หย่วน ตลอดหลายปีมานี้ นอกจากเผาเป็นฟืนขายได้นิดหน่อยในช่วงหน้าหนาว ก็ไม่เคยสร้างรายได้อื่นๆ จากมันได้อีก
อวี้หย่วนได้ยินดวงตาก็สว่างวาบ “เจ้าคิดให้ละเอียดหน่อยว่าได้ยินเรื่องนี้มาจากใคร? มีใครเคยทำผลไม้เชื่อมนี้บ้างหรือไม่? กินเข้าไปแล้วรสชาติเป็นเช่นไรบ้าง?” เขาพูดไป แต่จู่ๆ ก็รู้สึกกลัดกลุ้มขึ้นมา “ต่อให้ทำผลไม้เชื่อมได้ แต่เราจะไปหาคนที่ทำผลไม้เชื่อมเป็นจากที่ไหน?”
น้ำตาลที่อยู่ในเมืองหลินอันส่วนใหญ่มาจากกว่างซี ราคาจึงค่อนข้างสูง บ้านใดที่ฐานะการเงินย่ำแย่บางครั้งที่กินโจ๊กหรืออยู่ไฟ ก็ต้องใส่ผลไม้เชื่อมไปแทนน้ำตาล ดังนั้นผลไม้เชื่อมจึงเป็นที่นิยมอย่างมาก ทว่าผลไม้เชื่อมที่ทำเสร็จแล้วมักมาจากทางหูหนาน พวกเขาทางนี้ต่อให้มีคนทำเป็น แต่นั่นก็เป็นวิชาลับๆ ของสกุล พวกเขาไม่แน่ว่าจะหาคนที่มีฝีมือทางด้านนี้ได้
อวี้ถังตบลงที่อกตัวเอง หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์ “มาถามข้าสิ?”
อวี้หย่วนเห็นท่าทางเหลี่ยมจัดของนางแล้ว นึกได้ว่านางประสบเรื่องราวมาตั้งมากแต่ก็ยังร่าเริงสดใสไม่เปลี่ยน รู้สึกภาคภูมิใจในตัวน้องสาวผู้นี้นัก
เขายิ้มออกมาอย่างง่ายดาย ประสานมือคารวะไปทางอวี้ถังคล้ายว่าจริงจังเจือแหย่เล่น “ขอน้องสาวชี้แนะด้วย!”
อาจเพราะไม่มีเรื่องหนักใจ เสียงหัวเราะของอวี้หย่วนจึงดังมาก ทำเอาคนเกือบครึ่งเรือหันมามอง
คนที่สกุลกู้ส่งออกมาก็เช่นเดียวกัน
เพียงแต่พวกเขาทั้งสองฝ่ายไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
คนของสกุลกู้คิดว่าตัวเองเป็นคนเห็นอะไรมามาก กลับคาดไม่ถึงว่าบนเรือที่มุ่งหน้าไปหมู่บ้านเล็กๆ จะเจอพี่น้องที่รูปโฉมท่าทางไม่สามัญ คนได้แต่ลอบทอดถอนใจ และอดจะคิดต่อไม่ได้ว่า หลินอันนับว่าเป็นเมืองที่ดินน้ำสมบูรณ์ไม่เลว ถึงได้มีบุคคลที่โดดเด่นเช่นนี้ ไม่รู้ว่าบุตรเขยที่ ‘รูปงามเป็นเลิศ’ จนถูกนายหญิงชื่นชมหนักหนาท่านนั้น จะเหมือนดั่งสองพี่น้องคู่นี้หรือไม่…
อวี้หย่วนรู้สึกตัวว่าพวกตนรบกวนคนอื่นเข้า ดวงหน้าจึงขึ้นสี เขาก้มหน้าลงไม่พูดจาอีก ทุกคนถึงได้ดึงสายตากลับไป ต่างหันไปพูดคุยเรื่องของตนเองอีกครั้ง
“เจ้ามีความคิดเช่นไรรึ?” อวี้หย่วนเปิดปากอีกรอบ กดเสียงให้เบาลงมากกว่าครึ่ง “อย่าแกล้งให้ข้าอยากรู้อีกเลย”
อวี้ถังลอบหัวเราะอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบาลงคล้ายอวี้หย่วน “ข้าทำผลไม้เชื่อมเป็นเจ้าค่ะ แต่เคยทำเล่นๆ จำนวนน้อยเท่านั้น หากว่าคิดจะขายให้พวกพ่อค้า คงต้องลองดูว่าทำเช่นไรผลไม้เชื่อมจึงจะขายได้ราคาดี ส่วนสวนป่าผืนนั้นสามารถปลูกผลไม้ชนิดใดได้บ้าง ท่านพี่คงต้องไปลองถามดูเองแล้ว แต่ข้าได้ยินมาว่าต้นไม้นี้สูงเท่าหลังคา ผลที่ออกมาเป็นสีเหลืองส้ม ลูกขนาดเท่าหัวแม่มือ มีรสเปรี้ยวหวาน ด้านในมีเมล็ด ตอนที่ทำก็ต้องคว้านเมล็ดออกมาก่อน พอเป็นผลไม้เชื่อมแล้วจะมีรสหวานอมเปรี้ยว ทำให้เจริญอาหารและใช้กินเล่นได้ บ้านใดที่เด็กน้อยหรือคนแก่ไม่อยากอาหาร มักจะชอบซื้อกลับไปด้วย กินสักสองสามเม็ดเป็นใช้ได้ พวกเขา…ฮึ่ม พอทำเป็นผลไม้เชื่อมแล้วพวกเราก็พูดไปแบบนี้ ย่อมต้องขายได้อย่างแน่นอน”
ชาติก่อน เพราะเรื่องสวนป่าผืนนั้น คนสกุลเกาถึงด่าทออวี้หย่วนบ่อยๆ กระทั่งอวี้ถังที่ไม่ค่อยได้กลับบ้านยังเคยเห็นตั้งหลายหน นางเคยสงสัยว่าสวนป่าของตนที่ตกไปอยู่ในมือของสกุลเผยผืนนั้นเปลี่ยนไปเป็นสวนป่าที่อุดมสมบูรณ์ได้อย่างไร นางเคยถือโอกาสตอนที่ไปไหว้สุสานของบิดามารดาลอบสังเกตดู สกุลเผยแม้จะดูแลทรัพย์สมบัติของตนอย่างเข้มงวด แต่เมื่อได้ยินว่านางคือคุณหนูสกุลอวี้ที่แต่งเข้าเป็นสะใภ้สกุลหลี่ หลังจากรายงานให้นายท่านสามทราบแล้ว ก็เชิญนางเข้าไปชมด้วยความเคารพนบนอบ ทั้งมอบผลไม้เชื่อมชั้นดีอีกสองตะกร้าให้นางนำกลับมาด้วย
ตอนนี้มาคิดดู นางก็เคยได้รับน้ำใจจากเผยเยี่ยนมาก่อน
ไม่เพียงเท่านั้น ผู้ดูแลสวนป่ายังเคยบอกกับนางด้วยความปลื้มปริ่มว่า “ผลไม้ที่มีสีเหลืองส้มเรียกว่าซาจี๋ขอรับ นายท่านสามเป็นคนไปพบเข้าตอนที่ไปเที่ยวหาสหายซึ่งรับราชการอยู่ที่ซีเป่ย”
คิดถึงตรงนี้ อวี้ถังพลันรู้สึกว่าหน้าเห่อร้อน และรู้สึกผิดในใจ
นางเอ่ยว่า “หากบ้านเราปลูกผลไม้ชนิดนี้ออกมาได้ ทำเป็นผลไม้เชื่อม แล้วเอาไปขายที่ร้านค้าสกุลเผยก็คงดี”
การค้าขายพวกผลไม้เชื่อมนี้ คนที่ได้กำไรมากที่สุดคือพวกพ่อค้า แต่คนที่ลงมือทำนั้น จะได้เพียงเงินค่าฝีมือและความลำบาก ก็เหมือนกับคนปลูกฝ้ายแต่ไม่มีเสื้อผ้าฝ้ายสวม คนปลูกข้าวเจ้าแต่ไม่มีข้าวสวยกิน คนที่กอบโกยเงินล้วนเป็นเหล่าพ่อค้าทั้งสิ้น
