ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 151 ขอความช่วยเหลือ
อวี้ถังกลับเรือนก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้อาเสาวิ่งไปส่งที่สกุลจาง
หม่าซิ่วเหนียงได้รับจดหมายของอวี้ถังก็กระตุ้นจางฮุ่ยให้วาดภาพทันที ด้านอวี้ถังกลับปวดศีรษะเป็นวันที่สองเพราะต้องเข้าพบเผยเยี่ยน
คดีของรื่อเจ้าย่อมไม่อาจเอ่ยถึงแล้ว ไม่อย่างนั้นนางก็ไร้ทางจะให้คำตอบว่าตัวเองทราบได้อย่างไร ก็คงทำได้เพียงเสียเวลากับที่นาห้าสิบหมู่นั่น
ดีที่สกุลหลี่เหลือช่องโหว่ไว้ไม่น้อย
วันนี้อวี้ถังเปลี่ยนสวมเสื้อคลุมหังโฉวสีเขียวเข้มปักลายดอกไม้มงคล ปักปิ่นดอกอวี้หลันสีเหลืองที่เพิ่งทำไม่กี่วันก่อนเข้าจวนสกุลเผย
เผยเยี่ยนมีท่าทีอ่อนเพลีย ไม่กระปรี้กระเปร่าเท่าใด ทว่ากลับไม่ลดทอนความสง่างามแม้แต่น้อย ทั้งเนื่องด้วยไม่มีท่าทีหยิ่งทะนงดั่งเช่นวันปกติจึงพาให้คนรู้สึกอยากเข้าใกล้ ดูใจดีและอบอุ่นขึ้นมา
“เจ้ารีบร้อนมาหาข้าทำไมกัน?” เขานั่งบนตั่งในห้องอุ่น ชี้ไปยังจานที่สาวใช้ยกเข้ามา เอ่ยว่า “ชิมดูสิ ขนมฝูปิ่งจากฝูเจี้ยน ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย”
ขนมฝูปิ่งของฝูเจี้ยนทำมาจากลูกพลับแห้ง จึงมีสีแดงสดสวย น่าลิ้มลอง กินเข้าไปก็จะได้รสหอมหวานไม่เลี่ยนแต่อย่างใด ยังมีสรรพคุณดับร้อนแก้ไอ นำมาเป็นของว่างหรือมาชงกับน้ำร้อนก็ให้ผลดี จึงเป็นได้ชื่อว่าฝูปิ่ง (ขนมมงคล)
แต่ว่าปกติขนมฝูปิ่งมักจะวางขายในเดือนสิบสอง ยามนี้…คงเร็วเกินไปกระมัง
ไม่รู้ว่าไปได้มาจากที่ใด?
อวี้ถังอดเอ่ยไม่ได้ “ได้ยินว่าท่านไปขายส้ม? ขายเป็นอย่างไรบ้าง? รสชาติดีหรือไม่?”
เผยเยี่ยนได้ฟังก็เลิกคิ้ว มองอวี้ถังด้วยแววตาไม่สบอารมณ์นัก “ขายส้ม? เจ้าได้ยินมาจากใครว่าข้าไปขายส้ม?”
อวี้ถังได้ฟังก็คิดว่าซวยแล้ว แต่นางก็ไม่รู้ว่าไฉนเล่าต่อกันมาหานางจึงกลายเป็น ‘ขายส้ม’ ไปเสียได้ ไม่ว่าจะเป็นใครที่ถ่ายทอดคำพูดนี้ผิด จากนิสัยของเผยเยี่ยนแล้ว หากไม่พอใจ บางทีอาจจะไปสืบเรื่องนี้ก็ได้ ถึงเวลานั้นไม่ใช่ทุกคนจะเดือดร้อนกันหมดรึ?
นางยังคงใช้ท่าทีประนีประนอม ละล่ำละลักเอ่ย “ข้าพูดผิดเอง! ข้าหมายความว่า ได้ยินว่าส้มที่ปลูกในสวนทางจี๋อันวางขายแล้ว ท่านไม่ใช่ว่าเข้าไปตรวจดูหรอกรึ ก็ย่อมเป็นดั่งที่ข้าคิด…ในเมื่อเริ่มเก็บส้มได้เร็วขนาดนี้ คงจะหาช่องทางการขายแล้วเป็นแน่ เมื่อครู่พูดเร็วไป จึงกลายเป็น ‘ขายส้ม’ ไม่ใช่หรอกรึ?”
