ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 172 ล้มป่วย
เมื่อวานหลังจากท่านแม่เฒ่าสกุลหลีให้ของขวัญแก่อวี้ถังและกู้ซีแล้ว ยังไม่ทันพูดคุยกับคนทั้งสองอย่างละเอียดก็ดันมาเกิดเรื่องกับนายหญิงเสิ่นเสียก่อน เพียงจำความรู้สึกได้รางๆ ว่าอวี้ถังอ่อนหวาน กู้ซีสง่างาม วันนี้ได้มองอวี้ถังอีกที เห็นนางยิ้มได้อย่างน่าพิศ ดวงตาเปล่งประกาย ในความอ่อนหวานมีเกลียวคลื่นซ่อนอยู่ นางอดจะมองอีกหลายครั้งอย่างแปลกใจไม่ได้ แล้วหันไปเอ่ยกับท่านแม่เฒ่าสกุลเผยว่า “เมื่อวานก็ว่าสะสวยดี เพราะดวงตาพร่าเลือน จึงไม่ได้มองให้ชัด วันนี้เห็นแล้ว คุณหนูอวี้ช่างโดดเด่นเสียจริง มิน่าเจ้าถึงให้นางมาอยู่ข้างกาย หากได้มองสักหลายที ก็คงอารมณ์ดีไม่เลว!”
ยังไม่เคยมีใครเอ่ยชมนางเช่นนี้มาก่อน โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าท่านแม่เฒ่าสกุลเผย
ดวงหน้าของอวี้ถังแดงก่ำเป็นสีเลือด รีบลุกขึ้นแล้วพึมพำถ่อมตนหลายคำ
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยหัวเราะหึๆ หางตาหัวคิ้วหาได้มีความเกรี้ยวกราดสะเทือนฟ้าดินอย่างเมื่อวาน นางมองหน้าอวี้ถังด้วยความใจดีแล้วเอ่ยยิ้มๆ “ถึงได้มีคำว่าหญิงสาวก็เหมือนบุปผาอย่างไรเล่า เพราะทำให้คนมองเริงใจเช่นนี้! ข้าว่าเจ้าน่ะ วันๆ ก็อย่าเอาแต่หมกตัวเฝ้าเรือนหลังน้อยอยู่เลย มีเวลาก็ออกมาเดินเล่นข้างนอกบ้าง” ทั้งเอ่ยต่อว่า “ลุงสามท่านผู้เฒ่ายังฝึกวิชาอมตะอยู่รึ?”
ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ทำหน้าอับจน “เขาไปสำนักเทียนอี้ที่เขาหลงหู่ ไม่อย่างนั้นข้าจะมีเวลาออกมาข้างนอกได้อย่างไร!”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยร้อง “เอ๊ะ” ทีหนึ่ง “แล้วจะกลับมาฉลองปีใหม่ที่เรือนหรือไม่?”
“บอกว่าจะอยู่ฉลองบนเขานั่นแหละ” ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้เอ่ยพลางส่ายหน้า “ข้าก็จนปัญญา ได้แต่กำชับผู้ดูแลที่ติดตามไปว่าต้องรับใช้เขาให้ดี”
“สุขภาพไร้โรคภัยสำคัญกว่าสิ่งใดทั้งหมด” ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยปลอบใจท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ “ไม่เช่นนั้นจะบอกว่าเขาเป็นคนมีวาสนาหรือ? ท่านลุงจากไปเร็วกว่าท่านผู้นั้นสกุลข้าเสียอีก ท่านลุงสี่หลายปีนี้ก็เจ็บออดๆ แอดๆ ข้าว่าครั้งหน้าที่ท่านลุงสามกลับมา มิสู้พาท่านลุงสี่ไปฝึกวิชาที่สำนักเทียนอี้อะไรนั่นด้วยเลย”
สองคนสนทนาเรื่องจิปาถะในสกุล คุณหนูทั้งหลายได้แต่ถอนหายใจเฮือก ต่างฝ่ายต่างมองกันไปมา ปิดสีหน้ายินดีไว้ไม่มิด ทว่าพอนั่งไปสักพักหนึ่ง ก็ถูกท่านแม่เฒ่าสกุลเผยบ่นอย่างนึก ‘รังเกียจ’ ว่า “เด็กๆ อย่างพวกเจ้าคงจะเบื่อที่ต้องมานั่งฟังยายแก่อย่างพวกข้ารื้อฟื้นความหลังละสิ พวกเจ้าออกไปเล่นกันเองเถอะไป! แต่วันนี้หิมะเริ่มตกลงมาใหม่ พวกเจ้าห้ามก่อสงครามหิมะ ห้ามปั้นลูกหิมะ แล้วเก็บตัวอยู่ในห้องให้เรียบร้อย ไม่อย่างนั้นข้าจะไม่พาพวกเจ้าออกไปข้างนอก”
ทุกคนต่างยิ้มชอบใจแล้วย่อกายรับคำว่า “เจ้าค่ะ” มีเพียงคุณหนูสี่ที่เอ่ยขึ้นมาอย่างหัวไวว่า “ท่านย่า ท่านจะไปไหนหรือเจ้าคะ? ถ้าวันนี้พวกเราเป็นเด็กดีว่านอนสอนง่าย ท่านจะต้องพาพวกเราไปข้างนอกนะเจ้าคะ!”
