ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 168 เบาะแส
คนที่ร้อนรนกังวลใจ นอกจากกู้ซี ยังมีเหอเซียงสาวใช้ของนางอีกคน
นางสามารถติดตามมาด้วยได้ ก็เพราะเป็นสาวใช้คนสนิทของกู้ซี กู้ซีคิดหาทางเข้าพักในสกุลเผย ทุ่มเทเต็มกำลังแต่กลับไร้ผลตอบแทน นางย่อมรู้ดียิ่งกว่าใครๆ
เห็นกู้ซีเดินกลับมาด้วยฝีเท้าที่เลื่อนลอย นางก็วิตกไปหมด อดจะเอ่ยเสียงเบาไม่ได้ว่า “คุณหนู เรื่องวันนั้น ข้าไปสืบได้ความชัดเจนแล้วเจ้าค่ะ”
กู้ซีชะงักงันไปทันที
เสียงสนทนาที่ได้ยินเข้าอย่างไม่ตั้งใจระหว่างท่านแม่เฒ่ากับอวี้ถัง น้ำเสียงที่เจือความสนิทสนมนั่นทำให้นางไม่อาจอยู่เป็นสุข และเรื่องที่คุยกันระหว่างนั้นก็ทำให้นางเกิดความระแวดระวัง นางส่งเหอเซียงไปตามสืบ แต่เหอเซียงก็ยังไม่ให้คำตอบนางเสียที
“เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่? เจ้ารีบเล่ามาเร็วเข้า!” กู้ซีหยุดฝีเท้าลงที่เบื้องหน้าเหอเซียง
เหอเซียงลังเลอยู่ครู่หนึ่ง คิดว่าหากกู้ซีรู้เรื่องต้องเดือดดาลเป็นแน่ แต่ถ้าไม่บอกกู้ซี อาจทำให้กู้ซีตัดสินใจผิดพลาด จนนำไปสู่ผลที่ร้ายแรงกว่าเก่า นางกดเสียงให้เบาลงแล้วเอ่ยว่า “เป็นนายท่านสามเจ้าค่ะ เห็นว่าเสื้อคลุมของคุณหนูอวี้บางมาก จึงส่งคนลงเขาไปนำเสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวมาให้คุณหนูอวี้โดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
คำพูดของนางยังไม่ทันจบ สีหน้าของกู้ซีก็เปลี่ยนทันที นางร้องเสียงตกใจว่า “เจ้าว่าอะไรนะ?”
เหอเซียงเม้มริมฝีปากอย่างอึดอัด เอ่ยเสียงแผ่วต่อว่า “นายท่านสามสั่งให้คนมอบให้คุณหนูอวี้โดยตรงเจ้าค่ะ ไม่รู้เพราะเหตุใด พอท่านแม่เฒ่าทราบเรื่อง ท่านแม่เฒ่าก็บอกว่านายท่านสามแต่ก่อนไม่รู้จารีตธรรมเนียม เห็นคุณหนูอวี้เป็นเหมือนคนในครอบครัว ถึงได้ผิดมารยาทเช่นนี้”
กู้ซีฟังแล้วเหมือนถูกมีดปักลงที่กลางอก
อะไรที่เรียกว่าคนในครอบครัว?
อะไรที่เรียกว่าผิดมารยาท?
จิ้นซื่อสองป้ายที่ยากเย็นเผยเยี่ยนยังสอบผ่านมาได้ หากว่าสนใจสักนิด จะไม่เข้าใจจารีตธรรมเนียมได้อย่างไร?
เห็นชัดๆ ว่าเผยเยี่ยนปฏิบัติต่ออวี้ถังต่างออกไปจากคนอื่น
ท่านแม่เฒ่าก็อีกคน หมายความว่าอย่างไรแน่? ทำวางท่าเรียบเฉยราวอุดหูขโมยกระดิ่ง[1] ยิ่งมองคุณหนูอวี้ก็ยิ่งถูกใจ คิดจะให้นางเป็นคนในห้องหอของบุตรชายอย่างนั้นรึ?
