ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 165 สนทนา
ศาลาข้างทะเลสาบหมิงซาน ลมฤดูหนาวนั้นพัดโชยจนเย็นยะเยือกบาดกระดูก
อวี้ถังกระชับเสื้อคลุม ถามเผยเยี่ยนด้วยตัวสั่นเทา “เหตุใดจึงต้องมาพูดคุยที่นี่? หาห้องอุ่นสักแห่งไม่ได้หรืออย่างไร?”
เผยเยี่ยนไม่ตอบคำถาม กลับมองเสื้อคลุมของอวี้ถังไปแวบหนึ่ง
ด้านในเป็นขนกระรอก ด้านนอกเป็นผ้าหยาบหังโฉว ไม่แปลกใจที่จะรู้สึกหนาวสั่น
ฤดูกาลนี้ ผ้าด้านในควรใช้ขนจิ้งจอกไม่ก็เตียวเหมา[1] ส่วนผ้าด้านนอกก็ควรเป็นผ้าไหมทอไม่ก็สู่ซิ่ว[2]
ยามนี้สกุลอวี้ก็นับว่าร่ำรวย เหตุใดจึงทำใจตัดเย็บเสื้อคลุมดีๆ ให้คุณหนูอวี้ไม่ได้กัน
เผยเยี่ยนขมวดคิ้ว
อวี้ถังกลับงงงัน
มองตามสายตาของเขาจนหยุดที่เสื้อคลุมของตัวเอง
ชั่วขณะนั้นนางก็เผยสีหน้าโกรธเคือง
เผยเยี่ยนผู้นี้ เหตุใดทุกครั้งจึงชอบจ้องมองเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของนางเช่นนี้
นางไม่ใช่คุณหนูของสกุลเผยที่ต้องคบค้าสมาคมกับคนมากมาย ทุกครั้งที่ปฏิสัมพันธ์กับใครก็สวมชุดคลุมแทบไม่ซ้ำเสียหน่อย เสื้อคลุมนี้เป็นสินเดิมของมารดา ขนสัตว์เก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี เสื้อคลุมสีราบเรียบ ปักเย็บดอกหลันฮวาไว้ที่มุมหนึ่ง เย็บตะเข็บละเอียดประณีต จับคู่สีได้อย่างเรียบหรู ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เป็นเสื้อคลุมที่นำออกมาเชิดหน้าชูตาได้
เขาถือสิทธิ์อันใดจึงมองอย่างไม่ชอบใจเช่นนี้?
อวี้ถังแค่นยิ้มในใจ ตัดสินใจไม่ให้เผยเยี่ยนได้สุขสบายใจเช่นกัน
พอดีกับลมหนาวระลอกใหม่พัดเข้ามา พาให้อากาศด้านในหนาวเย็นไปหมด นางกระชับเสื้อคลุมแน่น เอ่ยประชดว่า “ไม่อย่างนั้นเปลี่ยนเป็นศาลาริมน้ำก็ได้! ยืนอยู่ที่นี่ คนแทบจะกลายเป็นน้ำแข็งอยู่แล้ว”
เขาเลือกสถานที่ได้ไม่ดีอย่างนั้นรึ?
เผยเยี่ยนเอ่ยอธิบาย “ที่นี่ใกล้กับป่าเหมยมากที่สุด”
เอาเถิด!
ตระหนักว่าท่านแม่เฒ่ายังชมดอกเหมยอยู่ในป่าเหมย อวี้ถังตัดสินใจว่าแม้จะมีคำพูดยาวเหยียดเพียงไหนก็จะพูดสั้นๆ แทน
นางเอ่ยว่า “ท่านอยากพบข้าทำไมรึ?”