อวี้ถังคิดว่าคำพูดนี้ของตัวเองเพียงพอให้เผยเยี่ยนคลายความสงสัยแล้ว ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนกลับคล้ายจงใจตอกกลับนาง เลิกคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง “แล้วใครบอกเจ้าว่าข้าไม่ได้ไปขายส้มล่ะ? ส้มห้าพันจิน[1]ขายให้อุทยานหลวงซั่งหลินทั้งหมด ทั้งยังขายต้นกล้าไปอีกห้าพันต้น”
หากไม่ใช่เขา คนของอุทยานหลวงซั่งหลินจะยอมซื้อขายแลกเปลี่ยนแต่โดยดีได้อย่างไร?
ส้มของพวกเขาสามารถขายไปยังเมืองหลวง?
อวี้ถังตกใจจนอ้าปากค้าง “อุทยานหลวงซั่งหลินรับซื้อส้มด้วยรึ?”
นางอิจฉายิ่งนัก
เหตุใดสกุลพวกนางจึงไม่มีความสามารถเช่นนี้บ้าง?
กระนั้นแม้จะจัดซื้อให้คนในวัง นั่นก็เป็นเรื่องของขันทีแห่งยี่สิบสี่สำนัก ตั้งแต่เมื่อใดกันอุทยานหลวงซั่งหลินที่ปลูกต้นไม้ดอกไม้ให้ราชวงศ์กลับมายุ่งเกี่ยวในเรื่องนี้?
“นี่เจ้าคงไม่เข้าใจกระมัง?” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “หากอุทยานหลวงซั่งหลินมีรายได้ ฮ่องเต้จะสุขฤทัยตามไปด้วยรึ? ยิ่งไปกว่านั้นยังมีผลส้มให้กินเร็วถึงเพียงนี้”
ก็หมายความว่า อุทยานหลวงซั่งหลินกำลังปิดหูปิดตาฮ่องเต้!
อวี้ถังเอ่ยกระอึกกระอัก “พวกเขา พวกเขาไม่กลัวว่าจะถูกล่วงรู้รึ? หากฮ่องเต้อยากไปดูต้นส้มล่ะ?”
“ฮ่องเต้กำลังยุ่งกับการปรุงยาอายุวัฒนะ ไหนเลยจะมีเวลาใส่ใจว่าอุทยานหลวงซั่งหลินปลูกต้นส้มกี่ต้น!” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่คิดเช่นนั้น “หากเขาจะไปจริงๆ แค่หาวิธีเคลื่อนย้ายต้นส้มในสวนผลไม้ทางทงโจวของข้าเข้าไปก็เพียงพอแล้ว ไม่อย่างนั้นคนของอุทยานหลวงซั่งหลินจะมาซื้อส้มจากสกุลพวกเราได้อย่างไร? ก็เพราะว่าสวนทางทงโจวของสกุลพวกเราก็ปลูกต้นส้มเช่นกัน เพียงแต่ส้มอร่อยสู้ที่นี่ไม่ได้เท่านั้น”
อวี้ถังมึนงงกับเรื่องเช่นนี้ไปหมด ในความคิดของนาง นี่แทบจะเป็นการลำบากและสิ้นเปลืองเงินทองประชาชน แต่ทางการก็ทำเรื่องเช่นนี้มาไม่น้อย นางไม่ได้เจตนาจะโจมตีหรือถามให้มากความแต่อย่างใด
เพียงคาดไม่ถึงว่าสกุลเผยจะมีสวนในทงโจวอีก!
ยังมีเมืองใดอีกบ้างที่ไม่มีสวนของสกุลเผย?
อวี้ถังลอบนินทาในใจ เปลี่ยนไปอีกประเด็น “ขนมฝูปิ่งนี้คงไม่ได้ตากแห้งมาจากสวนของท่านอีกกระมัง?”
