ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 169 เดือดดาล
ชาติก่อน เหตุเพราะสกุลหลี่ อวี้ถังจึงเคยได้ยินชื่อสกุลใหญ่รอบๆ เมืองหลินอันมาบ้าง ด้วยเหตุนี้ เมื่อท่านแม่เฒ่าสกุลอวี้กับท่านแม่เฒ่าสกุลเผยคุยกันเรื่องงานมงคลของคุณหนูรอง นางที่อยู่ด้านข้างจึงตั้งหูรอฟังไปด้วย
“เป็นหลานชายของญาติผู้พี่ข้าเอง แต่เด็กกำพร้าแม่ โตมาในครอบครัวของญาติผู้พี่ข้านั่นแหละ เล่าเรียนหนังสือมาพร้อมหลานข้า ต่อมาพอโตขึ้นหน่อย ถึงได้ติดตามบิดาไปรับราชการด้วย จนถึงตอนนี้ คนคอยรับใช้ข้างกายก็ยังเป็นคนของญาติผู้พี่ข้า นิสัยใจคอและคุณธรรมล้วนเชื่อถือได้ทั้งสิ้น อายุก็เหมาะสม ต้องรอดูว่าพวกเขาสองคนจะมีวาสนาต่อกันหรือไม่แล้ว” ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้เอ่ย
นางกับท่านแม่เฒ่าอายุไล่เลี่ยกัน แต่นางไม่เหมือนกับท่านแม่เฒ่าสกุลเผยที่ดูแลตัวเองจนคล้ายเป็นพี่สาวของนายหญิงรองเสียมากกว่า ผมของนางเริ่มขาว มีผ้าคาดผมปิดเอาไว้ หางตาและหน้าผากเริ่มมีริ้วรอย แต่ดวงตาสองข้างเจือรอยยิ้ม ดูแล้วมีเมตตานัก
เห็นได้ชัดว่า ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยกับนางมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยอย่างไม่อ้อมค้อมว่า “เช่นนั้นทางครอบครัวเขาเป็นอย่างไร? ต่อให้เด็กจะดีแค่ไหน แต่ถ้ามีมารดาเลี้ยงเพิ่มขึ้นมา ก็คงวุ่นวายไม่เบา”
ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้หัวเราะเบาๆ “มารดาเลี้ยงของเขาก็มิใช่คนอื่นคนไกล เป็นหญิงจากสกุลเฉียนของพวกเจ้านั่นแหละ แม้จะไม่ได้มาจากสกุลสายตรง แต่การอบรมสั่งสอนมิได้แย่ ข้าบอกไปแล้วไม่แน่เจ้าอาจจะรู้จักก็เป็นได้”
สกุลเฉียนเป็นสกุลใหญ่ ท่านแม่เฒ่าเคยเป็นนายหญิงของผู้นำสกุลมาก่อนก็จริง แต่หญิงสาวที่มาจากสกุลสายรองใช่ว่าจะรู้จักหมดทุกคน
“เป็นหญิงสาวจากบ้านใดเล่า? ชื่อเสียงเรียงนามว่าอย่างไร?” ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยถามอย่างสนใจใคร่รู้
“เป็นบ้านแปดของสกุลเฉียน ชื่อก่อนแต่งเรียกว่าเสี่ยวเอ๋อร์กระมัง” ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้รู้ก่อนแล้วว่านางต้องเป็นเช่นนี้ จึงหัวเราะเอ่ยว่า “นางบอกว่ารู้จักเจ้า ครั้งนี้ที่เด็กคนนั้นมา นางก็จะมาเป็นเพื่อนด้วย อยากจะมาทักทายเจ้าสักหน่อย ก็คงอยากรู้จักมักคุ้นกับสกุลเผยเอาไว้”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยนึกแล้วนึกอีก แต่ก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าสกุลฝั่งมารดามีหญิงสาวคนนี้อยู่ด้วย
