ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 131 ร่วมหุ้น
ดวงตาของอวี้ถังยิ่งเบิกกว้างขึ้นไปอีก
คาดไม่ถึงว่าบ่าวรับใช้ของเผยเยี่ยนจะกล้าย้อนถามการตัดสินใจของเขา!
ไม่ใช่ว่าบ่าวรับใช้ทั่วไป เจ้านายพูดว่าอย่างไรก็ต้องทำอย่างนั้นหรอกรึ?
บ่าวคนนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่?
เผยเยี่ยนมองแวบเดียวก็รู้แล้วว่าอวี้ถังคิดอันใดอยู่
เขาชำเลืองมองอวี้ถัง เอ่ยเสียงเรียบนิ่ง “เผยชีมีแม่นมคนเดียวกับข้า”
“อ้อ” อวี้ถังรีบก้มหน้าสำนึกผิด “เป็นข้าที่คิดเลยเถิดไปชั่วครู่”
เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ข้าว่าเจ้าไม่ได้คิดเลยเถิดชั่วครู่ แต่คิดเลยเถิดอยู่ตลอดมากกว่า”
เด็กสาวน่ารักสดใสเช่นนี้ ไฉนจึงชอบซุบซิบนินทาผู้อื่นกัน ต้องเปลี่ยนนิสัยนี้เสียหน่อยแล้ว
ปากมากติฉินนินทาผู้อื่น ถือเป็นหนึ่งในกฎเจ็บขับ[1]
เผยเยี่ยนกำลังคิดว่าจะสั่งสอนอวี้ถังอย่างไรดี ทว่าเผยชีกลับถลาเข้ามาอีกครั้ง “นายท่านสาม ผู้ติดตามของใต้เท้ากู้ไม่ยอมกลับไป รั้งจะพบท่านให้ได้ ยังกล่าวอีกว่า ใต้เท้าสกุลพวกเขามีเรื่องสำคัญที่ต้องการพูดคุยกับท่าน…”
เขาพูดถึงตรงนี้ก็หยุดลง มองอวี้ถังไปแวบหนึ่ง
อวี้ถังยืนขึ้นอย่างว่องไวทันที “ข้ามาส่งชาให้ท่านลองชิมเท่านั้น ในเมื่อท่านมีธุระ เช่นนั้นข้าก็ขอตัวก่อน”
เผยเยี่ยนกลับไม่สนใจอวี้ถัง เอ่ยกับเผยชี “กู้เจาหยางคิดจะเล่นลูกไม้อันใด?”
เผยชีเห็นเขาไม่หลบเลี่ยงอวี้ถัง จึงไม่ได้กังวลอะไรอีก เอ่ยตรงๆ “กล่าวว่าเรื่องเกี่ยวกับผู้บังคับการขนส่งเกลือแห่งเหลี่ยงไหว[2]”
อวี้ถังได้ฟังก็ตกอกตกใจ
กู้ฉ่างต้องการพบเผยเยี่ยนเพราะเรื่องนี้ จะเห็นได้ว่าหากเผยเยี่ยนไม่ทำกิจการเกี่ยวกับใบอนุญาตขนส่งเกลือ ก็คงทำเกี่ยวข้องกับการลอบขายเกลือ
นางอยู่ที่นี่ต่อย่อมไม่เหมาะสม
“ข้าไปล่ะ!” นางไม่รอให้เผยเยี่ยนเอ่ยปาก ถือหนังสือที่อาหมิงห่อให้นางก่อนหน้านี้ ก่อนจะคำนับให้เผยเยี่ยน เอ่ยว่า “ตำรามากมายขนาดนี้ ข้าต้องรีบอ่านดูเสียหน่อย พื้นที่ทางภูเขาของข้ายังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี? แต่ข้าจะลองปลูกถั่วลิสงก่อน รอจนเก็บถั่ว ข้าจะส่งมาให้ท่านชิมอีกครั้ง ไม่รู้ว่าท่านชอบกินขนมถั่วกรอบหรือชอบกินถั่วต้ม? ถึงเวลานั้นก็จะทำให้ท่านชิมอย่างละเล็กละน้อย”
คำพูดนี้กล่าวอย่างสะเปะสะปะอยู่บ้าง
เผยเยี่ยนเห็นก็รู้สึกขบขัน
ปกติเห็นคุณหนูอวี้ผู้นี้ใจกล้าอย่างยิ่ง ยามนี้กลับดูคล้ายตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ
ก็ไม้รู้ว่าสมองเล็กๆ ของนางกำลังคิดอะไรอยู่
คงไม่คิดว่าเขากำลังลอบขายเกลือกระมัง?