ยามที่อวี้ถังเข้าประตูมา เผยเยี่ยนก็ตระหนักถึงใบหน้าแดงฝาดของนางแล้ว นึกถึงที่เผยหม่านพูดกับเขา นอกจากนางจะได้รับความโปรดปรานจากมารดาเขา ยังเข้ากับพวกหลานสาวได้ดีเสียด้วย พบกันครั้งแรกก็พูดคุยเจี๊ยวจ๊าวกับนางกว่าค่อนวันว่าทำเสื้อคลุมแบบไหนดี ทั้งยังได้รับรางวัลจากมารดาเขา
มารดาเขาไม่ใช่สตรีที่อยู่ติดห้องหับทั่วไป ไม่ใช่ใครที่ไหนก็ได้รับความโปรดปรานจากนางง่ายๆ
เดิมทีเขาคิดเพียงว่าอยากให้นางเข้าจวนมาคุยเล่นสร้างความสนุกสนานให้มารดาเท่านั้น คาดไม่ถึงว่านางจะปรับตัวเข้ากับทุกคนได้ดีถึงเพียงนี้
เช่นนั้นแล้ว ยามที่เขายุ่งที่จี๋อันจนเท้าแทบไม่ติดพื้น นางก็คงอยู่อย่างสุขสบายที่เรือนของเขาสินะ
เผยเยี่ยนพลันเกิดความรู้สึกอยากเย้าแหย่อวี้ถังให้ร้องไห้อย่างแปลกประหลาด ไม่อยากให้นางเอาแต่สุขสมหวังอยู่ตรงหน้าเขา
เขาฟังจบก็อดเบะปากไม่ได้ “สกุลพวกเราไม่ได้มือยาวดั่งที่เจ้าคิดขนาดนั้น ฝูเจี้ยนเป็นที่ของสกุลเผิง สกุลอิ้นและสกุลลี่ ข้าไม่ได้เตรียมพร้อมจะเป็นศัตรูกับสกุลพวกนี้ในเวลาเดียวกัน ขนมฝูปิ่งนี้ สกุลลี่ส่งมาให้ กล่าวว่าทำให้ญาติสนิทมิตรสหาย ไม่เหมือนกับที่ขายในท้องตลาด เจ้าลองชิมดูสิว่าแตกต่างกันตรงไหน”
อวี้ถังฟังคำพูดนี้ของเขา ดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบกินพวกขนมหวานสักเท่าใด เช่นนั้นขนมถั่วกรอบที่นางทำเอาไปไว้ที่ไหนกันล่ะ?
หรือก่อนหน้านี้ก็รับส่งๆ ไว้เท่านั้น?
นางอดเอ่ยไม่ได้ “เช่นนั้นท่านชอบกินอะไร? หากแม่ข้าทำได้ ครั้งหน้าจะทำส่งมาให้ท่านชิม”
เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ข้าก็ไม่มีของกินอะไรที่ชอบหรือไม่ชอบเป็นพิเศษ ของแปลกใหม่ย่อมพอลองชิมได้ แต่ไม่ชอบกินขนมฝูปิ่ง ประเด็นอยู่ที่ท่านแม่ไม่รู้ว่าฟังมาจากไหน กินขนมฝูปิ่งมากๆ จะช่วยบรรเทาอาการไอ ตั้งแต่เด็กก็ต้มขนมฝูปิ่งกับน้ำร้อนให้ข้าดื่มทุกวัน ข้าได้กลิ่นของมันก็รู้สึกพะอืดพะอมแล้ว”
ชั่วพริบตานั้นอวี้ถังก็คล้ายนึกเรื่องของตัวเองขึ้นมาได้ ละล่ำละลักเอ่ย “ข้าเหมือนกับท่านไม่มีผิด ท่านแม่มักคิดว่าเด็กเล็กท้องไส้ไม่ดี ควรจะกินข้าวต้ม ท่านแม่จึงมักให้ข้ากินข้าวต้มตั้งแต่เด็ก ภายหลังเมื่อเติบโตขึ้น ข้าเห็นข้าวต้มก็แทบไม่อยากยกถ้วยแล้ว”
เติบโตแล้ว?
นี่เพิ่งจะกี่ปี ต่อให้เติบโตอย่างไร ก็อายุเพียงสิบกว่าปีเท่านั้น
เผยเยี่ยนฟังนางพูดอย่างสนุกสนาน สุขอุราไม่น้อย รับบทสนทนานางเรื่องแล้วเรื่องเล่า จวบจนเฉินฉีส่งบัญชีเข้ามาให้เผยเยี่ยนดู เขาจึงค่อยนึกขึ้นมาได้ เอ่ยถามอวี้ถังด้วยใบหน้าจริงจัง “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใดกัน?”
เฉินฉีที่อยู่ด้านข้างเหลือบมองอวี้ถังอยู่หลายครั้ง
นายท่านสามเกลียดการคุยเล่นเป็นที่สุด ไฉนวันนี้จึงพูดคุยกับคุณหนูคนหนึ่งอย่างรื่นเริงเช่นนี้
แต่คุณหนูผู้นี้อายุยังน้อย กลับพูดคุยกระทำเรื่องได้อย่างเหมาะสม หรือนายท่านสามต้องตาคุณหนูผู้นี้กัน?
