ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 153 พบหน้า
ไม่จำเป็นต้องลำดับอายุ อวี้ถังก็รู้แล้วว่ากู้ซีอายุมากกว่านางหนึ่งปี
แต่นางยังคงเผยรอยยิ้มแผ่วบาง บอกปีเกิดของตัวเองออกไป
กู้ซีแย้มยิ้ม หันไปเอ่ยกับท่านแม่เฒ่าและนายหญิงเสิ่น “เป็นน้องข้านี่เอง!”
อวี้ถังนึกถึงบุญคุณความแค้นของทั้งสองคนในชาติก่อน ทั้งมองสีหน้าของกู้ซีที่เผยให้นาง นางไม่อยากสร้างความอึดอัดใจให้ตัวเอง เรียกกู้ซีเป็นพี่เป็นน้องเช่นนี้
“คุณหนูกู้!” นางยิ้มหวานเรียกชื่อกู้ซีออกมา เผยท่าทีห่างเหินอย่างเห็นได้ชัด
ใบหน้าของกู้ซีไม่ปรากฏอันใด ทว่าม่านตากลับหดลงเล็กน้อย ยังคงเอ่ยด้วยรอยยิ้มสดใส “น้องสาวอย่าโกรธเคืองกันเลย ปกติข้าหาได้เป็นเช่นนี้ไม่ วันนี้เพียงเห็นน้องสาวหน้าตางดงาม รู้สึกถูกชะตา จึงพลั้งเสียมารยาทไปอยู่บ้าง พี่สาวขอโทษเจ้าก็แล้วกัน” พูดจบ ก็ยื่นมือมาจับแขนของอวี้ถัง
อวี้ถังได้ฟังก็แค่นหัวเราะในใจ
นี่กำลังตำหนิว่านางนิสัยไม่ดีกระมัง?
ชาติก่อนกู้ซีไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยเช่นนี้?
หรือเป็นเพราะอวี้ถังไม่ได้ตกอับเหมือนยามที่พวกนางพบเจอกันในชาติก่อน?
เห็นได้ชัดว่าความใจกว้าง มีเมตตาของกู้ซีในชาติก่อนล้วนเป็นเรื่องเสแสร้งทั้งสิ้น!
แต่ว่าใครฟ้องไม่เป็นบ้างเล่า?
นางหันไปทางท่านแม่เฒ่า
ท่านแม่เฒ่าลอบพยักหน้า ในใจคิดว่าคุณหนูอวี้ผู้นี้ แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง แต่นิสัยแท้จริงกลับไม่ได้แย่แต่อย่างใด ถึงแม้นางจะแนะนำว่าอวี้ถังเป็นลูกหลานของนาง แต่ความเป็นจริงกลับไม่ใช่ กู้ซีปฏิบัติกับอวี้ถังเช่นนั้น เห็นได้ชัดว่าต้องการเอาหน้านาง เป็นพี่สาวน้องสาว ดูเหมือนเรียบง่าย แต่หากไปมาหาสู่กันจริงๆ กลับเป็นเรื่องที่ลึกซึ้งกว่านั้น อวี้ถังขอความคิดเห็นนางในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าในใจยังคงรู้จักพินิจพิเคราะห์ นับว่าวางตัวได้อย่างเหมาะสม
“นางเป็นคนขี้ขลาดตาขาว” ท่านแม่เฒ่ากล่าวด้วยรอยยิ้ม เอ่ยปกป้องอวี้ถังขึ้นมา “ในเมื่อเจ้าเป็นพี่ ก็อย่าได้ถือสาหาความนางเลย” พูดจบ ก็หันหน้าไปคุยกับนายหญิงเสิ่นถึงจุดประสงค์ที่มา “ข้าจำได้ว่าเจ้าต้องคอยดูแลหลานตัวน้อยในเรือน อาจารย์เสิ่นมาหลินอันห้าหกปีก็ไม่เห็นเจ้าเข้ามา ครั้งนี้เกิดอะไรขึ้นรึ? มาเยี่ยมอาจารย์เสิ่น? หรือว่าในเรือนมีเรื่องอะไร? หากเป็นเรื่องที่ข้าสามารถช่วยได้ เจ้าก็พูดมาเถิด อย่าเพิ่งพูดคุยความสัมพันธ์ของอาจารย์เสิ่นและเจ้ารองของสกุลพวกเราเลย แต่ในยามที่ท่านผู้เฒ่ามีชีวิตอยู่ ก็ชื่นชมอาจารย์เสิ่นเป็นที่สุด ทั้งสองคนมักออกไปเที่ยวเล่นดื่มสุราด้วยกัน ในเมื่อเจ้ามาหลินอัน ก็อย่าได้เห็นข้าเป็นคนนอกเลย”
ไม่เอ่ยเรื่องลำดับอาวุโสของอวี้ถังและกู้ซีออกมาสักคำ
ความนัยของวาจาก็คือไม่เห็นด้วยที่กู้ซีและอวี้ถังจะเรียกเป็นพี่น้องอะไรกัน
กู้ซีขบริมฝีปาก ชำเลืองมองอวี้ถังอย่างรวดเร็ว
รูปลักษณ์โดดเด่น ท่วงท่าอากัปกิริยาสง่าผ่าเผย แค่เห็นก็รู้แล้วว่าไม่ได้มาจากสกุลต้อยต่ำธรรมดา เช่นนั้นตกลงแล้วนางมีความสัมพันธ์อย่างไรกับท่านแม่เฒ่ากัน?