อวี้หย่วนไม่เคยทำมาค้าขายของพวกนี้มาก่อน ทั้งไม่รู้ว่าของประเภทนี้ทำเงินได้มากน้อยเพียงใด สิ่งสำคัญคืออย่างไรเขาก็ยังอยากสร้างร้านเครื่องลงรักของสกุลอวี้ขึ้นมาให้ได้ ส่วนผลไม้เชื่อมนั้น สำหรับเขาเหมือนเป็นการพิสูจน์ความสามารถของตนเสียมากกว่า เพื่อจะใช้มันให้ได้มาซึ่งสิทธิ์และเสียงในการพูดจาในสกุล ดังนั้นจากความรู้สึกของอวี้หย่วน เขามองมันเป็นเพียงการค้าขายเล็กๆ น้อยๆ หาได้อยู่ในสายตาของเขาจริงๆ
เขาพูดว่า “นายท่านสามทำกิจการใหญ่โต ไม่แน่จะสนใจการค้าเล็กๆ เช่นนี้ หากว่าทำสำเร็จ ให้เหยาซานเอ๋อร์ขายก็เหมือนๆ กัน แต่ตอนนี้ต้องคิดวิธีหาต้นไม้ที่เจ้าพูดถึงให้เจอเสียก่อน”
มันต่างกันโดยสิ้นเชิง
หากว่าการค้านี้ทำได้สำเร็จ พวกเขาก็จะเป็นผู้ร่วมหุ้นคนแรกๆ ที่เหมางานยากลำบากของสกุลเผยไว้ทั้งหมด ยังคงเหมือนกับชาติก่อน มอบกำไรที่ควรจะเป็นของสกุลเผยคืนให้แก่เขา
แม้บอกว่าอินทรีย์ยังเหินอยู่บนฟ้า พวกเขาไม่สมควรรีบร้อนไปคำนวณถึงกำไรขาดทุน ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงคุณธรรมและขอบข่ายเส้นตายในใจของอวี้ถัง นางคิดว่าสมควรจะพูดกับอวี้หย่วนให้ชัดเจนถึงจะถูก
“ท่านพี่ สกุลเผยมีบุญคุณต่อพวกเรา” นางเอ่ยอย่างยืนกราน “พวกเราสกุลอวี้มีวันนี้ได้ ต้องขอบคุณสกุลเผยที่คุ้มครอง พวกเราไม่อาจหลงลืมตัวตนไป การค้าผลไม้เชื่อมนั้น ขอเพียงสกุลเราทำออกมาได้ อย่างไรก็ต้องขายให้สกุลเผย ถ้าเป็นการค้าอื่น หากเป็นของๆ เราก็นับว่าเป็นของสกุลเราไม่ผิด”
แม้นางจะเอาเปรียบโดยการมาเกิดใหม่ แต่ไม่อาจปล่อยให้การกลับมาของนางทำให้ผู้อื่นต้องเสียผลประโยชน์ แล้วชิงเอาสิ่งที่เป็นของผู้อื่นไปได้
อวี้หย่วนขบคิดอย่างละเอียด รู้สึกว่าคำของอวี้ถังมีเหตุผล เขาไม่ได้แสดงความเห็นเป็นอื่นอีก “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ รอให้กลับไปข้าจะพูดกับท่านพ่อ ดูว่าท่านพ่อมีความเห็นอย่างไรบ้าง” พูดจบ เขาก็หันมาส่งยิ้มให้อวี้ถัง “ถ้าท่านพ่อตกลงให้ข้าดูแลร้านค้า เช่นนั้นเจ้าก็ไปปลูกต้นไม้ที่สวนป่าเสีย สวนป่าของสกุลเรากว้างใหญ่ปานนั้น ตอนที่ไม่มีทางเลือกก็คงได้แต่ปล่อยทิ้งร้างเอาไว้ บัดนี้นับว่ามองเห็นทางแล้ว ย่อมไม่อาจปล่อยทิ้งให้สิ้นเปลืองได้อีก”
อวี้ถังตกตะลึง
อวี้หย่วนหัวเราะหึหึ
ทำเอานางหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก
นี่นับว่าเป็นการย้ายก้อนหินทับเท้าตัวเองหรือไม่?