เดิมทีเผยเยี่ยนอยากถามตรงไปตรงมาว่าที่สกุลนางเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่คำพร่ำบ่นของอวี้ถังเมื่อครู่ทำให้เผยเยี่ยนรู้สึกว่าตัวเองจัดการเรื่องราวได้ไม่ดีเท่าใด จึงไม่สบายใจอยู่บ้าง เอ่ยเรื่องหลี่ตวนขึ้นมาแทน…ในความคิดของเขา เขารู้สึกว่าหากอวี้ถังทราบเรื่องร้ายที่หลี่ตวนประสบพบเจอ นางย่อมต้องดีใจ
“เจ้าพูดเรื่องสกุลหลี่กับข้า ข้าจึงตั้งใจไปตรวจสอบ” เผยเยี่ยนเอ่ยอย่างจริงจัง “เป็นดังที่เจ้าว่าจริงๆ ยามที่หลี่อี้เป็นข้าหลวงในรื่อเจ้า มีการกระทำที่ไม่ใสสะอาดอยู่บ้าง” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็เม้มริมฝีปาก
ออกไปรับราชการไกลก็เพราะเรื่องเงินทอง
นี่เป็นเหตุผลที่คนส่วนมากเข้าสู่เส้นทางข้าราชการ
เผยเยี่ยนสามารถเข้าใจได้ แต่เขากลับไม่เห็นด้วย
ด้วยเหตุนี้ยามที่เขารู้ว่าหลี่อี้ทำเรื่องอะไรบ้างที่รื่อเจ้า เขาก็มีโทสะไม่น้อย
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ล้วนมีขอบเขต เมื่อผ่านเส้นทางนี้ไปแล้ว ย่อมทำให้คนรู้สึกรังเกียจดูแคลน
เขานำเรื่องของหลี่อี้เขียนใส่จดหมายบอกกับสหายร่วมเรียนปีเดียวกันที่เป็นขุนนางฝ่ายตรวจการ และสหายผู้นี้แต่ไหนแต่ไรก็เป็นคนทะเยอทะยาน คิดจะหลงเหลือชื่อเสียงอันดีงามของขุนนางเอาไว้
เขาย่อมจะบอกหลี่อี้อย่างดีๆ ว่าควรประพฤติตนอย่างไรแน่นอน
อวี้ถังลอบดีใจ
ก็หมายความว่า ครอบครัวนั้นจะสามารถลบล้างข้อกล่าวหาได้เร็วขึ้น
นางอดเอ่ยไม่ได้ “เช่นนั้น ท่านวางแผนจะทำอย่างไร?”
เผยเยี่ยนเห็นแววตาของนางปรากฏแสงแวววับดุจพระอาทิตย์ในฤดูร้อนที่เขาคุ้นเคย ก็ลอบพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ทว่าใบหน้ากลับไม่เผยท่าทีอันใด เอ่ยว่า “สกุลพวกเขาไม่ใช่อยากจะย้ายไปหังโจวหรอกรึ? เช่นนั้นก็ให้ย้ายไปเสีย”
อวี้ถังตกตะลึง
ปกติสกุลที่ย้ายออกไป ไม่กลับมาอีกเช่นนี้ ย่อมไม่เหลือทรัพย์สินอะไรไว้ในถิ่นฐานเดิม
ก็หมายความว่า เผยเยี่ยนคิดจะบีบบังคับให้สกุลหลี่ขายทรัพย์สินบรรพบุรุษ แม้ว่าจะไม่ทั้งหมด นั่นก็คงเป็นส่วนใหญ่
นางนึกถึงชาติก่อนที่สกุลอวี้ขายทรัพย์สินเหล่านั้นของบรรพบุรุษ พลันรู้สึกได้ว่าเคราะห์กรรมของสกุลหลี่กลับถูกเผยเยี่ยนเป็นคนกำหนดอย่างบังเอิญในชาตินี้
“ขอบคุณนายท่านสาม!” นางเอ่ยอู้อี้ หางตายังมีหยาดน้ำวาววับ
เผยเยี่ยนปรากฏท่าทีสงสัย
เขาก็ไม่ได้พูดอะไร เหตุใดยามนี้คุณหนูอวี้จึงตื้นตันใจและซาบซึ้งเช่นนี้ หรือคุณหนูอวี้จงเกลียดจงชังสกุลหลี่จนถึงขั้นที่ขอเพียงสกุลหลี่ประสบเคราะห์ร้าย นางก็จะสามารถดีใจได้อย่างนั้นรึ?