นางเอ่ยอย่างลุแก่โทษว่า “เดี๋ยวข้าจะส่งคนไปถามกับสกุลมารดาดู ถึงเวลานั้นเมื่อพบหน้าเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าไม่รู้อะไรสักอย่าง”
นี่ก็หมายถึงการตอบตกลงแล้ว
ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้พยักหน้า “บิดาของเด็กคนนั้นก็มิใช่คนเลอะเลือน ตอนที่หาแม่สื่อมาให้บุตรชายก็บอกเอาไว้แล้ว นอกจากสินเดิมของมารดาแท้ๆ เขาเป็นบุตรชายคนโตของบ้านใหญ่ สิ่งใดสมควรเป็นของเขาจะไม่มีทางตกหล่นไปสักชิ้น คิดอยากจะเจอคุณหนูรองของพวกเรา ก็เพราะหวังว่าหากแต่งเข้าไปแล้วคุณหนูรองจะจัดการธุระต่างๆ ในเรือนได้ ให้ข้างกายเด็กคนนั้นมีคนดูแลเอาใจใส่เสียที แต่ข้าคิดว่า คงเพราะอยากให้เด็กคนนั้นกลับมาเล่าเรียนที่บ้านเกิดน่ะสิ”
มีคนจำนวนมากที่สอบเคอจวี่ไม่ผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นไปไม่ได้ที่คนจะอยู่เตรียมสอบที่เมืองหลวงตลอดไป คาดว่าคนของสกุลนั้นคงวางแผนให้บุตรชายแต่งกับคุณหนูรอง จากนั้นก็ให้กลับมาศึกษาวิชาและดูแลสกุลที่บ้านเก่า ส่วนตนก็คงรับราชการและใช้ชีวิตกับภรรยาใหม่ที่เมืองหลวง
เช่นนี้ก็นับว่าไม่เลว
ไม่จำเป็นต้องวางตัวมีระเบียบต่อหน้ามารดาเลี้ยงของสามีให้มากเรื่อง
อวี้ถังกำลังใช้ความคิด คุณหนูห้าที่ทำดอกไม้ผ้าอยู่ด้านหลังประตูบานพับก็ค่อยๆ ย่องเข้ามา แล้วกระซิบบอกอวี้ถังว่า “พี่อวี้ พวกเราไม่ต้องบอกพี่สี่นะ”
คุณหนูสี่อยากจะรู้หนักหนาว่าคู่หมายของคุณหนูรองเป็นใคร
อวี้ถังเม้มปากหัวเราะ แล้วพยักหน้าหงึกหงัก
นางได้ยินจากท่านแม่เฒ่าสกุลอี้อีกว่าชายคนนั้นชื่อว่า ‘หยางเหยียน’ นางพยายามใคร่ครวญว่า ‘หยางเหยียน’ ผู้นี้ใช่ ‘หยางเหยียน’ ที่นางรู้จักเมื่อชาติก่อนหรือไม่
หยางเหยียนที่นางรู้จักเมื่อชาติก่อน เป็นคนเมืองถงหลู สกุลเขามีไร่ชาผืนหนึ่ง ผลิตใบชาที่ชื่อว่า ‘เสวี่ยสุ่ยอวิ๋นลวี่’ รูปร่างของใบชาคล้ายดาบสีเงิน สีน้ำชาออกเขียวอ่อน พอเข้าปากจะมีรสหวาน เป็นที่ชื่นชอบของคนสกุลหลินมาก ทุกปีจะต้องส่งคนไปซื้อใบชาจากสกุลหยางอยู่เสมอ
ก่อนนางจะตาย ใบชาของสกุลหยางได้กลายเป็นของบรรณาการแล้ว
และคนที่ผลักดันเรื่องนี้จนสำเร็จ ก็คือหยางเหยียน
อวี้ถังมีความทรงจำต่อเรื่องนี้แม่นยำมาก
เห็นได้ชัดว่าหยางเหยียนผู้นี้เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง
หากที่พูดถึงคือหยางเหยียนคนนี้ อวี้ถังก็รู้สึกว่าไม่เลวเลย
รอจนท่านแม่เฒ่าสกุลเผยส่งท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ไปพักผ่อนแล้ว นางก็ถามจี้ต้าเหนียงที่คอยดูแลเรื่องน้ำชาอยู่ในห้องด้วยตนเองว่า “สกุลของคุณชายหยางใช่ที่ปลูกใบชาหรือไม่?”