กลางอกของกู้ซีมีความไม่ยินยอมสาดซัดระลอกแล้วระลอกเล่า
คุณหนูอวี้ก็ทำเป็นหูหนวกตาบอด อาศัยสิ่งใดมาอยู่เหนือนางโดยไม่ได้ส่งเสียงสักคำ?
กู้ซียังครุ่นคิดอยู่ว่าจำเป็นต้องผูกสัมพันธ์กับนายหญิงใหญ่ไว้หรือไม่ เวลานี้ในใจกลับมีเพลิงโทสะคุกรุ่น มันไม่เพียงดึงสตินางให้ตื่นขึ้น ซ้ำยังกดทับจนแทบหายใจไม่ออก
อวี้ถังอยากแต่งให้เผยเยี่ยน เช่นนั้นต้องดูก่อนว่านางเห็นด้วยหรือไม่!
กู้ซีคิดถึงตรงนี้ ไม่เพียงความกล้าที่เพิ่มเป็นเท่าตัว แต่เป็นความกล้าที่ไม่แยแสต่อสิ่งใดอีกแล้ว
นางหัวเราะเอ่ยว่า “พวกเราไปชมดอกกล้วยไม้ที่หออุ่นดีหรือไม่? ข้าได้ยินผู้อาวุโสพูดถึงนานแล้ว บอกว่านายหญิงใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงดอกกล้วยไม้ ชื่นชอบมาตั้งแต่เล็กๆ เรื่องเลี้ยงกล้วยไม้นี้ ไม่เพียงแต่ในเมืองหลวงเท่านั้น ที่เมืองกว่างโจวก็มีคนที่ชื่นชอบอยู่ไม่น้อย เคยมีคนทุ่มสุดตัวลงเงินก้อนใหญ่คิดซื้อดอกกล้วยไม้ที่นายหญิงใหญ่เลี้ยงไว้ พวกเราในเมื่อมาแล้ว เหตุใดไม่ไปดูสักหน่อยเล่า หากคนอื่นถามขึ้นมา พวกเราจะตอบอะไรไม่ได้สักอย่าง”
เวลาปกติคงใช้เหตุผลนี้ได้ แต่บัดนี้มิใช่อยู่ในสถานการณ์พิเศษหรือ?
เหอเซียงกล่อมว่า “ท่านจำเป็นต้องทำเช่นนี้หรือเจ้าคะ? คุณชายใหญ่ก็บอกแล้ว ที่ท่านมาก็เพื่อให้นายแม่เฒ่าเห็นหน้าค่าตาเอาไว้ เรื่องอื่นๆ คุณชายใหญ่จะจัดการเอง ส่วนคุณหนูรอฟังข่าวอยู่ที่เรือนก็พอแล้วเจ้าค่ะ”
อย่างไรเสียการรุกมากเกินงาม ไม่เพียงทำให้คนรู้สึกว่าฉาบฉวย อาจทำให้ภาพลักษณ์ถูกลดทอนลงได้
กู้ซีเป็นคนมีความคิดเป็นของตนเอง มิใช่จะเปลี่ยนใจเพียงเพราะคำพูดของสาวใช้คนสนิทไม่กี่คำ
นางเออออตอบกลับอย่างใจลอย ในหัวกำลังคิดว่าจะหาข้ออ้างอะไรเพื่อใช้ไปหออุ่นบ่อยๆ เช่นนี้จึงจะเจอนายหญิงใหญ่ได้ด้วย
และโอกาสนั้นก็มาถึงอย่างรวดเร็ว
พอส่งจางเซ่ากลับไปแล้ว ท่านแม่เฒ่าก็พักอยู่ที่เรือนตนเองตลอดหลายวัน อวี้ถัง กู้ซีและเหล่าคุณหนูสกุลเผยไม่ต้องไปคารวะท่านแม่เฒ่าที่เรือนแล้ว ให้จัดการเรื่องของตนเองได้ตามใจ คุณหนูรองกับกู้ซีมักชอบคุยภาษาใจด้วยกัน คุณหนูสามมักจะไปฝึกคัดอักษรกับคุณหนูสี่ ส่วนคุณหนูห้ากลับชอบมาเล่นที่เรือนอวี้ถังไม่เว้นแต่ละวันเพื่อมาเรียนทำดอกไม้ผ้า อีกทั้งคุณหนูห้าเองก็มีพรสวรรค์ทางด้านนี้ ตอนแรกไม่เพียงทำออกมาได้เข้าท่าเข้าที นางยังกล้าจับคู่สี ไม่เหมือนอวี้ถังที่พยายามทำให้เหมือนดอกไม้จริงที่สุด แต่เป็นดอกไม้ผ้าที่มีทุกสีสันตัดกันฉูดฉาด มีครั้งหนึ่งยังเคยทำดอกโบตั๋นที่ครึ่งหนึ่งเป็นสีแดงและครึ่งหนึ่งเป็นสีชมพูออกมาด้วย