พวกเขาเดินทางกลับมาถึงเมืองหลินอันอย่างราบรื่นตลอดเส้นทาง
ทุกสกุลในเมืองหลินอันเริ่มเตรียมตัวทำความสะอาดเรือนเพื่อฉลองวันปีใหม่เล็กแล้ว
อวี้ถังเพิ่งจะชำระกายเสร็จก็ถูกบิดาลากไปเรือนของท่านลุงใหญ่
อวี้ป๋อนั้นไม่รู้ว่าเพิ่งกลับมาจากร้านค้าหรือว่าไม่ได้ไปที่ร้านแต่แรก คาดไม่ถึงว่าเขาจะอยู่รอนางที่เรือน กระทั่งนางกล่าวทักทายท่านลุงเรียบร้อย อวี้ป๋อถึงได้เรียกอวี้หย่วนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จออกไป เอ่ยถามทั้งสองคนว่า “เป็นอย่างไร? ไปเมืองหังโจวครั้งนี้เก็บเกี่ยวสิ่งใดมาได้บ้างล่ะ?”
น้ำเสียงนั้นเจือด้วยความร้อนรนแทบทนไม่ไหว
อวี้หย่วนอดจะหันมาแลกเปลี่ยนสายตากับอวี้ถังไม่ได้ เขาเป็นตัวแทนของสองพี่น้องเปิดปากตอบไปว่า “ใช้ได้เลยขอรับ! พวกเราแวะไปหาเหยาซานเอ๋อร์พักหนึ่ง แล้วก็ไปกินข้าวกับเถ้าแก่รองถง พาอาถังไปเดินเล่นดูของ พบว่าร้านค้าในเมืองหังโจวแต่ละร้านล้วนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ต่างกันไป บ้างก็ขายของถูกกว่าเจ้าอื่นๆ บ้างก็เด็กในร้านฉลาดเฉลียวมีไหวพริบ บ้างก็มีฝืมือเฉพาะของวงศ์สกุล”
เขาไม่ลนลานรีบร้อน เล่าทุกอย่างที่ได้ยินได้เห็นจากเมืองหังโจวตลอดสองวันออกมาเป็นลำดับ นี่คือเรี่ยวแรงที่ลงไปสองวันเต็ม อวี้ถังพลันรู้สึกว่าจู่ๆ ญาติผู้พี่ของนางสุขุมกว่าเดิมมาก ค่อยจะมองเห็นเงาของคนที่ทั้งประสบความสำเร็จและเชื่อมั่นในตัวเองอย่างชาติก่อน
หรือเพราะเขามีจุดมุ่งหมายที่ต้องฝ่าฝัน?
อวี้ถังใช้ความคิด ไม่รู้ว่าใจลอยไปถึงเรื่องต้นซาจี๋ตั้งแต่เมื่อไร
นางไม่อาจเล่าเรื่องที่ตนกลับมาเกิดใหม่อีกครั้งให้ญาติผู้พี่ฟังได้ และไม่อาจบอกให้ญาติผู้พี่ไปหาต้นซาจี๋มาอย่างทื่อๆ ได้แต่ให้เขาตามหามันจากคำบรรยายของนางเท่านั้น ไม่ต้องพูดถึงญาติผู้พี่ของนาง ไม่ว่ากับใครล้วนเหมือนกับงมเข็มในมหาสมุทรทั้งสิ้น เขาอาจเสียเวลาไปหลายปีโดยไม่ได้อะไรกลับมา แถมเรื่องที่อยากให้ท่านลุงใหญ่เห็นความสำคัญของญาติผู้พี่นั้นก็จะยิ่งช้าขึ้นไปอีก วิธีที่ดีที่สุดคืออาศัยความทรงจำของนางในชาติก่อนตามหาต้นซาจี๋แล้วรีบปลูกมันให้สำเร็จโดยไว
เช่นนั้นนอกจากเผยเยี่ยนและสกุลเผยแล้ว ยังมีใครพอรู้เรื่องต้นไม้ชนิดนี้อีก?