เขาออกจากห้องหนังสือก็ไปสืบที่ไปที่มาของอวี้ถัง
เรื่องที่อวี้ถังอยู่เป็นเพื่อนเล่นพูดคุยกับท่านแม่เฒ่าก็ไม่ใช่ความลับอะไร แม้จะไม่ได้ป่าวประกาศให้รู้อย่างครึกโครม แต่ก็ไม่มีใครจงใจปิดบังอะไร ไม่นานเฉินฉีก็สืบสาวราวเรื่องที่นางเข้าจวนมาได้อย่างละเอียด
อะไรล้วนดีทุกอย่าง เพียงแต่สกุลด้อยไปอยู่บ้าง
เฉินฉีขบคิดอยู่ภายในใจ
—
อวี้ถังและเผยเยี่ยนกลับไม่ได้คิดมากถึงขนาดนั้น อวี้ถังเอ่ยจุดประสงค์ที่มาหาเผยเยี่ยน “ก่อนหน้านี้ท่านบอกข้าว่าสกุลหลี่ต้องการใช้เงินในเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน ยามนั้นข้าก็คิดว่าสกุลหลี่ใจร้อนเกินไป ในช่วงเวลาสั้นๆ อาศัยจากชื่อเสียงของสกุลหลี่ แม้จะถือกล่องเปล่าติดจดหมายไปจำนำในโรงจำนำ ก็คงมีโรงจำนำยินดีช่วยเหลือสกุลหลี่อยู่ดี เหตุใดจะต้องขายที่นาส่วนตัวห้าสิบหมู่ด้วยเล่า? แต่ไม่กี่วันก่อนข้าได้ยินข่าวหนึ่งมา กล่าวว่าหลี่ตวนรับคำสั่งของบิดาขนของกลับมาจากรื่อเจ้า รอยลากรถนั้นจมดินกว่าสามส่วน หลายวันมานี้ข้าอยู่เรือนว่างๆ ก็นึกถึงเรื่องนี้ ท่านว่า นี่จะเป็นการอำพรางอะไรหรือไม่? สกุลหลี่มีทรัพย์สินมากน้อยเพียงใด คนอื่นไม่รู้ แต่คนในหลินอันกลับเห็นสกุลพวกเขาร่ำรวยขึ้นมาอย่างเต็มสองตา หากหลี่อี้รับเงินติดสินบนที่รื่อเจ้าจริงๆ ก็คงจะหาวิธีล้างมลทินให้เงินพวกนี้กระมัง?”
เผยเยี่ยนฟังแล้ว ใบหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา รอจนอวี้ถังกล่าวจบ เผยเยี่ยนก็หยัดกายนั่งหลังตรงมองอวี้ถังด้วยสีหน้าจริงจัง “คำพูดของเจ้าหมายความว่าอย่างไร? อยากจะกลบฝังหลี่ตวนไว้ในโคลนแล้วทรมานซ้ำไปซ้ำมา?”
อวี้ถังได้ยินก็ใบหน้าแดงก่ำ
นางหมายความว่าเช่นนี้จริงๆ
แต่เผยเยี่ยนก็พูดตรงเกินไปหน่อยแล้ว
คนอื่นได้ยินยังจะคิดว่าพวกเขาทั้งสองปรึกษาเรื่องชิงทรัพย์ปล้นฆ่าใครเสียอีก!
นางกะพริบตาปริบ “ข้าได้ยินว่าสกุลหลี่กำลังจะย้ายไปอยู่ที่หังโจว หลี่ตวนยังวางแผนจะตามบิดาไปเรียนหนังสือที่เมืองหลวง หากพวกเขาออกจากหลินอันไปจริงๆ ก็คงล้างแค้นให้คุณชายรองสกุลเว่ยไม่ได้แล้ว”
เผยเยี่ยนไม่ค่อยเข้าใจเท่าใด “หลี่ตวนสวมชุดกระสอบไว้ทุกข์ให้คุณชายรองสกุลเว่ยแล้ว งานแต่งของหลี่ตวนและสกุลกู้ก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า เจ้าคิดว่านี่ยังไม่พออย่างนั้นรึ?”
