ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 125 เจียงหลิง
โรงสุราผิงอันมีประตูด้านหน้าแยกเป็นสองฝั่งอยู่ติดถนน ฝั่งหนึ่งเป็นโต๊ะบริการแขก อีกฝั่งหนึ่งวางโต๊ะห้าหกตัว นั่งได้เพียงไม่กี่คน แต่เมื่อเดินเข้าไปกลับยังมีสถานที่สวยงามซ่อนอยู่อีก
“ด้านหลังยังมีลานกว้างอีกแห่งหนึ่ง” อวี้หย่วนเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ปลูกต้นไผ่เป็นกกกอให้ร่มเงา จัดวางโต๊ะอีกหลายสิบตัว ยามที่ไร้ลมฝนหิมะ ทุกคนล้วนชอบนั่งด้านนอกกันทั้งนั้น หากอากาศไม่ดี ก็นั่งในห้องแทน…ด้านในแบ่งเป็นโถงโล่งสามช่อง ข้าสังเกตดูอย่างละเอียดแล้ว แต่ละโถงสามารถวางโต๊ะได้สิบกว่าตัว ยังมีชั้นสอง แต่ชั้นสองล้วนเป็นห้องส่วนตัว นับว่าเป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นโรงสุราเช่นนี้ มิน่าเล่าคนจึงมักเดินทางมาที่ซูโจว นับว่าซูโจวดูคึกคักกว่าหังโจวจริงๆ” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็หัวเราะร่า “แต่ก็อาจเป็นเพราะข้าไม่ค่อยได้ไปไหนเช่นกัน ความรู้ตื้นเขิน จึงไม่มีโอกาสเห็นว่าหังโจวดีกว่าที่นี่ตรงไหน”
อวี้ถังและคนสกุลเซียงต่างก็เม้มริมฝีปากแย้มยิ้ม
อวี้หย่วนยังคงเอ่ยต่อ “ข้าให้เงินเด็กรับใช้ในร้านไปเล็กน้อย เพื่อสืบข่าวของสกุลเจียง”
นี่ค่อยนับว่าเข้าสู่ประเด็นแล้ว
อวี้ถังและคนสกุลเซียงหยัดกายตรงขึ้นมา
ท่าทีของอวี้หย่วนก็เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น “เจียงเฉา ผู้ดูแลของสกุลเจียง ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำการค้าทางทะเลมาก่อน ทุกคนจึงไม่ค่อยเชื่อมั่นเขาเท่าใด หลายวันมานี้เขากำลังตระเวนหาผู้ร่วมหุ้นไปทุกหนทุกแห่ง จะเป็นเงินก็ดี ร่วมหุ้นด้วยสินค้าก็ได้ แต่ครั้งนี้ต้องการผู้ร่วมหุ้นใบชาและเครื่องเคลือบลายครามเท่านั้น สินค้าอื่นๆ ได้เตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ข้ารู้สึกไม่วางใจ เมื่อสบโอกาส ข้าและผิงกุ้ยจึงเชิญเด็กในร้านคนนั้นไปกินข้าวข้างนอกเพียงลำพัง ฟังจากคำพูดของเขา เจียงเฉาอาจจะไม่ใช่หัวหน้า เป็นไปได้ว่าการค้าทางทะเลครั้งนี้เขาจะเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งการลงทุนครั้งนี้ เขารับคนเดียวไม่ไหว ดังนั้นจึงมาหาหุ้นส่วนในเมืองซูโจว ข้าว่าเรื่องนี้เสี่ยงอยู่บ้าง วางแผนว่าจะไปสืบข่าวพรุ่งนี้อีกครั้ง”
อวี้ถังพยักหน้าระรัว “เช่นนั้นพวกเราก็ดำเนินการไปพร้อมกัน ข้าไปสืบข่าวทางน้องสาวเจียงเฉา พรุ่งนี้จะเข้าไปหานาง ส่วนท่านก็ไปพบเจียงเฉา”
อวี้หย่วนครุ่นคิดเล็กน้อย “ไม่เช่นนั้น ข้าและพี่สะใภ้เจ้าเข้าไปพบเจียงเฉาด้วยกันดีกว่ากระมัง? ข้าไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าใด”
คนสกุลเซียงได้ฟังก็ชื่นชมไม่น้อย
นอกจากสามีจะรูปงาม ให้ความเคารพรักแก่นางแล้ว ยังสามารถทำเรื่องต่างๆ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
ขาดเพียงประสบการณ์อยู่บ้างเท่านั้น
แม้ว่าจะขาดทุนไปบ้าง ก็นับว่าซื้อประสบการณ์ ซื้อบทเรียนก็แล้วกัน
ใครที่ทำกิจการไม่เคยพบเรื่องเช่นนี้บ้างเล่า!