อวี้ถังอ้าปากค้าง แต่ไม่อาจไม่ยอมรับได้ว่า ดอกไม้ผ้าแบบนี้มองแล้วช่างงดงามแปลกตาเสียจริง
คุณหนูห้ามอบมันให้ท่านแม่เฒ่าด้วยความภาคภูมิใจ
ท่านแม่เฒ่าเอ่ยชมคุณหนูห้าไปรอบหนึ่ง แล้วมอบขนมเล็กน้อยตอบแทน แต่กลับไม่ได้รั้งตัวนางไว้พูดคุยด้วย
อวี้ถังรู้สึกว่าต้องเกิดเรื่องแล้วแน่ๆ
ทว่าวันๆ นางใช้ชีวิตอยู่แต่ในเรือน จึงไม่มีทางรู้เลยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
ผู้คนมักระแวงในสิ่งที่ตนไม่รู้มากที่สุด นางอดจะร้อนใจไม่ได้ ถึงลองถามความเคลื่อนไหวของเผยเยี่ยนดู
คุณหนูห้าไม่รู้ข้อมูล ทั้งไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องถามถึงสิ่งเหล่านี้ แต่เป็นจี้ต้าเหนียงที่มากระซิบบอกนางว่า “นายท่านสามซ่อนตัวอยู่ในภูเขาเจ้าค่ะ ไม่ยอมพบใครทั้งนั้น ท่านแม่เฒ่าถึงขั้นยกเลิกการมาคารวะทุกวันแล้ว ข้าได้ยินญาติๆ พูดกัน ด้านนอกต่างลือกันว่านายท่านสามเก็บตัวอยู่ในเรือนเพื่อรักษาอาการป่วยเจ้าค่ะ”
ญาติๆ ของจี้ต้าเหนียงก็คือเถ้าแก่ใหญ่ถงนั่นเอง
อวี้ถังปล่อยลมหายใจยาวเหยียด
ขอเพียงเผยเยี่ยนทางนั้นไร้ความเคลื่อนไหว วันข้างหน้าก็ยังสามารถดำเนินไปอย่างสงบสุขได้
ในเวลานั้นเอง ไม่รู้เหตุใดนายหญิงเสิ่นถึงมีอาการไอไม่หยุด จึงต้องไปเชิญหมอมาตรวจ พบว่าเพราะอยู่ในห้องที่ดึงความร้อนจากพื้นไฟเป็นเวลานาน จึงทให้ร่างกายขาดน้ำ
กู้ซีลอบยินดี เสนอว่าให้ซื้อส้มจี๊ดมาสักหลายต้น ทั้งบอกว่า “ส้มจี๊ดมีสรรพคุณแก้ไอ เพราะอากาศยังเย็นขึ้นเรื่อยๆ แม้การที่ให้คนออกไปยืดเส้นยืดสายนอกห้องบ่อยๆ จะลดอาการไอได้ แต่อากาศเดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อน คงถูกความเย็นเล่นง่ายได้ง่ายกว่าเก่า มิสู้ต้มส้มจี๊ดดื่มเป็นประจำ ทั้งแก้ไอและบำรุงปอดได้อีกด้วย”