เหตุใดท่านแม่เฒ่าไม่ให้นางใช้ลำดับอาวุโสกับคุณหนูอวี้ผู้นี้?
หรือนางเรียกคุณหนูอวี้ว่า ‘น้องสาว’ เป็นเรื่องไม่เหมาะสมกัน?
เมื่อร้อยเรียงความคิดเข้าด้วยกัน กู้ซีก็ตกใจยกใหญ่ คล้อยหลังใจก็เต้นกระหน่ำขึ้นมา
นายหญิงเสิ่นอายุน้อยกว่าท่านแม่เฒ่ารุ่นหนึ่ง ทั้งนางเข้ามาพร้อมนายหญิงเสิ่น เหมือนอ่อนกว่านายหญิงเสิ่นอีกรุ่น ก็หมายความว่าเป็นรุ่นหลานของท่านแม่เฒ่า…หรือว่าคุณหนูอวี้ผู้นี้คือคนที่ท่านแม่เฒ่าเตรียมไว้เพื่อเป็น…คู่หมั้นของนายท่านสาม!
กู้ซีอดมองอวี้ถังอีกครั้งไม่ได้
อวี้ถังกำลังฟังท่านแม่เฒ่าพูดคุยอย่างเงียบเชียบ ทั้งไม่ได้ตระหนักถึงสายตาที่กู้ซีมองมา และแม้นางจะสังเกตเห็น ก็ไม่อาจนำมาใส่ใจเช่นกัน
ชาติก่อนพวกนางเป็นพี่สะใภ้น้องสะใภ้ ใช้ชีวิตร่วมชายคาเดียวกัน นางไม่มีที่ใดให้ไป นั่นเพราะว่าอับจนหนทาง ชาตินี้ บิดาและมารดานางล้วนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา ยังมีพี่ชายพี่สะใภ้คอยดูแล แม้ว่ากู้ซีจะเห็นนางขัดหูขัดตาอย่างไร ก็ไม่อาจทำอะไรนางได้อยู่ดี!
ผู้ที่อวี้ถังคิดว่าคนที่น่าสนใจอยู่บ้างกลับเป็นนายหญิงเสิ่น
จากคำพูดของนายหญิงเสิ่น นางมาหลินอันเพราะได้รับการไหว้วานจากกู้ฉ่างให้เข้ามาเป็นเพื่อนกู้ซี ป้าของเผยเยี่ยนทราบ จึงฝากของมาทางนาง ทั้งของพวกนี้ นอกจากเป็นอาหารหยูกยา ยังมีบทประพันธ์ที่นิยมแพร่หลายในเจียงหนานตลอดหลายปีมานี้
กู้ซีเคยเป็นคู่หมั้นของหลี่ตวน นางมาหลินอันเช่นนี้เป็นเรื่องที่เหมาะสมรึ?
กู้ฉ่างมีเรื่องอะไรถึงไม่สามารถส่งผู้ติดตามหรือผู้ช่วยมากับนางได้ กลับเป็นนายหญิงเสิ่นที่มาหลินอันเป็นเพื่อนกู้ซี นายหญิงเสิ่นมาเยี่ยมสกุลเผย ไฉนยังพากู้ซีติดตามมาด้วย?
