ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 126 เจียงเฉา
นี่ก็เป็นความคิดของคนทั่วไป
เจียงหลิงยังคอยเสริมอยู่ด้านข้าง “ใช่แล้วคุณหนูอวี้! เรื่องร่วมหุ้นทางพวกเรายังว่าง่าย ประเด็นอยู่ที่เจ้าต้องหารือกับคนในครอบครัวก่อน ครอบครัวเจ้าจะได้ไม่โทษว่าพวกเราหลอกลวงเจ้า”
อวี้ถังกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เอ่ยเป็นมารยาทกับเจียงหลิงและแม่นางเจียงไม่กี่คำ ก็บอกลาจากมา
แม่นางเจียงอดตำหนิเจียงหลิงไม่ได้ “นายหญิงน้อยไม่ควรยุ่งเรื่องพวกนี้นะเจ้าคะ หากมีคนมาหาอีก ท่านบอกไปว่าไม่รู้ก็เพียงพอแล้ว”
แม่นางเจียงเป็นข้ารับใช้สินเดิมของมารดาเจียงหลิง เป็นคนที่เห็นเจียงหลิงตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ หลังจากบิดาของเจียงหลิงป่วยตาย มารดาก็ป่วยตาม โชคดีที่เรื่องน้อยใหญ่ในเรือนสกุลเจียงมีแม่นางเจียงคอยจัดการ เจียงหลิงจึงให้ความเคารพนางไม่น้อย ด้วยเหตุนี้นางจึงไม่คิดว่าแม่นางเจียงพูดผิดแต่อย่างใด กลับเอ่ยปลอบแทน “ข้าก็ทำเพราะเป็นห่วงการค้าของท่านพี่มิใช่รึ? ภายหลังหากพบเจอเรื่องเช่นนี้อีก ย่อมจะให้เจ้าเข้ามาดูก่อน”
แม่นางเจียงได้ฟังก็สงสารทั้งจนใจ ทำได้เพียงดึงมือของเจียงหลิง “นายหญิงน้อย ที่ไม่ให้ท่านยุ่งเรื่องพวกนี้ก็เป็นความต้องการของนายท่านเช่นกัน อย่างไรท่านก็ฟังคำขอของข้าหน่อยเถิด! คนอย่างเช่นคุณหนูอวี้ ใครจะรู้ว่าวางแผนอันใดอยู่ หากสกุลพวกเขาอยากจะทำการค้ากับสกุลพวกเราจริงๆ เหตุใดไม่ไปหานายท่าน กลับอ้อมค้อมมาหาท่านเช่นนี้?”
บางทีอวี้ถังอาจจะคิดว่านางพูดง่ายกว่ากระมัง?
เจียงหลิงลอบพึมพำอยู่ในใจ ใบหน้ากลับไม่ปรากฏท่าทีใด ยังคงส่งแม่นางเจียงออกไปด้วยรอยยิ้ม
—
ด้านอวี้ถังกลับคิดว่าท่าทีเมื่อครู่ของตัวเองไม่ถูกต้องนัก
บางทีเจียงหลิงอาจจะเป็นเหมือนนางก็ได้ ต้องผ่านเรื่องราวอะไรบางอย่างจึงจะค่อยๆ เก่งกาจขึ้นมาได้
เดิมทีนางก็อยากพบหน้าเจียงหลิงเท่านั้น ดูว่าเจียงหลิงเป็นคนอย่างไร ยามนี้ได้พบ เป้าหมายก็บรรลุแล้ว ควรนับว่าเสร็จสมดั่งใจปรารถนา
อวี้ถังกลับมาขบคิดที่โรงเตี๊ยม