เขาคิดว่าอวี้ถังดึงดันเกินไปอยู่บ้าง
นางและคุณชายรองเว่ยก็เพียงเป็นคู่ดูตัวกันเท่านั้น งานแต่งยังไม่ทันกำหนดเสียด้วยซ้ำ
หรือคุณหนูอวี้จะชอบพอกับคุณชายรองเว่ยจริงๆ?
เผยเยี่ยนลูบคางเล็กน้อย
อวี้ถังกลับเอ่ยว่า “ใช้คุณธรรมตอบโต้ความเลว แล้วคนผิดจะได้รับอะไร? แม้ข้าจะเกลียดใครคนหนึ่ง อย่างมากที่สุดก็ลอบสาปแช่งให้เขาไม่ให้ตายดีเท่านั้น เพื่อผลประโยชน์แล้ว สกุลหลี่กลับทำร้ายคุณชายรองเว่ยอย่างไม่ลังเล เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ใช่คนดีอะไร! และสกุลพวกเรา หากครั้งนี้ไม่ได้รับการช่วยเหลือจากท่าน ไม่แน่ว่าอาจจะมีจุดจบเหมือนคุณชายรองเว่ย หรือถึงกระทั่งบ้านแตกสาแหรกขาด! คนเช่นนี้ เหตุใดข้าต้องยอมปล่อยพวกเขาไปง่ายๆ?”
เผยเยี่ยนเห็นใบหน้าเล็กที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟของนาง พลันนึกถึงตัวเองตอนเด็กที่ถูกสหายร่วมเรียนรังแกเพราะอิจฉา นอกจากเขาจะโจมตีกลับ ยังต่อยตีพวกนั้นจนเป็นสภาพสะบักสะบอม ไม่เพียงทำให้คนที่รังแกเขาไม่กล้ายุ่งกับเขา ยังทำให้คนที่ยืนดูความสนุกอยู่ด้านข้างไม่กล้าหาเรื่องเขาเช่นกัน ลำพังบิดาเขายังคิดว่าเขาใจไม่กว้างพอ ตำหนิเขาเพราะเรื่องนี้อยู่ยกใหญ่…เมื่อคิดดูแล้ว เขารู้สึกว่าอวี้ถังทำเช่นนี้ก็ไม่อาจกล่าวโทษได้ทั้งหมด
อย่างไรอวี้เหวินก็เป็นเพียงซิ่วไฉคนหนึ่ง หากสามารถลากสกุลหลี่ที่เป็นสกุลขุนนางลงจากหลังม้า ภายหลังคนอื่นย่อมไม่กล้ารังแกสกุลพวกเขาได้อย่างเรื่อยเปื่อยอีกแล้ว
“พูดมาเถิด! เจ้าต้องการให้ข้าช่วยอย่างไร?” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างสบายๆ “อีกเดี๋ยวข้ายังต้องสะสางธุระกับนายบัญชี”
ความนัยของวาจานี้คือ อวี้ถังอย่าได้สิ้นเปลืองเวลาเขานัก
อวี้ถังเผยยิ้มอย่างเก้อเขิน “ท่านช่วยข้าตรวจสอบได้หรือไม่ ยามที่หลี่อี้รับราชการอยู่ที่รื่อเจ้าทำเรื่องอะไรไว้บ้าง คนปกติที่เป็นข้าหลวงคงไม่สามารถขนย้ายสิ่งของมากมายเพียงนี้กลับมาได้หรอกกระมัง?”
ความจริงนางยังคิดถามว่า ผืนแผ่นดินเดียวกัน เหตุใดมีเพียงที่นาส่วนตัวสองร้อยหมู่ของสกุลหลี่ที่สามารถปลูกข้าวปี้จิงได้? หากเขาคิดสนใจ นางสามารถนำที่นาสามสิบหมู่ที่สกุลตัวเองได้รับออกมาให้คนสกุลเผยวิเคราะห์ตรวจสอบได้ ไม่แน่ว่าที่ดินของสกุลเผยก็อาจสามารถปลูกข้าวปี้จิงได้เช่นกัน
แต่เมื่อครู่เผยเยี่ยนเพิ่งพูดเช่นนั้นออกมา หากนางมาพูดเรื่องนี้ ก็อาจทำให้คนเข้าใจผิดได้ง่ายว่านางอยากทำเงื่อนไขแลกเปลี่ยนกับสกุลเผย กลับจะเป็นการทำลายความปรารถนาดีของเผยเยี่ยนแทน
——————–
[1]จิน หน่วยชั่งของจีน หนึ่งจินเท่ากับครึ่งกิโลกรัม