จี้ต้าเหนียงร้อง “ไอหยา” เสียงหนึ่ง “คุณหนูอวี้รู้จักสกุลนี้ด้วยหรือเจ้าคะ?”
อวี้ถังรีบตอบว่า “ข้าเพียงเคยได้ยินว่าใบชาสกุลเขาเป็นของดี”
จี้ต้าเหนียงไม่ได้คิดมาก นางหัวเราะแล้วบอกว่า “เป็นสกุลนั้นแหละเจ้าค่ะ ใบชาที่พวกเขาผลิตออกมาหอมหวานชื่นใจ ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้มาครานี้ ก็นำใบชาของพวกเขามาด้วยไม่น้อย อีกเดี๋ยวข้าจะให้ห้องน้ำชาแบ่งไปที่ห้องท่านสักหน่อย ท่านก็ลองชิมดูนะเจ้าคะ”
คุณหนูห้าที่อยู่ข้างๆ ถามว่า “งานแต่งของพี่รองยังไม่ได้ตอบตกลงเลย พวกเราก็ดื่มชาของพวกเขาเสียแล้ว จะเหมาะสมหรือไม่?”
คนรอบกายท่านแม่เฒ่าต่างเอ็นดูนิสัยเด็กๆ และเก็บเนื้อเก็บตัวของคุณหนูห้ามาก คล้ายกลัวว่านางจะตกใจ ทุกครั้งที่นางเอ่ยถามก็มักจะตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลแผ่วเบา ไม่เคยมียกเว้นเลยสักครั้ง
จี้ต้าเหนียงตอบว่า “ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้เป็นคนนำมา เช่นนั้นพวกเราจดจำว่าท่านแม่เฒ่าสกุลอี้เป็นคนดีก็พอแล้วเจ้าค่ะ หากว่าสกุลหยางส่งมาให้ แน่นอนว่าพวกเราไม่อาจรับไว้อยู่แล้ว”
คุณหนูห้าพยักหน้า แล้วถามคำกับอวี้ถังว่า “คนผู้นั้นใช้นามสกุล ‘หยาง’ เหมือนกับสกุลฝั่งมารดาของป้าสะใภ้ข้าเลย!”
อวี้ถังชะงักกึก ยังไม่ทันเข้าใจว่าคุณหนูห้าหมายความว่าอย่างไร นางก็เปลี่ยนไปพูดเรื่องอื่นเสียแล้ว “พี่อวี้ นอกจากใบชา ท่านยังรู้เรื่องอื่นๆ ของสกุลหยางอีกบ้างหรือไม่?”
“ข้าไม่รู้แล้ว” อวี้ถังเอ่ยเชิงขออภัย “ข้าก็แค่ได้ยินเรื่องใบชาของสกุลนั้นเป็นครั้งคราว ถึงได้รู้จักสกุลหยาง ส่วนรายละเอียดอื่นๆ เกรงว่าต้องไปถามท่านแม่เฒ่าสกุลอี้แล้ว”
“ท่านแม่ข้าต้องรู้เรื่องแน่ๆ” ดวงตาของคุณหนูห้ากลิ้งหลุกหลิกไปมา กระซิบเสียงค่อยว่า “พี่อวี้ พวกเราไปถามท่านแม่ข้ากันเถอะ”
หากจะพูดว่านางเป็นห่วงงานแต่งของคุณหนูรอง มิสู้บอกว่านางอยากรู้จักความเป็นมาของฝ่ายชายเสียมากกว่า จะได้เอาไว้อวดเบ่งต่อหน้าคุณหนูสี่ ให้คุณหนูสี่ได้ร้อนใจเล่น
อวี้ถังยิ้มหวาน ไม่ยอมทำเรื่องเหลวไหลเป็นเพื่อนนาง เอ่ยว่า “หากว่างานหมั้นหมายตกลงกันจบแล้ว ถ้าเจ้าอยากสืบ ข้าย่อมไปเป็นเพื่อนเจ้าแน่ แต่แปดอักษรวันตกฟากของคนทั้งคู่ยังไม่ทันได้เปิดดูเลย ถ้าพวกเราถามซอกแซกมากไป แล้วสุดท้ายไม่ได้แต่งขึ้นมา คุณหนูรองอาจต้องอับอายกว่าเก่า!”