อวี้หย่วนและคนสกุลเซียงยังไม่กลับมา
อวี้ถังจึงกินข้าวกลางวันเพียงคนเดียว คิดว่าพรุ่งนี้เช้าตรู่ก็จะกลับหลินอันแล้ว นางจึงจัดเก็บข้าวของที่ซื้อมาให้เป็นระเบียบเรียบร้อย
ในยามนี้อวี้หย่วนและภรรยาจึงค่อยกลับมา
แต่ทั้งสองคนล้วนกลับมาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม ดูท่าคงจะทำเรื่องได้ดีไม่น้อย
อวี้ถังรีบถามพวกเขาทั้งสองว่าได้กินข้าวมาหรือยัง
“กินแล้ว กินแล้ว” คนสกุลเซียงดื่มชาที่ซวงเถารินให้ไปหนึ่งคำ ก่อนเอ่ยกับอวี้ถังอย่างดีใจ “วันนี้พวกเราโชคดีไม่น้อย เพราะพี่ชายเจ้าให้ค่าเหนื่อยเด็กรับใช้ที่โรงสุราคนนั้น เขาจึงเอาใจใส่พวกเราอย่างยิ่ง เมื่อเย็นวานนี้ก็ไปพบผู้ดูแลคนหนึ่งของลุงเจียงเฉา จึงได้สืบเรื่องการค้าของเจียงเฉามาอย่างละเอียด”
อวี้ถังได้ยิน ก็ปรี่เข้าไปนั่งข้างคนสกุลเซียงทันที ยังผลักจานของว่างให้คนสกุลเซียงอย่างว่องไว
คนสกุลเซียงหยิบขนมหนึ่งชิ้นด้วยรอยยิ้ม เอ่ยต่อ “ยังคงเป็นเหมือนที่พี่ชายเจ้าสืบมาเมื่อวานจริงๆ ครั้งนี้เขาเดินเรือกับครอบครัวสกุลหวังทางหนิงปัว สกุลนั้นก็เหมือนกับเขา ช่วยเจ้าของเดินเรือมาหลายสิบปี ยามนี้เจ้าของไม่อยู่แล้ว ลูกชายทั้งสองของเจ้าของทะเลาะแยกสกุลกัน เขาจึงวางแผนออกมาทำคนเดียว เรียกกันว่ากลุ่มเรือ แต่ในความเป็นจริงเป็นกลุ่มเรือที่ร่วมกันจัดตั้งกับหลายสกุล สกุลหวังมีเรือเพียงลำเดียว ส่วนสกุลเจียงก็เป็นหุ้นส่วนในเรือลำนี้เท่านั้น คล้อยหลังข้าและพี่เจ้าก็ไปพบเจียงเฉา”
พูดถึงตรงนี้ นางก็ลอบชื่นชม เอ่ยว่า “คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าเจียงเฉาคนเดินเรือผู้นั้นจะมีท่าทีสุภาพเรียบร้อย คล้ายบัณฑิตคนหนึ่ง แต่วาจาการกระทำกลับโผงผางตรงไปตรงมา เห็นพวกเรา ก็ไม่พูดโม้โอ้อวดเกินจริง เล่าสถานการณ์คร่าวๆ ให้พวกเราฟัง ยังบอกอีกว่ายามนี้เขามีทุนไม่พอ ติดขัดอยู่บ้าง แต่เขาก็ลงทุนทรัพย์สินทั้งหมดของสกุลไปเช่นกัน ย่อมให้ความสำคัญกับเงินของพวกเราเหมือนเป็นเงินของเขา”
พูดมาถึงตรงนี้ อวี้ถังก็เห็นท่าไม่ดีอยู่รางๆ
นี่พี่สะใภ้นางเห็นเจียงเฉาเป็นคนที่น่าเชื่อถือไปแล้ว!