อวี้ถังยิ่งไม่ต้องพูดถึง นางมีความสามารถมากกว่าอวี้หย่วนเสียอีก
สองพี่น้องร่วมใจกัน ย่อมเกิดพลังที่ยิ่งใหญ่
ในอนาคตพวกเขาย่อมก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
“น้องสาว เจ้าคิดว่าอย่างไร?” คนสกุลเซียงถามอวี้ถัง
อวี้ถังก็คิดอยากไปพบเจียงหลิงเพียงลำพังอยู่พอดี อยากจะพินิจพิเคราะห์นิสัยใจคอของเจียงหลิง นางไปคนเดียว จะพูดคุยสะดวกกว่า
“เช่นนั้นพี่สะใภ้ก็ไปกับท่านพี่เถิด!” นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณหนูสกุลเจียงนั้นเป็นสตรี พวกเราพูดคุยย่อมไม่มีอะไรให้กังวล เจียงเฉากลับเป็นคนห้าวหาญ หากท่านพี่และเขาคุยไม่ถูกคอ พี่สะใภ้ยังสามารถเอ่ยประนีประนอมได้”
คนสกุลเซียงพยักหน้า
อวี้หย่วนกลับเอ่ยว่า “เจ้ากล่าวว่าเจียงเฉาเป็นคนห้าวหาญ เจ้าไปได้ยินมาจากไหนกัน?”
ยามนี้อวี้ถังจึงเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองพลั้งปากไป ละล่ำละลักกล่าวเสริม “เขาขายเรือที่บิดาทิ้งไว้ ไปเดินเรือกับลุงของตัวเอง ทั้งยังเริ่มเดินสายการค้าทางทะเลในเวลาสั้นๆ เพียงสองปี จะเห็นได้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา ไม่เรียกว่าห้าวหาญแล้วจะเรียกว่าอย่างไร?” คล้อยหลังก็ยังเอ่ยเตือนอวี้หย่วน “คนเช่นนี้ แม้ว่าจะไม่สามารถร่วมมือ แต่ก็ไม่อาจล่วงเกินได้”
“เจ้าวางใจ ข้าจะพิจารณาเองว่าควรทำอย่างไร” อวี้หย่วนรับปาก
พี่ชายของตน ภายหลังก็จะเป็นผู้ประคับประคองกิจการของสกุล
อวี้ถังไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
เช้าตรู่วันถัดมา นาง พี่ชายและพี่สะใภ้ก็กินอาหารเช้าด้วยความรวดเร็ว กลับเข้าห้องไปผลัดผ้า แต่งกายใหม่ ก่อนจะเดินทางไปสกุลอวี๋
สกุลอวี๋ห่างจากสกุลเจียงเพียงระยะยิงธนูเท่านั้น กำแพงสีขาวหลังคาสีเทา ประตูหรูอี้[1]สีดำ ด้านซ้ายและขวาวางแท่นหินรองประตูทรงสี่เหลี่ยมขนาดครึ่งลำตัวคน
ดูท่า เมื่อก่อนสกุลอวี๋คงมีคนเคยรับราชการ ทั้งยังอยู่ในระดับที่ไม่ธรรมดา อย่างน้อยที่สุดก็คงเป็นขุนนางระดับสี่
คนเฝ้าประตูสกุลอวี๋ได้ยินว่ามีคนมาขอเข้าพบสะใภ้ใหญ่ของสกุล ทั้งยังมาจากหลินอัน จึงตกใจไม่น้อย รีบเร่งเข้าไปรายงานกับเจียงหลิง
เจียงหลิงกำลังปรนนิบัติป้อนยาสามี เมื่อไถ่ถามอย่างละเอียด กลับไม่ได้ข้อมูลสำคัญอะไร จึงทำได้เพียงเชิญคนไปยังโถงรับแขก นางส่งมอบธุระในห้องเสร็จสรรพแล้ว ก็เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไปพบแขก
จากที่ไกลๆ นางก็เห็นสตรีผู้หนึ่งสวมเสื้อคลุมผ้าหังโฉวสีเขียวอมน้ำเงิน มวยผมทรงก้นหอย หยัดกายตรงยืนชื่นชมรูปห้าสตรีอวยพรญาติผู้ใหญ่ที่แขวนอยู่กลางห้องโถง
แสงอบอุ่นของรุ่งอรุณสาดส่องบนร่างของนาง คล้ายไผ่เขียวชอุ่มที่กำลังแตกใบงอกงาม เป็นภาพที่ทำให้คนมองประทับใจอย่างลึกล้ำ
นางใบหน้าร้อนผ่าว เข้าประตูก็กล่าวอธิบาย “ไม่กี่วันก่อนแม่สามีข้าเพิ่งฉลองวันเกิด จึงไม่ทันได้ปลดลงมา”
ภาพวาดที่แขวนอยู่กลางห้องโถงมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลต่างๆ เวลานี้ ควรจะแขวนรูปจำพวกนกบุปผาหรือผลไม้ แต่ร่างกายคุณชายใหญ่อวี๋แย่ลงทุกวัน คนในเรือนล้วนไม่มีใจจะให้ความสำคัญเรื่องพวกนี้
อวี้ถังไม่ทราบเวลาที่คุณชายใหญ่อวี๋จากไปอย่างแน่ชัด แต่เมื่อครุ่นคิดดูก็เหมือนจะเป็นยามนี้ ฟังจบก็อดสลดใจไม่ได้
“นายหญิงน้อยกล่าวเกินไปแล้ว” นางเผยยิ้มอย่างเกรงใจ หมุนกายเอ่ย “ไม่มีใครกำหนดว่าควรจะแขวนภาพอะไรเสียหน่อย ตัวเองชื่นชอบสิ่งใดย่อมเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
เมื่อเจียงหลิงเห็นใบหน้าของอวี้ถังอย่างชัดเจน ชั่วขณะนั้นก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างไสวขึ้นมา
นางพบเห็นสาวงามมามาก แต่สตรีอย่างอวี้ถังที่นอกจากใบหน้าสะสวย บุคลิกงามสง่าดุจหยก ทั้งยังพร่างพราวสดใสดั่งบุปผานับว่าพบเห็นน้อยยิ่ง
นางอดเอ่ยไม่ได้ “คุณหนูคือ?”
เจียงหลิงกลัวว่าอวี้ถังจะเป็นสหายเก่าของสกุลอวี๋
อวี้ถังพบเจียงหลิงกลับตกใจเสียกว่า
ในความคิดของนาง สตรีที่ทำเรื่องไม่ด้อยไปกว่าผู้ชายอย่างเช่นเจียงหลิง แม้ว่าจะไม่เป็นคนคิ้วหนาตาโต หลังตรงสูงเพรียว ก็ควรเป็นผู้หญิงที่ใบหน้าเคร่งขรึม ท่าทีรอบคอบจริงจัง แต่มองเจียงหลิง นางกลับรูปร่างพอๆ กับตนเอง ค่อนข้างผอมบาง ใบหน้าที่ขนาดเท่าฝ่ามือ เห็นเพียงดวงตากลมโตกระจ่างใส ขนตายาวราวกับพัดเล็กๆ ที่เรียงตัว ใบหน้าอ่อนเยาว์ รอยยิ้มฝืดเฝื่อน ไหนเลยจะเหมือนนายหญิงน้อยที่รับผิดชอบดูแลเรื่องในเรือน กลับจะเหมือนคุณหนูที่ยังไม่รู้ประสาเสียมากกว่า
ชั่วพริบตานั้นอวี้ถังถึงกระทั่งสงสัยว่าตัวเองมาหาคนผิดหรือไม่
“ท่าน ท่านก็คือนายหญิงน้อยของสกุลเจียง” นางเอ่ยอย่างลังเล “เป็นน้องสาวของนายท่านเจียงเฉาใช่หรือไม่?”