คุณหนูห้าลองไตร่ตรองดู จากนั้นก็ไม่ดึงดันจะซักไซ้เรื่องนี้ต่อ
แม้พวกนางจะไม่ได้ตามถาม แต่กู้ซีกลับสืบจนกระจ่างแจ่มแจ้ง
มื้อเย็น ท่านแม่เฒ่าจัดงานเลี้ยงให้แขกผู้มาเยือนจากแดนไกล หลังจากที่ทุกคนกินอาหารเสร็จ ก็ย้ายไปดื่มชาที่โถงรองฝั่งตะวันออก ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้กับท่านแม่เฒ่าสกุลเผยมีนายหญิงรองเป็นคนดูแล สนทนาเสียงเบาอยู่กับนายหญิงเสิ่น เด็กๆ รุ่นหลานก็ล้อมวงคุยกันเองอยู่เงียบๆ
ไม่รู้ว่านายแม่เฒ่าทางนั้นคุยอะไรกัน ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้จึงเรียกคุณหนูรองเข้าไป คุณหนูสี่พลันกระโดดลุกขึ้นทันที หันไปถามคุณหนูห้าอย่างตื่นเต้นดีใจว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพี่รองจะแต่งกับใคร? เป็นสกุลหยางแห่งถงหลู บุตรชายคนโตสายตรงของสกุล”
คุณหนูห้าพลาดโอกาส สีหน้าจึงหม่นแสงลงทันที ดวงหน้าน้อยขึ้นสีแดงเรื่อ ดวงตามองมาทางอวี้ถังอย่างเจ็บช้ำน้ำใจ คล้ายกำลังพูดกับนางว่า ‘เป็นท่านที่ไม่ยอมให้ข้าไปตามสืบ คราวนี้เป็นอย่างไรล่ะ ตอนนี้พี่สี่ยังรู้เรื่องมากกว่าข้าอีก’
อวี้ถังกุมขมับ กำลังคิดว่าจะปลอบใจคุณหนูห้าอย่างไร เสียงพูดคุยของผู้อาวุโสทางนั้นพลันเงียบลง คุณหนูคนอื่นก็ฉงน ต่างหยุดพูดคุยตามไปด้วย แล้วหันไปมองท่านแม่เฒ่าทางนั้น
เห็นเพียงท่าทางเรียบเฉยของท่านแม่เฒ่าซึ่งค่อยๆ ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม “เดือนเก้าปีหน้าก็ออกจากไว้ทุกข์แล้ว ไหนจะเรื่องงานแต่งของสยากวงอีก นั่นก็ต้องคิดให้รอบคอบเช่นกัน ทว่า เจ้าก็รู้เรื่องของสกุลเราดีอยู่แล้ว นับแต่รุ่นท่านผู้เฒ่ามาเรื่องงานแต่งก็ไม่ค่อยให้บิดามารดาเป็นผู้กำหนดเสร็จสรรพ อย่างไรก็ต้องไปเห็นหน้าค่าตากันสักครั้ง แล้วค่อยดูว่ามีวาสนาต่อกันหรือไม่ ไม่อย่างนั้นในเรือนมีคู่นกยวนยางคู่หนึ่ง แต่ต้องทะเลาะกันทุกวี่วัน ก่อปัญหาจนคนไม่อาจอยู่เป็นสุขได้ ดังนั้น เรื่องงานแต่งของสยากวง ข้าคิดว่าจะให้เขาเลือกเอาเอง หากว่าเขาพอใจแล้ว ข้าก็ไม่มีอะไรให้คัดค้านหรอก”
นี่กำลังคุยเรื่องงานแต่งของเผยเยี่ยน!