เผยเยี่ยนไม่อาจเข้าใจได้
อวี้ถังย่อมไม่อยากอธิบายเรื่องนี้กับเขา แสร้งกล่าวปิดบัง “ไอหยา ไม่ใช่ว่าข้านึกถึงที่นาที่สกุลหลี่เหลือไว้หนึ่งร้อยห้าสิบหมู่นั่นหรอกรึ? ที่นาของสกุลพวกเขา นับเป็นพื้นที่ที่ดีที่สุดในหลินอันของพวกเราเชียว มีเงินก็ซื้อไม่ได้ ไม่ง่ายที่สกลุหลี่จะประสบเคราะห์ร้ายเช่นนี้ ข้าไหนเลยจะข่มใจตัวเองไหว?”
นางพูดประหนึ่งหยอกล้อ แววตามีความรู้สึกยินดีปรีดาโดยไม่มีความแค้นเข้ามาเกี่ยวข้อง
เป็นความยินดีจากใจจริง
เผยเยี่ยนชะงักไป น้ำเสียงก็อดผ่อนคลายขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้ “หากสกุลพวกเราก็อยากได้ที่นาร้อยห้าสิบหมู่นั้นล่ะ?”
อวี้ถังคาดไม่ถึงเป็นอย่างมาก
ในความคิดของนาง เผยเยี่ยนไม่ใช่คนที่เอ่ยปากพูดอย่างส่งเดช
ยามนี้เขาจะขอที่นาร้อยห้าสิบหมู่ของสกุลหลี่จากนาง
เห็นได้ชัดว่าคำพูดนี้อาจจะหยอกเล่นเท่านั้น อวี้ถังกลับปกปิดความรู้สึกยินดีไม่มิด
นางเอ่ยว่า “แน่นอนว่าต้องให้สกุลพวกท่าน! อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ย่อมได้ลมเย็น[3]! ติดตามสกุลท่าน อย่างน้อยภายหลังก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องน้ำในที่นา”
เมื่อครุ่นคิดตาม ก็มีเหตุผลอยู่บ้างจริงๆ!
ยากที่เผยเยี่ยนจะหัวเราะขึ้นมา “ไม่อย่างนั้น พวกเราพูดคุยที่ศาลาริมน้ำด้านข้างดีหรือไม่?”
ฝั่งตรงข้ามของศาลาที่กั้นด้วยทะเลสาบ มีศาลาริมน้ำที่ตั้งอย่างมั่นคงมาเป็นเวลานาน
อวี้ถังคิดว่าเผยเยี่ยนมาเพราะบอกเรื่องนี้กับนาง จึงส่ายศีรษะระรัว เอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ที่นี่ก็ดี ท่านแม่เฒ่ายังคอยให้ข้ากลับไปอีก!”
เผยเยี่ยนเห็นนางฟื้นคืนท่าทีเป็นปกติ ก็ค่อยๆ สงบจิตใจลง พูดถึงจุดประสงค์ของตัวเอง “ยามเช้าเจ้าเพิ่งส่งจดหมายกลับไปที่สกุล ยามบ่ายก็มีคนมาส่งจดหมายตอบกลับเจ้า หรือในเรือนเจ้าเกิดเรื่องอันใดกัน?”
อวี้ถังคิดว่าเรื่องที่น่าอายที่สุด เรื่องที่จนตรอกที่สุดของนางล้วนถูกเผยเยี่ยนเห็นหมดแล้ว ไม่มีอะไรที่ต้องปิดบัง
นางจึงเล่าเรื่องที่เชิญคุณชายจางมาวาดแบบให้เผยเยี่ยนฟัง
เผยเยี่ยนคาดไม่ถึงอย่างยิ่ง มองพินิจอวี้ถังขึ้นๆ ลงๆ
อวี้ถังเอ่ยอย่างตื่นเต้น “ทำไมรึ?”