ไม่ว่าอวี้ถังจะคิดอย่างไรก็รู้สึกว่าเรื่องนี้มีลับลมคมในบางอย่าง
แต่ขอแค่เพียงการมาเยือนของกู้ซี ไม่กระทบอันใดกับสกุลอวี้ นางก็ย่อมไม่ยุ่งเกี่ยวอะไร
อวี้ถังไม่มีความจำเป็นต้องถามมากความ ยังคงนั่งฟังท่านแม่เฒ่าและนายหญิงเสิ่นพูดคุยกันอยู่ด้านข้างเงียบๆ
กู้ซีกลับกระวนกระวายใจ
นางมาเยี่ยมเสิ่นซ่านเหยียนที่หลินอัน เดิมทีก็เป็นเพียงข้ออ้าง ความเป็นจริง นางตั้งใจมาพบท่านแม่เฒ่า ทั้งคาดหวังให้ท่านแม่เฒ่าเกิดความรู้สึกดีต่อนาง
นึกถึงเรื่องพวกนี้ ใบหน้านางก็ร้อนฉ่าขึ้นมาเล็กน้อย
จากคำพูดของพี่ชายนาง สกุลหลี่ไม่มีประโยชน์อันใดแล้ว หากสามารถเกี่ยวดองกับสกุลเผยได้ย่อมดีที่สุด ก่อนหน้านี้นางคิดว่าในเมื่อถอนหมั้นกับสกุลหลี่ ทางที่ดีก็อย่าได้แต่งงานเชื่อมไมตรีกับสกุลในหลินอันเลย ผลปรากฏว่ากู้ฉ่างร่ายชื่อลูกหลานสกุลแถบเจ้อเจียงออกมาให้นางฟังครั้งหนึ่ง กลับไม่มีตัวเลือกใดที่เหมาะสมไปกว่าเผยเยี่ยนแล้วจริงๆ
กู้ฉ่างก็สืบข่าวมาเช่นกัน ก่อนหน้านี้สกุลเผยคาดหวังกับเผยเยี่ยนไว้สูง ต้องแต่งงานกับบุตรีของสกุลที่เป็นขุนนางขั้นสามขึ้นไป ถึงกระทั่งก่อนหน้านี้ที่สกุลเผยและสกุลหลีของหลีซวิ่นเจ้ากรมพิธีการควบตำแหน่งมหาบัณฑิตหอเหวินหยวนจับคู่หมั้นหมายกันก็เป็นเรื่องจริง แต่งานแต่งของทั้งสองสกุลยังไม่ทันได้กำหนด ท่านผู้เฒ่าก็จากไปก่อน งานแต่งของเผยเยี่ยนและสกุลหลีจึงรั้งอยู่เช่นนี้
เดิมทีพวกเขาก็ไม่กล้าแก่งแย่งกับสกุลหลี อย่างไรสกุลหลีและสกุลเผยได้จับคู่หมั้นหมายกันมาก่อน แต่เมื่อเดือนก่อนได้ยินว่าบุตรสาวที่รอแต่งงานเพียงคนเดียวของสกุลหลี คุณหนูสามผู้นั้นได้หมั้นหมายกับลูกชายของสกุลมหาบัณฑิตสำนักฮั่นหลิน หยางโซ่วเต้า เห็นได้ชัดว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันกับการหมั้นหมายของสกุลหลีและสกุลเผย
ลำพังบุตรเขยดีๆ ก็หายากอยู่แล้ว ทั้งคนอย่างเผยเยี่ยน ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างคิดว่าเขามีพันธะสัญญาทางวาจากับสกุลหลี จึงไม่อาจเกาะแกะกับเขาได้ ยามนี้เขาเป็นอิสระแล้ว หากข่าวแพร่สะพัดออกไป ยังไม่รู้ว่าจะมีสกุลมากมายเท่าใดที่จับจ้อง ถึงเวลานั้นอย่ากล่าวว่าสกุลกู้ของพวกเขาเลย แต่เกรงว่าแค่คุณหนูสตรีของสกุลจางอิง อาจารย์เขาก็คงจะรีบร้อนมาตกบุตรเขยเต่าทองคำอย่างเผยเยี่ยนกลับไปสกุลพวกเขาเช่นกัน
กู้ซีครุ่นคิดก็ลอบถอนหายใจไปพลาง