พวกเด็กๆ พอได้ยิน จึงไม่กล้าส่งเสียงสักคำ สายตาหลายคู่ต่างจดจ้องไปทางพวกท่านแม่เฒ่า
ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ยังดีหน่อย นางเพียงหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “แม้จะพูดแบบนั้น แต่จะให้เกินความเหมาะสมมิได้ เขาอยากแต่งกับคนไหนก็ไปขอคนนั้น แต่เจ้าเองก็ต้องคอยถามไถ่จึงจะถูก”
ท่านแม่เฒ่าได้ฟังก็ถอนหายใจ คล้ายจะพูดบางอย่าง แต่ท่านหญิงเสิ่นกลับโพล่งออกมาด้วยเสียงค่อนข้างสูงว่า “แต่โบราณมางานมงคลก็เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องให้บิดามารดาเป็นผู้ตัดสิน ท่านแม่เฒ่าจะปล่อยให้นายท่านสามทำเหลวไหลได้อย่างไร! ข้าได้ยินมาว่าคนสกุลหลีตอนแรกชื่นชอบนายท่านสามเป็นที่สุด ถึงขนาดเสนอให้สองสกุลเกี่ยวดองกัน นายท่านสามกลับวางท่าไม่ร้อนไม่หนาว ทั้งไม่ส่งของหมั้นไปให้เสียที สกุลหลีเห็นว่าบุตรสาวของตนไม่อาจรอช้าไปกว่านี้ได้แล้ว ถึงได้หาตัวคู่หมายคนใหม่ให้บุตรสาว นายท่านสามสกุลเจ้าน่ะ ออกจะเย่อหยิ่งไปหน่อย ต่อให้ไม่ถูกใจคุณหนูสกุลหลี แต่ใต้เท้าหลีก็มองเขาเหมือนลูกหลานคนหนึ่ง ขนาดงานศพของนายท่านใหญ่ ใต้เท้าหลีก็ช่วยเหลืออยู่ไม่น้อย ไม่อย่างนั้นบ้านใหญ่ของสกุลเจ้าจะยังรักษาบรรดาศักดิ์ที่ตกทอดมาไว้ได้อยู่อีกรึ?”
อวี้ถังกับกู้ซีต่างตกตะลึง
คิ้วทรงใบหลิวของท่านแม่เฒ่าแทบตั้งตรง นางฟาดมือลงบนตั่งไม้ เครื่องกระเบื้องหลายชิ้นกระเด้งชนกันเองจนเกิดเสียงเสนาะใส “ถ้าเงียบปากไว้ก็คงไม่มีใครเห็นเจ้าเป็นใบ้หรอก! ดีชั่วข้าก็อาวุโสกว่าเจ้า มีคนพูดจากำเริบเสินสานต่อหน้าผู้ใหญ่เช่นนี้ด้วยรึ? ขอโทษด้วยที่ข้าต้อนรับได้ไม่ดี แต่แขกเช่นตัวเจ้านี้ พวกเราคงดูแลไม่ไหวแล้ว”
จู่ๆ สถานการณ์ก็พลิกผัน แต่ละคนพากันงุนงง
โดยเฉพาะนายหญิงเสิ่นที่ถูกท่านแม่เฒ่าไล่ตะเพิดออกไป นางกระเด้งตัวลุกขึ้น สีหน้าแดงก่ำคล้ายเลือดจะหยดลงมา มุมปากอ้าพะงาบว่า “เจ้าๆ” อยู่พักหนึ่ง แต่กลับไม่มีคำพูดออกมา
ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้เบิกตาโตค้าง กุมมือท่านแม่เฒ่าที่อยู่ข้างกายเอาไว้ คล้ายว่าไม่รู้จะทำอย่างไรต่อดี