ทว่าในใจกลับกระวนกระวาย หรือตัวเองทำผิดที่ใดไป นึกทบทวนเรื่องที่ตัวเองทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ใครจะรู้ว่าเผยเยี่ยนกลับเอ่ยอย่างจริงจังว่า “คาดไม่ถึงว่าเจ้ายังมีกิจการเช่นนี้ เจ้าเคยคิดทำเครื่องลงรักประดับเปลือกหอยหรือไม่?”
ยามนี้เครื่องเรือนที่แพงที่สุดก็คือเครื่องเรือนที่เลี่ยมฝังพวกเปลือกหอย เครื่องลงรักแกะสลักสีแดงของสกุลพวกเขา ปกติล้วนเป็นชิ้นเล็กๆ ทั้งยังสามารถใช้ได้ตลอดชีวิต บางสกุลแม้ว่าจะเป็นยามแต่งงานก็ใช่ว่าจะซื้อเครื่องลงรักสีแดงเช่นนี้เสมอไป
เครื่องเรือนก็แตกต่างแล้ว
ในเรือนของทุกคนล้วนจำเป็นต้องมี
แต่เครื่องเรือนสีดำยังมีมากกว่าอยู่บ้าง
เห็นได้ชัดว่าเผยเยี่ยนก็ไม่ใช่จะถูกเสมอไป
อวี้ถังปฏิเสธอย่างอ้อมค้อม เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ศิลปะที่บรรพบุรุษของสกุลพวกเราสืบทอดกันมาก็คือเครื่องลงรักแกะสลักสีแดง หากทำเครื่องลงรักประดับเปลือกหอย ย่อมเท่ากับว่าทิ้งประโยชน์กับสิ่งที่อยู่ใกล้ ไขว่คว้าสิ่งที่อยู่ไกล ทอดทิ้งฝีมือศิลปะของบรรพบุรุษ ครุ่นคิดแล้วจึงไม่ตัดสินใจทำ”
กิจการของสกุลเผยมีคณานับ แต่ส่วนมากอยู่ในการควบคุมดูแลของพวกเถ้าแก่ อย่างมากที่สุดเขาก็เพียงเสนอความต้องการออกไป ตรวจดูบัญชี ส่วนเรื่องพวกนี้ยังไม่ค่อยเข้าใจจริงๆ
“ข้าก็พูดไปเท่านั้น” เขาเอ่ย “ช่วงนี้มีคนขอให้ข้าช่วยรับโรงงานทำเครื่องลงรักประดับเปลือกหอยไว้ ข้ากำลังครุ่นคิดอยู่ จึงอยากมาถามสกุลพวกเจ้าก่อนว่าพอจะใช้ประโยชน์ได้หรือไม่”
อวี้ถังตกตะลึง
หากเป็นโรงงานทำเครื่องลงรักประดับเปลือกหอย นั่นก็ย่อมมีจุดให้ใช้ประโยชน์มากมาย
ขอเพียงแค่ควบคุมไม่ให้วุ่นวาย ก็ย่อมเป็นการค้าขายที่ทำเงินให้อย่างยิ่ง
นี่ช่างเข้ากับคำโบราณที่ว่า ‘เงินวิ่งไล่ตาม’ โดยแท้
แต่ว่านางก็แปลกใจอยู่เล็กน้อยว่าใครกันที่ขายโรงงานเช่นนี้