เทียบกันแล้ว สกุลกู้ของพวกนางยังคงเหนือกว่าสกุลเฉียนอยู่บ้าง แต่จะด้อยตรงที่สกุลกู้ของพวกนางไม่ค่อยมีความสัมพันธ์อันใดกับสกุลเผย โดยเฉพาะระหว่างผู้หญิงในสกุล เดิมทีก็ไม่มีคนที่สามารถคุยถูกคอกับสตรีของสกุลเผย หากไหว้วานแม่เลี้ยงพวกเขา นางไม่ฉกเผยเยี่ยนไปเป็นบุตรเขยให้ลูกหลานฝ่ายมารดาของตนเองก็คงจะพังเรื่องนี้ลงอย่างไม่เป็นท่า ส่วนคนอื่น ก็ยิ่งไม่มีใครเชื่อถือได้
กู้ฉ่างใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำแล้ว จึงฝากความหวังไว้กับนายหญิงเสิ่น
แน่นอนว่าจากนิสัยของนายหญิงเสิ่น นางนั้นไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่สุดในการทำเรื่องนี้ แต่นายหญิงเสิ่นสามารถพากู้ซีเข้าไปในสกุลเผยได้ หากทำให้กู้ซีสร้างความประทับใจต่อท่านแม่เฒ่า เทียบกับข่าวที่ได้ยินมาจากคุณหนูคนอื่น กู้ซีย่อมมีโอกาสสำเร็จมากกว่า
กู้ซีนั้นคิดเรียบง่ายกว่ากู้ฉ่าง
หากเผยเยี่ยนไม่ได้ดีเหมือนที่พี่ชายตนว่า แม้ว่าพี่ชายนางจะตัดสินใจ นางก็ไม่อาจยอมรับงานแต่งครั้งนี้
แทนที่จะแต่งกับสกุลไร้ประโยชน์ หลังจากเข้าสกุลจัดการกับเรื่องในเรือนหลังแล้วยังต้องมารับมือกับเรือนหน้า นางมิสู้รั้งกายอยู่ในเรือนตัวเอง เป็นนายหญิงที่สูงส่งทะนงตน ใช้ชีวิตอย่างอิสระไร้ข้อผูกมัดอยู่ในเรือนจนชั่วชีวิต
แต่นางนับเป็นคนที่มีความสามารถ แม้จะไม่รู้ว่านางมีวาสนาต่อเผยเยี่ยนหรือไม่ แต่เมื่อปรากฏตัวต่อหน้าท่านแม่เฒ่าและคนของสกุลเผยแล้ว นางจึงทำได้เพียงทำออกมาอย่างดีที่สุด แสดงความสามารถให้เต็มที่ ให้คนอื่นได้เอ่ยชมนางอย่างไม่ขาดปาก
ด้วยเหตุนี้การสร้างความประทับใจให้ท่านแม่เฒ่า และนายหญิงรองเผยย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด
กู้ซีดื่มชาด้วยกิริยางดงาม ลอบขบคิดว่าจะสืบที่ไปที่มาของอวี้ถังอย่างไรดี
อวี้ถังได้ฟังนายหญิงเสิ่นพูดก็ยิ่งรู้สึกแปลกๆ ในใจ
นายหญิงเสิ่นอยากจะพำนักในสกุลเผยช่วงหนึ่ง เป็นเพราะว่าเสิ่นซ่านเหยียนไม่ได้เช่าเรือนในหลินอัน แต่พักอาศัยในสำนักศึกษาประจำอำเภอ ในสำนักศึกษานั้นมีลูกศิษย์มากเกินไป เสิ่นซ่านเหยียนไม่มีเรือนอยู่นอกสำนักศึกษา ชายหญิงมีธรรมเนียมที่เข้มงวด นางและกู้ซีพักอยู่ในนั้นย่อมไม่เหมาะสมนัก
อวี้ถังถึงกับทนไม่ไหว มองนายหญิงเสิ่นด้วยความตกตะลึงยิ่ง
ไม่ได้พบสามีตัวเองนานถึงขนาดนี้ ไม่ใช่ว่าควรยินดีปรีดา แม้จะไม่มีโอกาสแต่ย่อมต้องหาโอกาสอยู่กับสามีเสียหน่อยไม่ใช่รึ? เหตุใดนายหญิงเสิ่นกลับทำตัวเหินห่างเช่นนี้แทนล่ะ?
แม้อวี้ถังจะหัวทึบอย่างไร ก็มองออกว่าอาจารย์เสิ่นและนายหญิงเสิ่นคงไม่ลงรอยกันเท่าใด
หรือนี่ก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่อาจารย์เสิ่นมาหลินอันโดยไม่พาภรรยามาด้วย?