ท่านแม่เฒ่ากลับไม่คิดจะดับเพลิงโทสะ นางแสยะยิ้มเอ่ยว่า “ทำไม? หรือว่าข้าพูดผิดตรงไหน? ข้าจะบอกให้เจ้าฟัง ที่นี่คือจวนสกุลเผย มิใช่สกุลเสิ่น สกุลเสิ่นเป็นสกุลบัณฑิตมีวิชา ไม่ถือสากับคนอย่างเจ้า ใดๆ ล้วนยอมถอยให้หมด เจ้ายังคิดว่าตัวเองเก่งกาจนักรึ คิดว่าตัวเองทำอะไรก็ถูกต้องไปหมดรึ วันนี้ข้าไม่ยอมให้เจ้ามาเสียมารยาทที่นี่แน่ ข้าจะอบรมสั่งสอนเจ้าแทนบิดามารดาของเจ้าเอง แล้วจะบอกว่าการเป็นคนต้องทำตัวอย่างไร” จากนั้นก็เค้นถามนางว่า “ใครบอกว่าสยากวงของข้าไม่ชอบคุณหนูสกุลหลี? หญิงออกเรือนที่อาศัยอยู่ชานเมืองอย่างเจ้าได้เห็นกับตาหรือได้ยินมากับหูล่ะ? วันๆ เจ้ามิใช่โอ้อวดว่าตนเป็นคนมีวิชาความรู้รึ? แต่ทำไมเอาแต่โพนทะนาข่าวลือผิดๆ! สยากวงของข้าเป็นคนโดดเด่นเพียงไร พอได้เป็นขุนนางก็ได้รับการชื่นชมจากใต้เท้าจางและใต้เท้าหลี ใต้เท้าจางเป็นอาจารย์ของเขา สยากวงได้รับการดูแลจากเขานับว่าเป็นเรื่องสมควร แต่ใต้เท้าหลีไม่เหมือนกัน สยากวงของข้าได้รับความเอ็นดูจากเขา แล้วเหตุใดจะไปทักทายถามไถ่บ่อยๆ มิได้?”
“ช่างเหมือนกับคำที่ว่าไว้ ‘นานาจิตตัง ต่างจิตต่างใจ’ ในความคิดของคนพรรค์เจ้า คงคิดว่าสยากวงเข้าใกล้ใต้เท้าหลีเพราะมีเจตนาแอบแฝง หากไม่ดึงเข้าเรื่องผลประโยชน์ ไม่ดึงเข้าเรื่องรักใคร่ของหนุ่มสาว ในใจของพวกเจ้าคงไม่อาจเป็นสุขได้ ตนเองคิดชั่วไว้ในใจไม่พอ ยังปากสว่างสร้างเรื่องไปทั่ว ข้าก็คิดอยู่ เหตุใดด้านนอกเอาแต่ลือว่าสกุลหลีถูกใจสยากวงของข้าอยู่นั่น คงเพราะอยากได้สยากวงของข้าไปเป็นบุตรเขยน่ะสิ ที่แท้ก็เป็นพวกปากยื่นปากยาวปากไม่มีหูรูดอย่างพวกเจ้านี่เอง พวกเจ้ากินข้าวอิ่มท้องแล้วว่างมากหรืออย่างไร? ถ้าว่างมากก็หัดไปสนใจเรื่องของบุตรชายลูกสะใภ้กับสามีในเรือนตัวเองโน่น”
“ตั้งสิบกว่าปีแล้ว สามียังไม่เคยกลับมา เจ้าคิดว่าคนข้างนอกชื่นชมเจ้าว่าเป็นภรรยาสุดประเสริฐอย่างนั้นสิ?”
“ไปจัดการเรื่องของตัวเองให้ดีก่อนเถอะแล้วค่อยมาชี้นิ้วสอดเรื่องคนผู้อื่นไปทั่ว!”
นายหญิงเสิ่นถูกท่านแม่เฒ่าด่าทอจนดวงหน้าซีดแล้วซีดอีก พลันใช้แขนเสื้อบังหน้าไว้ แล้ววิ่งออกไปทันที
ท่านแม่เฒ่ายังไม่ยอมจบเรื่อง ตะโกนบอกเฉินต้าเหนียงดังลั่นว่า “เจ้าพาคนตามไปดูนางด้วย หากว่านางจะตาย ก็ให้ไปตายที่สกุลเสิ่น ไปตายที่สกุลหวังโน่น อย่าได้มาสกปรกพื้นเรือนข้าเด็ดขาด!”
สกุลฝั่งมารดาของนายหญิงเสิ่นก็คือสกุลหวังนี่เอง
————————————————————-