หรือรู้สึกว่าพลั้งล่วงรู้กิจการของสกุลเขาเข้า จึงเกิดหวาดกลัวในใจ?
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข่มขวัญนางเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน
วันหลังนางจะได้ไม่ทำตัวไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ กล้าเดินทางไปทุกที่ กล้าพูดทุกอย่าง กระทั่งยังมาประชันหน้ากับหลี่ตวนในจวนเขา หากไม่ได้ถ่ายทอดคำสั่งออกไปให้คนอื่นคิดว่าเขาปกป้องนาง เกรงว่าคงจะถูกคนถ่วงหินโยนน้ำไปนานแล้ว
ให้นางได้รับบทเรียน ทำตัวสงบเสงี่ยมเสียบ้างก็ดี
นี่เขากำลังปรารถนาดีต่อนางอยู่!
เผยเยี่ยนยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองทำถูก
เขาเผยสีหน้าเคร่งขรึม กำชับอาหมิง “ส่งคุณหนูอวี้กลับเรือนเสีย”
อวี้ถังเร่งตามอาหมิงออกจากสวนทันที
เพียงแต่ระหว่างทางนางก็อดคิดไม่ได้ ก่อนหน้านี้เผยเยี่ยนเคยไปไหวอันครั้งหนึ่ง กล่าวว่าช่วยเหลือใครสักคน ทั้งไปกับโจวจ้วงหยวน…ครั้งนี้กู้ฉ่างออกจากเมืองหลวงมาตรวจราชการ ทั้งยังไปไหวอัน…สีหน้าของเผยเยี่ยนบูดบึ้งเพียงนั้น หรือเรื่องพวกนี้มีอะไรเกี่ยวพันกัน?
นางหวนคิดเรื่องพวกนั้นในชาติก่อนอย่างละเอียด
เหมือนจะไม่เคยได้ยินว่าสกุลเผยทำกิจการเกี่ยวกับใบอนุญาตขนส่งเกลือ…
อวี้ถังยิ่งคิดก็ยิ่งปวดหัว รู้สึกว่าตัวเองเหมือนคนตาบอดที่คลำช้าง แม้จะคิดไม่เข้าใจ ยังมิสู้ไม่ต้องคิดเสีย จากความสามารถของเผยเยี่ยน หากเขายังอับจนหนทาง นางก็คงไม่อาจสามารถจัดการอะไรได้เช่นกัน
เพียงหวังว่าครั้งนี้เขาจะผ่านไปอย่างราบรื่น ปลอดภัย อย่าได้เกิดเรื่องอะไรก็พอแล้ว
นางมองตำราที่หอบไว้ในอ้อมอก ลอบอธิษฐานในใจ คิดว่ากลับเรือนไปจะพยายามอ่านตำราพวกนี้ให้จบเร็วๆ ไม่อาจทำลายความหวังดีของเผยเยี่ยนได้
แต่สิ่งที่นางคาดไม่ถึงคือ เพิ่งกลับไปถึงเรือน ก็พบกับบิดาและญาติผู้พี่กลับมาจากข้างนอกพอดี
อวี้ถังร้องเสียงหลง วางหนังสือตำราไว้ด้านข้าง ก่อนจะกอดแขนบิดา เอ่ยอย่างดีใจ “ท่านพ่อ ท่านพี่ พวกท่านกลับมาเมื่อใดกัน? ไฉนไม่ส่งข่าวล่วงหน้ามาบอกเสียหน่อย พวกเราจะได้ไปรับพวกท่าน”
เวลาเพียงไม่กี่วัน อวี้เหวินกลับดูผิวคล้ำกว่าก่อนยามที่ออกเดินทางอยู่บ้าง แต่ท่าทีกระฉับกระเฉงไม่น้อย ดวงตานั้นระยิบระยับราวกับดวงดาว
เขาหัวเราะ ก่อนจะลูบศีรษะบุตรสาว “ข้าซื้อไข่มุกใหม่ของปีนี้จากซูโจวมาให้เจ้ากล่องหนึ่ง รอแม่เจ้าว่าง พวกเจ้าก็เอาไปทำเครื่องประดับที่ร้านเครื่องเงินเสีย” ประโยคสุดท้ายกลับเอ่ยกับคนสกุลเฉิน
คนสกุลเฉินบ่นพึมพำ “คนกลับมาก็ดีแล้ว ยังซื้ออะไรมาอีก? ไข่มุกใหม่ของปีนี้ คงราคาแพงไม่น้อยกระมัง? ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อไข่มุกใหม่ของปีนี้เสียหน่อย ปีที่แล้วก็ใช้ได้เหมือนกัน”
อวี้หย่วนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “คนชราผู้คนย่อมไม่สนใจ ก็เหมือนกับไข่มุกที่เก็บไว้นาน ไม่มีค่าราคาอีกแล้ว ในเมื่อจะซื้อ ก็ควรซื้อไข่มุกใหม่ในปีนี้”
คนสกุลเฉินได้ฟังก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ยากที่จะเอ่ยหยอกเย้าอวี้หย่วน “นี่เจ้ากำลังพูดว่าแม่เจ้าและอาสะใภ้ล้วนแก่ชราหมดแล้วรึ?”