เผยเยี่ยนก็ไม่คิดปิดบังนาง เอ่ยว่า “เป็นสกุลซ่ง” ยังอธิบายว่า “สกุลพวกเขาไม่ได้ร่วมหุ้นสร้างเรือกับสกุลเผิงและสกุลอู่หรอกรึ? สกุลเผิงคงไม่ต้องพูดถึง เดิมทีสกุลอู่ก็เป็นสกุลที่ร่ำรวยขึ้นมาฉับพลันกลายเป็นคหบดีชนบท แต่การสร้างเรือมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง สกุลพวกเขาไหนเลยจะมีเงินสู้ทั้งสองสกุล? ข้าเดาว่าสกุลเผิงและสกุลอู่อาจจะคิดร่วมมือกันบีบให้สกุลซ่งออกมา ดังนั้นจึงวางหลุมพรางอะไรบางอย่าง ยามนี้สกุลซ่งขึ้นหลังเสือย่อมลงยาก ทำได้เพียงลอบขายทรัพย์สินเพื่อแก้ไขสถานการณ์” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็คล้ายกับคิดอะไรออก ร้อง ‘เอ๊ะ’ ออกมา เอ่ยว่า “เครื่องลงรักสีแดงต้องทาสีหลายชั้นใช่หรือไม่ เหมือนว่าสกุลซ่งยังมีโรงงานสีอีกแห่ง…”
แต่สกุลพวกนางก็ไม่ต้องการโรงงานสีเพื่อจัดหาสีให้ตัวเองเสียหน่อย!
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ สกุลพวกนางขาดแคลนคนที่จะมาควบคุมกิจการเช่นนี้
พึ่งพาคนอื่นให้ช่วยเหลือกิจการ ท้ายที่สุดก็ไม่อาจหาเงินได้มากมายแต่อย่างใด
นี่เป็นประสบการณ์จากชาติก่อนของอวี้ถัง
นางปฏิเสธอย่างอ้อมค้อมอีกครั้ง คิดว่าหากพูดคุยเช่นนี้กับเผยเยี่ยนต่อไป ไม่แน่ว่าเผยเยี่ยนอาจจะพูดอะไรที่น่าตกใจออกมาอีก จึงรีบเบี่ยงไปประเด็นอื่น “ท่านอยากรับช่วงต่อกิจการของสกุลซ่งอย่างนั้นรึ? สิ่งที่ทำเงินให้พวกเขามากที่สุดคืออะไร?”
“โรงงานสิ่งทอ” เผยเยี่ยนกล่าว ไม่ได้ตอบคำถามว่าเขาอยากรับช่วงต่อกิจการสกุลซ่งหรือไม่ “แต่ว่าสิ่งทอก็ยุ่งยากไม่น้อย หากไม่ทอพวกเครื่องบรรณาการก็ยากที่คนอื่นจะให้ความสนใจ ทำเครื่องบรรณาการยังต้องมีคนรู้จักอยู่ในยี่สิบสี่สำนักด้วย…” พูดมาถึงตรงนี้ เขาก็พลันหยุดลง นิ่งงันขึ้นมา
อวี้ถังไม่รู้สาเหตุ
เผยเยี่ยนเอ่ยถามนาง “เจ้ารู้จักเจียงเฉาหรือไม่?”
เจียงเฉาพักอยู่ที่สกุลพวกนางช่วงหนึ่ง นางย่อมรู้จัก แต่ท่าทีของเผยเยี่ยน กลับหมายความว่านางเข้าใจเกี่ยวกับตัวเจียงเฉาผู้นี้หรือไม่
อวี้ถังเอ่ยทั้งครุ่นคิด “ก็พอใช้ได้กระมัง? ปกติข้าก็ได้ยินท่านพ่อพูดถึงเขาหลายต่อหลายครั้ง”
เผยเยี่ยนพยักหน้า จู่ๆ ก็เปลี่ยนไปพูดอีกเรื่องเสียอย่างนั้น “ร้านค้าของพวกเจ้ามีแบบภาพที่ดีก็คงราบรื่นแล้วกระมัง?”