ช่วงฤดูหนาวท่านแม่เฒ่าก็อยู่แต่ในห้องที่ดึงไอความร้อนจากพื้นไฟจนเคยชิน ในบรรดาคุณหนูทั้งหลาย มีเพียงคุณหนูห้าที่ติดตามนายหญิงรองไปอยู่กับสามีซึ่งประจำการด้านนอก ตอนหน้าหนาวมีเพียงกระถางไฟเคียงกาย ช่วงฤดูใบไม้ผลิปีนี้ถึงได้เริ่มมีอาการไอ ทว่าตอนนั้นพื้นไฟด้านล่างเริ่มมอดแล้ว อาการไอของนางจึงดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ครั้งนี้แม้ทุกคนจะรู้สถานการณ์อยู่ก่อน ทั้งยังใส่ใจเรื่องนี้เป็นพิเศษ แต่เพราะกลัวว่านางจะหนาว จึงคอยสังเกตอยู่เสมอ โชคดีที่จนถึงตอนนี้คุณหนูห้าก็ยังไม่มีอาการไอให้เห็น
ท่านแม่เฒ่ารู้สึกสงสารคุณหนูห้า จึงรีบพยักหน้าตกลงทันที ทั้งยังให้จี้ต้าเหนียงส่งคนลงเขาไปย้ายต้นส้มจี๊ดสักหลายต้นจากสวนดอกไม้หลังจวนสกุลเผยมาปลูกไว้ที่ข้างหออุ่น
กู้ซีมักจะไปเด็ดส้มจี๊ดอยู่เป็นประจำ
จี้ต้าเหนียงเจอกู้ซีที่สองแก้มแดงเรื่อ รีบเอ่ยบอกว่า “หากว่าท่านต้องการก็สั่งสาวใช้มาเก็บได้เลยเจ้าค่ะ จะลำบากให้ท่านมาเก็บด้วยตนเองได้อย่างไร”
กู้ซีหัวเราะพลางเช็ดมือไปด้วย “อย่างไรนายหญิงเสิ่นก็เป็นผู้อาวุโสของข้า ข้ากตัญญูต่อนางนับเป็นเรื่องสมควร อีกอย่างข้าก็ไม่ค่อยคุ้นกับห้องที่ดึงความร้อนจากพื้นไฟเท่าไร มันร้อนเกินไปน่ะ”
จี้ต้าเหนียงรู้สึกนับถือกู้ซีมากที่สามารถเข้ากันได้ดีกับนายหญิงเสิ่น ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยยิ้มๆ “ท่านช่างมีน้ำใจ ข้าให้คนลดถ่านที่เผาไฟใต้พื้นของห้องท่านสักหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่ๆ” กู้ซีปฏิเสธรัวเร็ว “ในห้องเย็นเกินไป นายหญิงเสิ่นหนาวจนแทบจะทนไม่ไหวแล้ว”
จี้ต้าเหนียงไม่พูดอะไรต่ออีก พอตกค่ำ ก็ส่งยาน้ำแก้ไอไปให้นางแทน
กู้ซีส่งมันต่อให้นายหญิงเสิ่นด้วยรอยยิ้ม
นายหญิงเสิ่นอุดอู้อยู่ในห้องคนเดียว เหม่อมองคานบนเพดานไม่รู้กำลังคิดอะไรอยู่
กู้ซีไม่ได้รบกวนนาง พอส่งของเสร็จก็กลับออกไป
วันต่อมา ตอนที่นางไปเด็ดส้มจี๊ดอีกครั้ง ก็เจอกับนายหญิงใหญ่ตามที่คาดหวังไว้
นายหญิงใหญ่ดูอ่อนแอลงอีกนับจากครั้งก่อนที่เจอกัน ทั้งส่งยิ้มเกรงใจให้นางเป็นการทักทาย
กู้ซีสนทนากับนางไม่กี่ประโยค เอ่ยชมดอกกล้วยไม้ที่นางเลี้ยงเอาไว้เสร็จแล้วจึงแยกย้ายกันไป
ท่านแม่เฒ่าทางนั้นรู้ข่าวในทันที สีหน้าเคร่งขรึมขึ้นหลายส่วน
นี่ไม่เหมือนกับนายหญิงเสิ่น นายหญิงใหญ่ต้องรักษาหน้า หากได้เจอนายหญิงเสิ่นก็ไม่แน่ว่าจะพูดอะไร แต่กู้ซีมีพี่ชายเป็นลูกศิษย์ของซุนเกาทั้งรับตำแหน่งเจ้ากรมอยู่ที่สำนักตรวจการ นายหญิงใหญ่มีแต่จะเกิดความคิดฟุ้งซ่านขึ้นมาอีก
นางถามว่า “ใครเป็นคนย้ายต้น ส้มจี๊ดไปอยู่แถวห้องอุ่นทางนั้น?”