อวี้หย่วนตกตะลึง คล้ายหลังใบหน้าก็ขึ้นสี เกาศีรษะอย่างขัดเขิน “ไม่ใช่ ไม่ใช่ อาสะใภ้อย่าได้ตำหนิที่ข้าพูดไม่ค่อย…”
คนสกุลเฉินตัดบทเขาด้วยรอยยิ้ม “ข้าแค่หยอกเจ้าเล่นเท่านั้น เพียงแต่เจ้าเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว ภายหลังยามที่เอ่ยคำพูดพวกนี้ต้องระวังให้ดี หลานสะใภ้จะได้ไม่อึดอัดใจ”
อวี้ถังก้มหน้าตอบรับว่า “มิผิด” อย่างรีบเร่ง
คนสกุลอวี้จึงหันไปพูดกับอวี้ถัง “อากาศร้อนเช่นนี้ อย่าได้เกาะแกะพ่อเจ้านักเลย พ่อเจ้าและพี่เจ้าเพิ่งจะมาถึงก่อนหน้าเจ้าไม่นาน หากมีอะไรจะพูด เจ้าให้พวกเขาไปล้างหน้าผลัดผ้าก่อนเถิด”
อวี้ถังหัวเราะแหยๆ หันไปเอ่ยกับบิดาและญาติผู้พี่ว่า “ลำบากแล้ว” ก่อนจะผละตัวออกมา
อวี้เหวินเอ่ยกับอวี้หย่วน “เจ้าก็กลับไปพักก่อนเถิด! ตอนเย็นก็ชวนพ่อแม่และสะใภ้เจ้าเข้ามากินข้าวด้วยกัน ยังมีเรื่องที่ต้องบอกให้พ่อเจ้าทราบเช่นกัน”
อวี้หย่วนคำนับอย่างนอบน้อม บอกลาคนสกุลเฉินและอวี้ถัง ก่อนจะพาซานมู่กลับเรือนตัวเองไป
ด้านคนสกุลเฉินก็ไปช่วยอวี้เหวินผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า อวี้ถังไปจัดโต๊ะอาหารด้วยตัวเอง รอจนอวี้เหวินเปลี่ยนสวมชุดสะอาดสะอ้านออกมาแล้ว ยังเป็นฝ่ายตักแกงเห็ดมาให้บิดา เรียกเขามากินข้าว
อวี้เหวินถอนหายใจอย่างสบายอกสบายใจ กินข้าวเย็นร่วมกับภรรยาและลูกสาวแล้ว ก็ย้ายไปนั่งใต้ระแนงองุ่นหลังเรือน ซวงเถายกน้ำชาและของว่างขึ้นโต๊ะ ยามนี้เขาจึงค่อยถามอวี้ถังด้วยรอยยิ้ม “ได้ยินแม่เจ้าบอกว่า เจ้าไปสกุลเผยตั้งแต่เช้าตรู่ มีเรื่องเร่งด่วนอะไรอย่างนั้นรึ?”