อวี้ถังอดเงยหน้าขึ้นไปมองอวี้หย่วนไม่ได้
อวี้หย่วนนั่งอยู่ตรงข้ามพวกนาง ฟังคนสกุลเซียงพูดด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นอวี้ถังมองมาทางเขา เขาก็ผงกศีรษะส่งยิ้มให้นาง ก่อนจะรับบทสนทนาของคนสกุลเซียง “อาถัง น่าเสียดายที่วันนี้เจ้าไม่ได้ไปพบเจียงเฉากับพวกเรา ข้าคิดว่าเจ้าพูดมีเหตุผล เขาเป็นคนที่มีความสามารถคนหนึ่งจริงๆ หลังจากข้าและพี่สะใภ้เจ้าปรึกษากัน ก็ตกลงร่วมหุ้นสี่พันตำลึง สองพันตำลึงเป็นของข้า เงินส่วนตัวพี่สะใภ้เจ้าอีกหนึ่งพันตำลึง ส่วนอีกหนึ่งพันตำลึง ข้าช่วยรับปากแทนเจ้า”
อวี้ถังนิ่งอึ้ง
เรื่องราวสับสนปนเป แทบจะจะสูญเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิง
“ไม่ใช่” นางเอ่ยอย่างกระอึกกระอัก “ข้าไม่ได้กล่าวว่าให้หยั่งเชิงสถานการณ์ของเขาก่อนหรอกรึ? เรื่องร่วมหุ้น ต้องระวัง…”
ใครจะรู้ว่าอวี้หย่วนกลับโบกไม้โบกมือ “บางครั้งก็ต้องทำเรื่องเด็ดขาดเช่นนี้ คิดไปคิดมา ก็ย่อมรู้สึกว่ามีความเสี่ยง แต่เมื่อทำจริงๆ แล้ว เจ้าจึงค่อยพบว่าแม้บางทีความเสี่ยงในจินตนาการของเจ้าจะร้ายแรง ไร้หนทางแก้ไข แต่เมื่อทำแล้วกลับเป็นเรื่องง่ายราวกับปอกกล้วยเข้าปากเท่านั้น”
“ใช่แล้ว!” คนสกุลเซียงเอ่ยรับ “อาถัง ข้าคิดว่าเจียงเฉาพูดมีหลักการไม่น้อย ทั้งพี่เจ้าก็เอ่ยไปแล้ว แม้เรื่องนี้พวกเราจะตัดสินใจแล้ว แต่หลังจากกลับไปยังต้องปรึกษากับท่านอา เรื่องเงินสี่พันตำลึง หากท่านอาคิดว่านี่เป็นการค้าที่ดี พวกเราสองครอบครัวก็ออกกันคนละครึ่ง หากท่านอารู้สึกว่าเสี่ยงเกินไป ก็ทำเหมือนที่พวกเราพูดกันก่อนหน้า พวกเราลงทุนมาก ส่วนพวกเจ้าลงทุนแค่ส่วนเดียว แต่เจียงเฉาก็บอกแล้ว ไม่ว่าการค้าอะไรล้วนมีความเสี่ยงทั้งนั้น ความเสี่ยงมาก กำไรก็ยิ่งมาก การค้าครั้งนี้ ความเสี่ยงก็สูงเช่นกัน ข้าจึงคิดว่า หากเรือไม่อาจกลับมาอย่างที่เจียงเฉาว่า เงินหนึ่งพันตำลึงนั้นของเจ้า ข้าจะจ่ายคืนให้เจ้าก็เพียงพอแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล”
อวี้ถังนั้นพูดไม่ออกโดยสิ้นเชิง
เจียงเฉาผู้นี้ พี่ชายและพี่สะใภ้นางเพียงเคยพบครั้งแรก ก็คล้ายถูกมนต์สะกดมิปาน เอาแต่คิดจะทำการค้ากับเขา
เขาเก่งกาจขนาดนั้น ไฉนยังต้องตามหาผู้ร่วมหุ้นอย่างเอิกเกริกใหญ่โตเช่นนี้ล่ะ?
อวี้ถังคิดว่าหากนางคัดค้านในยามนี้ มีแต่จะทำให้พี่ชายและพี่สะใภ้ผิดหวัง มิสู้รอให้พวกเขาเป็นฝ่ายล่าถอยเอง “ตกลงกันหรือยังว่าจะส่งมอบเงินยามใด?”
เงินสี่พันตำลึงไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย
ทั้งไม่มีใครจะพกเงินติดกายมากมายขนาดนั้น
ขอเพียงแค่ยังไม่ส่งเงินให้เจียงเฉา อำนาจก็ย่อมอยู่ในมือของพวกนาง
อวี้หย่วนเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “เจ้าก็รู้ว่าพวกเราไม่ได้พกเงินมามากมายเพียงนั้น? ข้าวางเงินมัดจำไปสามร้อยตำลึง ตกลงกันว่าสิบวันให้หลังจะนำเงินส่วนที่เหลือมาให้”
อวี้ถังรู้สึกว่าไม่ควรรั้งอยู่ในสถานที่แห่งนี้ต่อแม้เสี้ยววินาทีเดียว นางเร่งเร้าทันที “เช่นนั้นก็ดี พรุ่งนี้เช้าตรู่ พวกเรากลับหังโจวก่อน ถึงหลินอันแล้วค่อยวางแผนกันใหม่”
อวี้หย่วนและคนสกุลเซียงพยักหน้าระรัว ทั้งยังชวนอวี้ถังไปเดินเล่นซื้อของข้างนอกอย่างเบิกบานใจ “พรุ่งนี้ก็ต้องกลับแล้ว พวกเรายังไม่ได้ดูร้านค้าเครื่องลงรักของซูโจวดีๆ เลย!”