เฉินต้าเหนียงตอบอย่างเกรงๆ “ข้าเองเจ้าค่ะ! ข้าเห็นว่าตรงนั้นพอมีที่ว่าง จึงให้นำไปวางแถวนั้น จะให้ข้าย้ายไปอยู่ที่อื่น…”
“ไม่ต้องหรอก!” ท่านแม่เฒ่าตอบอย่างเหนื่อยล้า “มีแต่เป็นโจรพันวัน ไม่มีทางป้องกันโจรได้พันวัน[2]หรอก ฝนจะร่วงหล่นจากฟ้า หญิงสาวจะแต่งงานออกเรือน ปล่อยให้นางทำไปเถอะ”
เฉินต้าเหนียงไม่กล้าพูดอะไรอีก แต่ก็แอบเตือนกู้ซีไปครั้งหนึ่ง
กู้ซีบรรลุเป้าหมายแล้ว นางเม้มปากหัวเราะ จากนั้นก็ไปพบท่านแม่เฒ่า กล่าวขออภัยต่อนาง
ท่านแม่เฒ่าหัวเราะเหอะๆ เอ่ยว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าหรอก? เพียงแต่เมื่อก่อนนายหญิงใหญ่ไม่ชอบความครึกครื้น คนในเรือนจึงไม่ค่อยไปป้วนเปี้ยนแถวนั้น ในเมื่อพวกเจ้าคุยกันถูกคอ เจ้าก็สนทนาเป็นเพื่อนนางก็แล้วกัน”
กู้ซีรับคำ แต่นับจากนั้นก็ไม่เคยย่างเท้าไปที่หออุ่นอีก
ท่านแม่เฒ่าลอบพยักหน้ากับตัวเอง พูดกับนายหญิงรองว่า “นับว่ารู้ความอยู่บ้าง”
นายหญิงรองหัวเราะเอ่ยคล้อยตามท่านแม่เฒ่าว่า “ปัญหาในสกุลนางก็ยุ่งเหยิงพอดู คิดว่าคงเจอเรื่องพวกนี้มาแต่เล็ก”
ท่านแม่เฒ่าถอนหายใจ จากนั้นก็ไม่พูดอะไรต่อ
ไม่รู้ว่าคำพูดนี้ไปถึงหูของกู้ซีได้อย่างไร หัวคิ้วนางมีประกายขำขันอยู่หลายส่วน
เหอเซียงถามอย่างฉงนว่า “แค่นี้ก็สิ้นเรื่องหรือเจ้าคะ?”