อวี้ถังไปหอบหนังสือที่เผยเยี่ยนให้นางยืมมา เอ่ยอย่างโอ้อวดอยู่บ้าง “ท่านดูสิ! นายท่านสามให้ข้ายืม!” จากนั้นก็พูดเรื่องที่เกิดขึ้นในสกุลเผยเป็นน้ำไหลไฟดับ “ท่านคงไม่รู้ คาดไม่ถึงว่าข้าจะได้กินสาลี่ในสกุลเผย! เป็นของที่ส่งมาจากสวนสกุลพวกเขา! ยามนี้ก็จะนำมาขึ้นตลาดแล้ว! นายท่านสามยังเอ่ยว่า หากรสชาติดี ก็จะขายให้พวกพ่อค้าเร่…นายท่านสามรู้เรื่องเพาะปลูกด้วย…ไม่แปลกใจที่ทุกคนควรร่ำเรียนหนังสือ…ทั้งยังมีตำราที่บรรยายว่าเพาะปลูกอย่างไร…”
ยามนี้กระทั่งคนสกุลเฉินยังตกใจ
นางพลิกตำราที่อวี้ถังยืมมา เอ่ยอย่างประหลาดใจ “ในตำราก็มีสอนว่าเพาะปลูกอย่างไรรึ? ข้าเกิดมากลับเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก?”
อวี้เหวินรีบร้อนพลิกตำราขึ้นมา
อวี้ถังเห็นก็เผยรอยยิ้ม
นางเอ่ยกับบิดา “นายท่านสามบอกว่า หากข้าอ่านไม่เข้าใจ ก็ให้ข้าถามท่าน!”
อวี้เหวินที่ฝังหน้ากับตำรา พลันร่างแข็งทื่อขึ้นมาทันที หัวเราะเสียงดัง “ข้าขอดูก่อน ข้าขอดูก่อน”
อวี้ถังกะพริบตาปริบ
ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะแตกต่างจากที่นางคาดไว้!
บิดาของนางควรจะรู้ว่าปลูกต้นไม้อย่างไรหลังจากอ่านตำราไม่ใช่หรือ? ไฉนฟังจากน้ำเสียงแล้ว กลับดูคล้ายไม่มีความมั่นใจ! เผยเยี่ยนฉลาดเกินไป หรือบิดาของนาง…ไม่อาจทำความเข้าใจได้กันแน่?
อวี้ถังกำลังครุ่นคิดว่าจะถามบิดาอย่างอ้อมๆ อย่างไรดี กลับได้ยินเสียงอวี้ป๋อดังขึ้นมาก่อน “ฮุ่ยหลี่ อาหย่วนบอกว่าเจ้ามีเรื่องสำคัญอยากคุยกับข้าอย่างนั้นรึ?”
ครอบครัวของอวี้ถังรีบลุกขึ้นต้อนรับ
“ท่านพี่มาแล้วรึ!” อวี้เหวินทักทายอวี้ป๋อ อวี้ถังและคนสกุลเฉินก็ทักทายอวี้หย่วน คนสกุลหวังและคนสกุลเซียงที่เดินตามหลังอวี้ป๋อมาเช่นกัน
ป้าเฉินและซวงเถาย้ายตั่งเข้ามาเพิ่มอย่างรีบเร่ง
ทุกคนต่างแยกนั่งตามความอาวุโส ซวงเถาและป้าเฉินเปลี่ยนน้ำชาใหม่อีกครั้ง ก่อนยกผลหมากรากไม้ขึ้นโต๊ะ
ยามนี้อวี้เหวินจึงค่อยมองอวี้หย่วนอย่างภูมิใจ เอ่ยกับอวี้ป๋อ “ท่านพี่ ให้อาหย่วนพูดกับท่านดีกว่า! เรื่องนี้ก็นับเป็นความดีความชอบของอาหย่วนเช่นกัน”
ดูท่าบิดาและญาติผู้พี่ไปซูโจวคงจะได้อะไรกลับมาไม่น้อย
ก่อนหน้านี้บิดาไม่เอ่ยอันใด คงคิดจะชื่นชมญาติผู้พี่ต่อหน้าทุกคนกระมัง
อวี้ถังขบคิดอยู่ในใจ เบนสายตาตามทุกคนไปยังร่างอวี้หย่วน
น้อยครั้งที่อวี้หย่วนจะถูกผู้ใหญ่ยอมรับเช่นนี้
ใบหน้าเขาขึ้นสีราวกับหยดเลือด เผยท่าทีตื่นเต้น เอ่ยอย่างถ่อมตัวก่อนว่า “ล้วนเป็นท่านอาที่คอยช่วยตรวจสอบความผิดพลาด” จากนั้นก็เล่าเรื่องที่เขาและอวี้ถังไปซูโจวอย่างคร่าวๆ ยามนี้จึงกล่าว “หลังจากพวกเรากลับมาก็ปรึกษากับท่านอา ท่านอาไม่วางใจอยู่บ้าง จึงตั้งใจเดินทางไปซูโจวกับข้าอีกครั้งเพื่อพบนายท่านเจียง นายท่านเจียงคนนี้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุน้อย มีความคิดความกล้า ทำเรื่องได้อย่างมั่นใจทั้งรู้จักปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ ได้พบกับท่านอาก็เหมือนเจอสหายเก่า” เขายิ่งพูดก็ยิ่งกระตือรือร้นขึ้นมา “แต่ท่านอาเพิ่งจะพบเจอกับเขาครั้งแรก ยามนั้นยังไม่ให้สัญญากับนายท่านเจียงสักประโยค หมุนหายก็พาข้าเดินทางไปหนิงปัวทันที!”