อวี้ถังก็กลัวว่ากลับไปจะไม่มีอะไรส่งมอบเป็นชิ้นเป็นอัน แยกกับคนสกุลเซียงไปหวีผมเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนจะไปเดินเล่นกับพวกอวี้หย่วน
ก็ไม่รู้ว่าอวี้หย่วนและคนสกุลเซียงมีเรื่องอะไรให้ต้องคุยมากมายเพียงนั้น เดินไหล่กระทบกันไปมา กระทั่งคนขายลูกกวาดก็ยังมองรื่นหูรื่นตาไปหมด
อวี้ถังเบะปาก เมื่อสบโอกาสก็ดึงซย่าผิงกุ้ยมาถาม “เจ้าได้พบนายท่านเจียงผู้นั้นหรือไม่?”
“ได้พบขอรับ” ซย่าผิงกุ้ยกระตือรือร้นขึ้นมา “นายท่านเจียงผู้นั้นยอดเยี่ยมไม่น้อย แทบจะประคองสกุลด้วยมือเปล่า ข้าก็คิดว่าครั้งนี้คุณชายใหญ่ควรร่วมหุ้นด้วย ท่านล่ะคิดอย่างไร คนอย่างนายท่านเจียง ภายหลังย่อมต้องเจริญรุ่งเรือง รู้จักกันในยามต่ำต้อย ภายหลังคุณชายใหญ่คงสามารถเฟื่องฟูตามไปด้วยแน่”
นางฟังแล้วก็คิดว่านายท่านเจียงผู้นี้มีความสามารถเช่นกัน
กระทั่งซย่าผิงกุ้ยที่มีหลักการกระทำเรื่องเหมาะสมที่สุดในสกุลพวกเขาก็ยังเกิดใจสั่นคลอนได้
อวี้ถังเสียใจอยู่บ้างที่ไม่ได้ตามพี่ชายและพี่สะใภ้ไปรู้จักกับเจียงเฉา
แต่ว่า หลังจากนี้อีกสิบวันที่ส่งมอบเงิน ยังคงมีโอกาสอยู่
อวี้ถังครุ่นคิดในใจ
มีบางคำที่ซย่าผิงกุ้ยพูดถูก รู้จักกันในยามต้อยต่ำ ความสัมพันธ์ไมตรีย่อมไม่เหมือนกับคนทั่วไป ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่ว่าการค้าครั้งนี้จะขาดทุนหรือได้กำไร สกุลพวกเขาก็ควรร่วมลงทุน แต่สี่พันตำลึง ก็มากเกินไป อยากหาวิธีเกลี้ยกล่อมให้พี่ชายร่วมลงทุนน้อยกว่านี้หน่อย แค่ให้ถือว่าเป็นใบผ่านทางก็เพียงพอแล้ว
นางมีเรื่องหนักอึ้งอยู่ในใจ ยากที่จะไม่คิดฟุ้งซ่าน
ยามบ่ายเข้าร้านอะไรบ้าง พบสิ่งของแปลกใหม่อันใด แทบจำไม่ได้โดยสิ้นเชิง กลับเป็นยามที่จะกลับบ้าน ยิ่งเข้าใกล้บ้าน เห็นฉากทิวทัศน์ที่คุ้นตา ในใจค่อยรู้สึกผ่อนคลายลงไม่น้อย
ไม่แปลกใจที่ทุกคนล้วนไม่ชอบห่างจากบ้านเกิดเมืองนอน
ลุงใหญ่และป้าสะใภ้ใหญ่รอพวกนางอยู่ในเรือนนานแล้ว