อวี้ถังเค้นสมองจนศีรษะแทบแตก
อวี้หย่วนทางนั้นก็เหมือนกับที่นางคิดเอาไว้ แม้กิจการของร้านค้าจะย่ำแย่ นอกจากวันเปิดร้านที่คึกคักช่วงหนึ่ง หลายวันนี้ก็แทบขายอะไรไม่ออกเลย ทว่าอวี้ป๋อก็ยังปฏิเสธข้อเสนอที่จะมอบร้านให้อวี้หย่วนดูแลโดยไม่หยุดคิดสักนิด
จากคำพูดของท่านลุงใหญ่ เขาบอกว่าญาติผู้พี่ยังไม่ได้ก่อร่างสร้างตัวเลย แล้วจะเข้าใจการทำมาค้าขายได้อย่างไร?
ส่วนเรื่องที่อวี้หย่วนบอกว่าจะขอเข้าไปดูแลไร่นาและสวนป่านั้นก็ถูกเขาแค่นเสียงใส่ “รายได้จากที่นาและสวนป่าไม่กี่หมู่จะทำอะไรได้? เจ้าเลิกคิดเรื่อยเปื่อยได้แล้ว ติดตามข้าเรียนรู้วิชาทำมาหากินให้ดีก็พอแล้ว รอให้เจ้าแต่งกับคุณหนูเซียง คลอดหลานอวบอ้วนให้ข้าสักหลายคน ข้าก็คงกลายเป็นตาแก่ที่มีความสุขกับการเลี้ยงหลานแล้ว ถึงเวลานั้นค่อยยกกิจการร้านค้าให้เจ้ากับอาถัง ข้ากับท่านอาเจ้าจะคอยช่วยพวกเจ้าเลี้ยงดูเด็กๆ เอง อย่างไรก็ต้องปั้นซิ่วไฉไม่ก็จวี่เหรินออกมาสักคนให้ได้”
อวี้หย่วนหงุดหงิดแทบทนไม่ไหว
ตั้งแต่เมื่อไรที่เขาไม่อาจเทียบได้แม้กระทั่งอวี้ถัง!
ร้านค้าของสกุลมิใช่จะยกให้เขา เพื่อให้เขาดูแลอวี้ถังให้ดี แต่กลายเป็นว่าจะยกให้พวกเขาทั้งสองคน
แล้วเขาที่เป็นพี่ชายจะมีไว้ทำไมกัน?
นอกจากให้กำเนิดหลานตัวอวบอ้วนก็ไม่มีประโยชน์อื่นอีกแล้วหรือ?
เขานั่งโมโหงุ่มง่ามเพียงลำพังอยู่ในห้อง
แต่พอหายโกรธแล้วกลับมาย้อนคิดดู มันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ
อวี้ถังอาศัยความสามารถของตนจนครองตำแหน่งหลักในหัวใจของบิดาเขาแล้ว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่นางสามารถมายืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเขาได้ และดูจากเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้น อวี้ถังก็นับว่ามีกำลังที่จะยืนเคียงข้างเขาจริงๆ ไม่สิ ถึงขนาดพูดได้ว่า อวี้ถังเป็นคนมีความคิดยิ่งกว่าเขา เก่งกาจเหนือกว่าเขาเสียอีก
เขาผู้เป็นพี่ชายนี้ไม่อาจสู้น้องสาวได้เลย
อวี้หย่วนเดินวนไปวนมาอยู่ในห้องหลายรอบ ก่อนจะวิ่งไปที่เรือนของอวี้ถัง
————————————————–