“หา!” ทุกคนล้วนตกตะลึง
อวี้เหวินเห็นเช่นนั้น ก็หัวเราะอย่างลำพองใจ เผยท่าทีเบิกบาน ยกถ้วยชาด้านข้างจิบไปหนึ่งคำ
อวี้หย่วนฉีกยิ้มอย่างไร้สุ้มเสียง เอ่ยต่อ “ท่านอาไม่เพียงพาข้าไปทำความรู้จักกับเจ้าของเรือสกุลหวังผู้นั้นอย่างชัดเจน แต่ยังพาข้าไปดูเรือของสกุลหวัง สืบข่าวการค้าทางทะเลที่ผ่านมาหลายปีนี้ เมื่อคิดว่าคำพูดของนายท่านเจียงไม่ได้เป็นเรื่องโกหก พวกเราก็เร่งกลับซูโจวทันที ยามนั้นจึงหารือและตกลงเขียนสัญญาร่วมหุ้นกับนายท่านเจียง”
ก็หมายความว่า สกุลพวกเขาตัดสินใจร่วมหุ้นการค้าทางทะเลกับเจียงเฉาแล้ว
อวี้ถังอดกล่าวไม่ได้ “เช่นนั้น สกุลพวกเราลงเงินเท่าไร?”
อวี้เหวินเงยหน้าขึ้น แฝงท่าทีหยิ่งทะนงอยู่บ้าง “หกพันตำลึง!”
เพิ่มอีกสองพันตำลึง
อวี้ถังร้องเสียงหลง “มากขนาดนี้เชียว?”
ด้านอวี้ป๋อกลับเอ่ยว่า “สกุลพวกเรามีเงินมากมายขนาดนั้นได้อย่างไรกัน?”
คนสกุลหวังและคนสกุลเฉินสบสายตากัน
คนสกุลเซียงเหมือนจะรู้อะไรอยู่บ้าง ก้มศีรษะลง ทว่าหางตากลับมองที่อวี้หย่วนไม่หยุด
ชั่วขณะนั้น บรรยากาศพลันเงียบเป็นเป่าสาก
อวี้เหวินสะบัดพัดออกมา เอ่ยอย่างมั่นใจ “พวกเจ้าวางใจเถิด การซื้อขายนี้ข้ามองด้วยตาตัวเองแล้ว มั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ย่อมไม่เกิดความผิดพลาด ส่วนเรื่องเงินในสกุลมาจากไหนนั้น” เขามองอวี้ป๋อไปแวบหนึ่ง “ช่วงนี้ข้าได้เงินจากการเขียนหนังสือ ดังนั้นพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องออกเงิน แต่หากทำเงินได้ พวกเราทั้งสองครอบครัวก็แบ่งกันคนละครึ่ง!”
———————
[1]กฎเจ็บขับ คือกฎเจ็ดข้อที่สามีควรขับภรรยาออกจากบ้าน หนึ่งคือไม่เคารพบิดามารดา สองไม่มีบุตร สามคบชู้ สี่ขี้อิจฉาริษยา ห้าเป็นโรคร้ายแรง หกปากมากติฉินนินทาผู้อื่น เจ็ดลักเล็กขโมยน้อย
[2]เหลี่ยงไหว คือพื้นที่บริเวณแม่น้ำแยงซีเกียงจนถึงทางตอนเหนือและตอนใต้ของแม่น้ำไหว