คนสกุลเซียงและอวี้ถังนำของฝากที่ซื้อมาแจกจ่ายให้กับทุกคน แม้อวี้ป๋อจะเผยใบหน้าเรียบนิ่ง แต่น้ำเสียงก็กระฉับกระเฉงกว่ายามปกติ เผยความชื่นชอบออกมา “สีน้ำมันที่พวกเจ้าซื้อมาถึงตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว ข้าตรวจดูแล้ว ยังพอใช้ได้ ภายหลังเรื่องพวกนี้ก็มอบให้อาหย่วนและผิงกุ้ยแล้วกัน ส่วนเรื่องทางภูเขา เจ้าก็พักไว้ก่อนเถิด ปีนั้นก็เพราะคนอื่นติดหนี้จึงมอบที่ให้สกุลเรา นี่ก็หลายชั่วอายุคนแล้ว นอกจากสามารถเก็บฟืนเก็บไม้ ก็ไม่อาจทำอะไรได้อีก พวกเจ้าก็อย่าได้ทรมานตัวเองเลย เสียเงินเสียแรงไปเปล่าๆ”
อวี้หย่วนไม่ใช่คนที่ยอมละทิ้งอะไรง่ายๆ ยิ่งไปกว่านั้นต้นซาจี๋พวกนี้เพิ่งจะปลูกติด ทำได้หรือไม่ได้ พูดตอนนี้ยังเร็วเกินไป แต่เขาก็เป็นคนที่ไม่ชอบต่อปากต่อคำกับผู้ใหญ่ อวี้ป๋อพูดอะไร เขาก็น้อมรับอย่างเคารพ ส่วนต่อไปจะทำอย่างไรนั้น เขาจะตัดสินใจเอง
ด้วยเหตุนี้หลังจากทุกคนกินข้าวเสร็จแล้ว ซย่าผิงกุ้ยกับเด็กในร้านอีกสองคนกลับร้านค้าไป อวี้หย่วนจึงหยิบยืมโอกาสที่ส่งครอบครัวของอวี้เหวินกลับเรือน พูดเรื่องเจียงเฉากับอวี้เหวินขึ้นมา แต่ยังไม่ได้พูดว่าจะร่วมหุ้นเท่าใด
อวี้เหวินได้ยินก็หัวเราะเสียงดัง เอ่ยกับคนสกุลเฉิน “ข้าว่าแล้ว สองคนนี้ออกไปย่อมก่อเรื่องอะไรแน่ๆ! ครั้งที่แล้วไปรายงานกับสกุลกู้ ส่วนครั้งนี้ จับตาดูการค้าทางทะเลของคนอื่น ทั้งยังตัดสินใจร่วมหุ้นกับสกุลอื่นโดยพลการ!” ขณะที่พูด เขาก็สั่นศีรษะ “ช่างเป็นดั่งที่ว่าลูกชายโตแล้วไม่ฟังพ่อ ลูกสาวโตแล้วรั้นแม่จริงๆ!”
ตั้งแต่คนสกุลเฉินแต่งงานกับอวี้เหวิน หากในเรือนไม่เกิดเรื่องนั้นก็เกิดเรื่องนี้อย่างไม่หยุดหย่อน ยามนี้เห็นเขาเอ่ยถึงหลานชายและลูกสาว ก็อดตำหนิขึ้นมาไม่ได้ “นี่ไปเรียนมาจากใครกันล่ะ? ไม่ใช่ผู้ใหญ่อย่างเจ้าที่เป็นแบบอย่างไม่ดีหรอกรึ ยามที่อาหย่วนและอาถังยังเล็กก็สอนพวกเขาว่ามีโอกาสต้องรีบคว้าไว้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาเชื่อฟังเจ้า จึงได้เปลี่ยนเป็นเช่นนี้กันหรอกรึ?”
คำพูดของนางพาให้อวี้เหวินอ้าปากค้างอ้ำอึ้ง ไม่รู้ว่าควรเอ่ยอะไรดี
อวี้หย่วนและอวี้ถังก็หัวเราะอยู่ด้านข้างเช่นกัน
แม้ว่าจะพูดเช่นนั้น อวี้เหวินยังคงรั้งฝีเท้า แยกจากคนสกุลเฉินและอวี้ถัง มาคุยกับอวี้หย่วนเพียงลำพัง
รู้ว่าพวกเขาอยากร่วมหุ้นการค้าทางทะเลกับเจียงเฉา อวี้เหวินก็ขมวดคิ้วเป็นปม “คนผู้นี้เจ้ารู้จักเขาดีแล้วรึ?”