เจียงหลิงถอนหายใจอย่างโล่งอก
ในเมื่อเอ่ยถึงพี่ชายของนาง จะเห็นได้ว่าคงจะเป็นญาติไม่ก็สหายเก่าทางสกุลเจียง นางไม่รู้จัก พี่ชายนางก็คงรู้จัก
“เช่นนั้นท่านคือ?” นางถามอวี้ถังอย่างระมัดระวัง
อวี้ถังแย้มยิ้มเอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มา “ข้าสกุลอวี้ มาจากหลินอัน ท่านอาจจะไม่เคยได้ยินมาก่อน สกุลของพวกเราทำกิจการเครื่องลงรัก หลายวันนี้ข้าและพี่ชายมาซื้อสีแถวนี้ ได้ยินว่านายท่านเจียงอยากทำการค้าทางทะเล กำลังหาผู้ร่วมหุ้น ชายหญิงมีธรรมเนียมที่เคร่งครัด ข้าไม่อาจไปหานายท่านเจียงตรงๆ จึงทำได้เพียงมาหยั่งเชิงจากท่าน ดูว่าพวกเราพอจะสามารถเป็นหุ้นส่วนกันได้หรือไม่”
แม้เจียงหลิงจะไม่รู้จักนาง แต่ก็เกิดความรู้สึกดีกับนางไม่น้อย ไม่สนิทชิดเชื้อกับตัวเองกลับกล้าเข้ามาหา นี่ทำให้เจียงหลิงนับถืออย่างยิ่ง
นางเชิญอวี้ถังดื่มชาอย่างเป็นมิตร เอ่ยถึงการค้าของพี่ชายนางขึ้นมา “ขอบคุณคุณหนูอวี้ให้ความสนใจ เพียงแต่ข้าไม่เคยยุ่งกับการค้าของพี่ชายมาก่อน แต่ข้าทราบเรื่องที่เขาหาผู้ร่วมหุ้นดี พี่ชายข้าเป็นคนซื่อตรง หากพวกเจ้าสามารถร่วมหุ้นได้ ย่อมมิอาจทำให้พวกเจ้าเสียเปรียบ ทั้งแต่ไหนแต่ไรพี่ชายข้าก็ทำเรื่องเหมาะสมมาโดยตลอด สตรีร่วมลงทุน ย่อมมีผู้ดูแลหญิงคอยจัดการโดยเฉพาะ ข้าจะให้คนเรียกผู้ดูแลหญิงของสกุลพวกเรามาเดี๋ยวนี้ ท่านมีเรื่องอะไรก็ถามนางได้ หรือจะฝากคำพูดให้นางไปบอกพี่ข้าก็ได้เช่นกัน”
มีผู้ดูแลหญิงจัดการโดยเฉพาะ หรือยังมีสตรีอีกมากมายที่ร่วมหุ้นกับการค้าของเจียงเฉา?
อวี้ถังขบคิดอยู่ในใจ ภายนอกกลับไม่ปรากฏท่าทีใด เอ่ยยิ้มกับเจียงหลิง “เช่นนั้นก็รบกวนนายหญิงน้อยแล้ว”
“รบกวนที่ใดกัน!” เจียงหลิงเกรงใจอย่างยิ่ง ให้คนไปเรียกผู้ดูแลหญิงของสกุลเจียงมาทันที ไม่ถามมากความว่าอวี้ถังทราบเรื่องที่สกุลพวกเขากำลังหาผู้ร่วมหุ้นได้อย่างไร ทั้งไม่สงสัยว่าอวี้ถังหาที่อยู่ของนางพบได้อย่างไรเช่นกัน
อวี้ถังลอบขมวดคิ้วในใจ
เดิมทีเจียงหลิงผู้นี้ก็ไม่ได้หลักแหลมเหมือนที่ล่ำลือขนาดนั้น!
นางรู้สึกขัดแย้งอยู่ในใจ ยามที่กำลังรอผู้ดูแลหญิงของสกุลเจียงก็คุยกับเจียงหลิงต่อ “ไม่ทราบว่านายหญิงน้อยร่วมหุ้นกับการค้าครั้งนี้ของนายท่านเจียงไปเท่าใด?”
เจียงหลิงได้ยินพลันเผยสีหน้าลำบากใจขึ้นมา พูดอึกอักอยู่พักใหญ่ กระนั้นอวี้ถังก็ฟังไม่ออกแม้แต่น้อย
หรือไม่ได้ร่วมหุ้น?