นางไม่รู้คำตอบ แต่นางกลับมองออกอย่างชัดเจนว่าท่านแม่เฒ่าไม่ชอบนายหญิงเสิ่น
“เจ้าเป็นภรรยาของอาจารย์เสิ่น มีอะไรไม่เหมาะสมกัน?” ยามที่ท่านแม่เฒ่าเอ่ยคำนี้ ยังคงแฝงความดุดันอยู่บ้าง “ข้าว่าบางทีเจ้านั้นเข้มงวดกับกฎระเบียบเกินไป อายุปูนนี้แล้ว อะไรที่ปล่อยวางได้ก็ปล่อยวางบ้างเถิด”
เห็นได้ชัดว่านายหญิงเสิ่นไม่ชอบคำกล่าวนี้ของท่านแม่เฒ่าเท่าใด นางเอ่ยว่า “หากท่านแม่เฒ่าไม่สะดวก ข้าไปพักที่โรงเตี๊ยมสักสองวันก็ได้ แต่หากให้คุณหนูกู้ตามไปกับข้า ข้าคงไม่วางใจ อย่างไรขอท่านแม่เฒ่าช่วยรับนางไว้หน่อยเถิด”
นี่กลับสมเหตุสมผลอยู่บ้าง
แม้โรงเตี๊ยมจะดีเพียงไหนก็อาจประสบพบเจอกับพวกอันธพาลได้
ท่านแม่เฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อย ท้ายที่สุดยังคงถอยให้หนึ่งก้าว “ข้ากลัวว่าพวกเจ้าจะเดินทางไปมาสำนักศึกษาไม่สะดวก ในเมื่อเจ้าคิดว่าไม่เป็นอะไร ก็พูดกันง่ายแล้ว พวกเจ้าเข้ามาพักเลยแล้วกัน ข้าไม่ได้ติดขัดอันใด ห้องรับรองแขกมีมากมาย เจ้าอยากพักห้องไหนก็เลือกเอาเถิด”
นายหญิงเสิ่นและกู้ซีจึงเข้ามาพักอยู่ในสกุลเผยเช่นนี้
ยามที่ออกจากประตู อวี้ถังก็ถามจี้ต้าเหนียงที่ออกมาส่งนาง “เรือนสกุณาพร่ำมีห้องมากมายเพียงนั้นเชียวรึ?”
นางเห็นว่าเรือนสกุณาพร่ำเป็นเพียงเรือนห้าห้องที่อยู่ในพื้นที่สามส่วน
หลายวันมานี้จี้ต้าเหนียงรู้จักมักคุ้นกับนางขึ้นเรื่อยๆ จึงพูดอย่างไม่คิดอะไรมาก
“พื้นที่ห้าส่วนด้านข้างก็เป็นส่วนของเรือนสกุณาพร่ำเช่นกัน” นางเอ่ยแผ่วเบากับอวี้ถัง “เมื่อก่อนเรือนสกุณาพร่ำเป็นสถานที่ครองพรหมจรรย์ของพวกท่านแม่เฒ่าและฮูหยินเฒ่าของสกุลเผย ย่อมมีห้องมากมาย แต่หลายปีมานี้สกุลเผยมีแต่ความผาสุกอายุขัยยืนยาว คนอย่างเช่นท่านผู้เฒ่าที่ด่วนจากไปนับว่ามีน้อย ทั้งไม่มีอนุภรรยาบ้านเล็ก ห้องจึงโล่งว่างไม่น้อย”
อวี้ถังสั่นสะท้านในใจ
รู้สึกว่าบรรยากาศเรือนสกุณาพร่ำดูอึมครึมขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด
จี้ต้าเหนียงเห็นกลับหัวเราะลั่น “ครั้งก่อนเจ้าก็มาเคารพศพท่านผู้เฒ่า สกุลเผยเป็นสกุลใหญ่ มีความพิถีพิถัน หากคนในเรือนไม่พอใจ ก็สร้างเรือนเป็นของตัวเอง เรือนสกุณาพร่ำมีอะไรให้น่ากลัวกัน?”
อวี้ถังหัวเราะเก้อเขิน
จี้ต้าเหนียงเอ่ยว่า “ยิ่งไปกว่านั้นปกติไม่ทำเรื่องชั่วช้า ย่อมไม่จำเป็นต้องกลัวภูตผีมาเคาะประตูตอนดึก ไม่มีอะไรต้องกลัว!”
ก็ไม่ใช่เพราะว่านางพบเรื่องมหัศจรรย์เหลือเชื่อมา จึงได้เชื่อเรื่องพวกนี้อย่างไร้ข้อสงสัยหรอกรึ?
อวี้ถังพึมพำอยู่ในใจ ก่อนจะขึ้นเกี้ยวกลับเรือนของตัวเอง