“ยามนี้เหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้น” อวี้ถังเอ่ยอย่างแน่วแน่ “เรื่องการค้า ต้องค่อยๆ จับทางไปทีละเล็กทีละน้อย”
เผยเยี่ยนเอ่ยว่า “คุณชายจางวาดภาพได้ดีขนาดนั้นเชียวรึ?”
อวี้ถังเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าความรู้ตื้นเขิน แต่จากที่ข้าเคยเห็นมา ภาพของคุณชายจางนั้นวาดได้ดีที่สุดแล้ว”
เผยเยี่ยนผงกศีรษะ “อืม! ในเรือนเจ้าไม่มีเรื่องอะไรก็ดีแล้ว ข้าขอให้เจ้ามาอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ ย่อมไม่อยากให้เจ้าต้องกังวลหลายเรื่อง หากในเรือนเจ้ามีอันใด เจ้าก็เรียกสาวใช้หรือบ่าวรับใช้มารายงานข้าได้ ข้าจะพยายามช่วยเจ้าแก้ไขปัญหา”
อวี้ถังเอ่ยขอบคุณ
ก่อนทั้งสองจะแยกย้ายกันไป
แน่นอนว่าอวี้ถังต้องย้อนกลับไปในป่าเหมย แต่ยามนี้การแต่งกลอนจบลงแล้ว ทุกคนกำลังเตรียมไปหาทางท่านแม่เฒ่า
กู้ซีเห็นนางก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มทันที “ช่างเป็นดังที่ว่ามาเร็วยังมิสู้มาประจวบเหมาะ พวกเราเพิ่งตัดสินใจจะต้มเนื้อแพะกินกัน เจ้าก็กลับมาพอดี เห็นได้ชัดว่าคุณหนูอวี้มีลาภปากจริงๆ”
“ไม่ใช่กล่าวว่าจะกินเนื้อย่างเย็นนี้หรอกรึ?” อวี้ถังเอ่ยอย่างคาดไม่ถึง
ไฉนจึงเปลี่ยนแปลงความคิด?
คุณหนูสี่หน้าขึ้นสี เอ่ยอย่างกระอึกกระอัก “กลอนของคุณหนูกู้ถูกตัดสินให้เป็นอันดับหนึ่ง พี่สามได้ลำดับที่สอง คุณหนูกู้กล่าวว่าตัวเองอายุมากที่สุด จึงให้พี่สามเป็นคนเลือก พี่สามบอกว่ายามเย็นกินเนื้อย่างไม่ดีต่อสุขภาพนัก จึงเปลี่ยนเป็นต้มแทน”
กลอนของกู้ซีถูกตัดสินให้อยู่ในลำดับแรก อวี้ถังไม่แปลกใจแม้แต่น้อย
เห็นได้ชัดว่าหลังจากนางออกไปก็มีการเดิมพันกันเกิดขึ้น
นางกินอะไรล้วนได้ทั้งนั้น เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี หากพรุ่งนี้หิมะยังตก พวกเราค่อยย่างเนื้อก็ได้”
คำพูดของอวี้ถังพูดได้ตรงใจคุณหนูสี่และคุณหนูห้า
ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างพร้อมเพรียงกัน ก่อนคนกลุ่มนี้จะเดินคุยเล่นเบียดเสียดมุ่งหน้าไปยังเรือนหลักของท่านผู้เฒ่า
ระหว่างทาง กู้ซีกลับอยากถามอวี้ถังหลายต่อหลายครั้งว่า ‘เจ้าไม่อยากรู้หรือว่าตัวเองได้อันดับที่เท่าใด’ แต่ก็ยังคงข่มกลั้นไม่พูดออกมา
——————————
[1]เตียวเหมา คือขนมิงค์
[2]สู่ซิ่ว ผ้าขึ้นชื่อของมณฑลเสฉวน
[3]อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ย่อมได้ลมเย็น อุปมาว่า มีที่พึ่งพาย่อมทำเรื่องได้ง่ายดาย