“เช่นนี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว” กู้ซีตอบ “ตอนนี้สกุลเผยขาดนายหญิงใหญ่ของผู้นำสกุล เป็นภรรยาที่ว่าง่ายและสามารถจัดการดูแลเรื่องในจวนได้ ข้าทิ้งภาพจำเช่นนั้นไว้ให้ท่านแม่เฒ่าก็พอ ต่อจากนี้ก็เป็นหน้าที่ของท่านพี่แล้ว”
หลังจากหิมะตกติดต่อกันหลายวัน ท้องฟ้าก็ปลอดโปร่ง ทำให้ผู้คนอารมณ์สดใสตามไปด้วย
คุณหนูทั้งหลายของสกุลเผยต่างนั่งไม่ติด พากันยกโขยงไปชมหิมะและบุปผาที่ป่าดอกเหมย
ครั้งนี้ไม่ได้ต่อกลอน แต่ใช้น้ำชาแทนสุรา นั่งขัดสมาธิดื่มสุรารอบวงกันในศาลาเหมันต์
อวี้ถังคิดถึงเรื่องเข้าใจผิดครั้งก่อน ครั้งนี้จึงได้สวมเสื้อคลุมที่เผยเยี่ยนมอบให้ออกมาด้วย
ท่านแม่เฒ่าแม้ไม่พูดอะไร แต่คิดว่าอวี้ถังใส่แล้วช่างงดงามยิ่งนัก สายตาที่มองอวี้ถังจึงเจือความถูกใจขึ้นหลายส่วน
กู้ซีได้แต่แค่นยิ้มในใจ
คฤหาสน์นอกเมืองมีแขกหน้าใหม่มาเยือนอีกครั้ง
เป็นภรรยาของท่านผู้เฒ่าสกุลอี้ ท่านย่าของคุณหนูรองกับคุณหนูสาม
คุณหนูรองหลบอยู่ในห้องไม่ยอมเจอหน้าคน
คุณหนูสี่กับคุณหนูห้างึมงำอยู่ข้างกายอวี้ถังว่า “คนที่มาดูตัวใกล้จะขึ้นเขามาแล้วใช่หรือไม่?”
“ทำไมไม่ไปดูตัวที่วัดล่ะ? ในละครล้วนแสดงแบบนี้นี่นา?”
“อากาศหนาวขนาดนี้ หากไปวัดแล้วถูกไอเย็นขึ้นมาจะทำอย่างไร?”
“เช่นนั้นก็รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้วค่อยไปดูตัวสิ! พี่รองสวยขนาดนั้น จะแต่งกับใครก็ได้!”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอีกแล้วนะ” คุณหนูสี่เอ่ย “ต่อให้พี่สี่อยากจะแต่ง แต่ก็ต้องให้ผู้อื่นได้เห็นนางก่อน ข้าได้ยินท่านย่าพูดว่า คุณชายสกุลนั้นปีหน้าต้องไปร่วมการสอบครั้งใหญ่ที่เมืองหลวง ไม่รอให้ข้ามปีก็จะเดินทางไปเมืองหลวงแล้ว เช่นนั้นก็ต้องตกลงเรื่องงานแต่งให้เสร็จสรรพเสียตอนนี้”
คุณหนูหน้าเบะปากไม่เห็นด้วย “ถ้าสกุลนั้นคิดจะสู่ขอพี่รองจริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ตั้งนานมัวไปทำอะไรอยู่เล่า?”
“เหตุใดเจ้าต้องคอยขัดข้าอยู่เรื่อย?” คุณหนูสี่เริ่มไม่สบอารมณ์ “เมื่อก่อนผู้อื่นติดตามบิดาไปรับตำแหน่งที่อื่น เพิ่งจะกลับบ้านเก่ามานี่แหละ หากมิใช่เพราะงานหมั้นหมายกับพี่รอง ก็คงตรงไปที่เมืองหลวงทันทีแล้ว”
กลับบ้านเก่า? เช่นนั้นก็เป็นคุณชายบ้านใกล้เรือนเคียงแถวนี้?
ไม่รู้ว่าคู่หมายของคุณหนูรองเป็นใครกันแน่?
อวี้ถังนึกอยากรู้เสียเหลือเกิน
————————————————————-
[1]อุดหูขโมยกระดิ่ง สำนวนจีนบอกเจตนาประชดว่า คนที่คิดว่าคนอื่นน่าจะโง่ แต่ตัวเองกลับโง่เสียเอง
[2]มีแต่เป็นโจรพันวัน ไม่มีทางป้องกันโจรได้พันวัน หมายถึง เป็นเรื่องยากที่จะป้องกันได้ในระยะยาว กำลังของคนมีจำกัด โดยเฉพาะเมื่อต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ ก็จะยิ่งสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงมาก และอาจมีช่วงที่เผลอเรอเกิดขึ้น