อวี้ถังตกใจจนหน้าถอดสี
เวลานี้เจียงหลิงจึงค้นพบว่าตัวเองทำเรื่องพลาดไป
คนในเมืองซูโจวล้วนไม่เชื่อมั่นว่าพี่ชายของนางจะทำการค้าทางทะเลได้ นางที่เป็นน้องสาวควรจะเป็นคนแรกที่ยืนหยัดสนับสนุนพี่ชายตัวเอง หากให้คนอื่นรู้ว่ากระทั่งนางก็ไม่ได้ร่วมหุ้นกับพี่ชาย คนอื่นก็คงไม่เชื่อมั่นในตัวพี่ชายนางมากขึ้นอีก
นางละล่ำละลักอธิบาย “ข้าย่อมอยากร่วมหุ้น แต่ท่านก็เห็น ยามนี้ข้าเป็นสะใภ้ของสกุลอวี๋ เรื่องทำการค้า จำต้องถามสามีของข้าก่อน ลำพังแค่หลายวันมานี้สามีข้าก็ยังป่วยหนัก จึงไม่ได้หาโอกาสเอ่ยถึงเรื่องนี้มาโดยตลอด…”
อวี้ถังรู้สึกเหนื่อยใจ นางฝืนยิ้มเอ่ยรับว่า “ไม่เป็นไร”
เจียงหลิงยังต้องการอธิบายอีก แต่ผู้ดูแลหญิงของสกุลเจียงกลับมาถึงก่อน
ผู้ดูแลหญิงคนนั้นรูปลักษณ์ธรรมดา อายุประมาณสามสิบปี ผิวขาวผ่อง ยังมีไฝเล็กๆ ที่มุมปาก
เมื่อเห็นอวี้ถัง นางก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะคำนับให้เจียงหลิง ยังไม่ทันที่เจียงหลิงจะเอ่ย ก็กล่าวขึ้นก่อน “นายหญิงน้อย ท่านมีเรื่องอันใดเจ้าคะ?” พูดจบ ก็มองอวี้ถังอย่างระแวดระวังไปที
เจียงหลิงเล่าจุดประสงค์ที่อวี้ถังมาให้ผู้ดูแลหญิงฟังด้วยรอยยิ้ม ทั้งยังแนะนำผู้ดูแลหญิงให้อวี้ถังว่า นางสกุลเจียงเช่นกัน ให้อวี้ถังเรียกนางว่า ‘แม่นางเจียง’ ก็เพียงพอแล้ว
อวี้ถังทักทายแม่นางเจียง แม่นางเจียงคำนับตอบ ก่อนจะไถ่ถามเบื้องลึกเบื้องหลังของอวี้ถัง “คุณหนูอวี้มาจากหลินอันรึ? ไม่ทราบว่ายังมีใครมาด้วยหรือไม่? ไฉนจึงมาซื้อสีน้ำมันที่ซูโจวเพียงลำพังได้? แล้วเหตุใดจึงอยากร่วมหุ้นกับการค้าของสกุลเจียงพวกเรา? วางแผนจะร่วมหุ้นคนเดียว หรือจะร่วมหุ้นกับคนในครอบครัวด้วย?”
หญิงสาวบางคนย่อมใช้โอกาสเช่นนี้หาเงินส่วนตัวเข้ากระเป๋าตัวเอง
นี่เป็นคำตอบที่อวี้ถังเตรียมมาตอบคำถามของเจียงหลิง ทว่าเจียงหลิงกลับไม่ถามสักคำ เป็นแม่นางเจียงที่ถามแทน
“ข้าเป็นสตรีในสกุลเพียงคนเดียว มีญาติผู้พี่อีกหนึ่งคน ครั้งนี้ออกจากเรือน มาพร้อมกับญาติผู้พี่และพี่สะใภ้…” ยามนี้อวี้ถังผิดหวังกับเจียงหลิงอยู่บ้าง เอ่ยถึงจุดประสงค์ที่มาของตัวเองกับแม่นางเจียงอย่างเรียบนิ่ง
แม่นางเจียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ยังคงแสดงความต้อนรับ เอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องสำคัญ อย่างไรคุณหนูกลับไปปรึกษากับญาติผู้พี่แล้วค่อยวางแผนอีกทีเถิด!”
————————–
[1]ประตูหรูอี้ คือประตูเข้าเรือนด้านหน้าในสมัยโบราณประเภทหนึ่ง มีเสาคานและหลังคาปกคลุม