“ไอหยา!” ท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ได้ยินก็หัวเราะแล้วหันไปพูดกับท่านแม่เฒ่าสกุลเผยว่า “ดูท่าแล้ว ในบรรดาพี่น้องคงไม่ใครเฉลียวฉลาดเท่านาง เจ้าเกริ่นไปเพียงนิดเดียว นางก็เดาออกทันที”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยหัวเราะชอบใจ
ทุกคนถึงเข้าใจในทันที กระทั่งคุณหนูสามที่มีนิสัยเงียบขรึมยังดีใจจนเดินเข้าไปหาพร้อมกับคุณหนูห้า กอดแขนซ้ายขวาของท่านแม่เฒ่าสกุลเผยคนละข้างแล้วออดอ้อนว่า “ท่านย่าอย่าลืมข้าด้วยนะเจ้าคะ!”
“ได้ไปทุกคนๆ!” ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยยิ้ม “พวกเราไปกินอาหารเจที่อารามดับทุกข์ด้วยกัน!”
อารามดับทุกข์?!
อารามดับทุกข์ที่ชาติก่อนนางถูกทำร้ายจนตาย!
เบื้องหน้าของอวี้ถังพลันมีภาพแสงสลัวของวิหารใหญ่ในอารามดับทุกข์กับดวงหน้าบิดเบี้ยวของท่านเจ้าอาวาสลอยขึ้นมาให้เห็น
นางได้ยินเสียง ‘เปรี้ยง’ ดังขึ้น คล้ายกับมีอสนีบาตฟาดลงมาที่ข้างหู หัวสมองมีเพียงภาพขาวโพลน
“พี่อวี้ๆ!” ไม่รู้ว่านานเท่าไร นางกำลังถูกคนเขย่าตัว จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้อนใจของคุณหนูห้าดังที่ข้างหูว่า “ท่านเป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือเจ้าคะ? ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิ!” พูดจบ น้ำเสียงก็เริ่มเครือสะอื้น
“รีบไปตามท่านหมอมาเร็วเข้า!” นางยังไม่ทันได้สติดี ก็ได้ยินเสียงร้อนรนของท่านแม่เฒ่าสกุลเผยดังต่อจากคุณหนูห้าขึ้นมาติดๆ “เจ้าเด็กคนนี้ ปกติไม่เห็นบอกอะไรสักอย่าง ข้ายังกังวลว่าพอมาอยู่กับข้าแล้วจะไม่สบายไป ยังสั่งให้จี้ต้าเหนียงดูแลนางเป็นพิเศษ เหตุใดจู่ๆ ก็หน้าขาวซีด ดวงตาเบิกกว้างอย่างนี้? มิใช่มีโรคประจำตัวอะไรกระมัง? เร็วเข้า รีบส่งคนไปถามที่เรือนนางหน่อย แต่อย่าบอกว่านางป่วยล่ะ พูดว่าหลายวันนี้พวกเราจะไปพักที่อารมดับทุกข์ กลัวว่าอากาศจะหนาวเกินไป เด็กๆ อาจเจ็บไข้ขึ้นมาได้ จึงอยากรู้ว่าต้องระวังเรื่องใดเอาไว้บ้าง จะได้ตระเตรียมหยูกยาและพาหมอร่วมขบวนไปด้วย…”
หากว่าส่งคนไปถามที่เรือนนาง ไม่ว่าจะพยายามปกปิดอย่างไร แต่ถ้ามารดานางจับสังเกตได้ขึ้นมา จะไม่ร้อนใจตายหรอกหรือ?!
อวี้ถังได้ยินก็รีบสูดหายใจลึกหลายครั้ง จากนั้นก็หยิกต้นขาตัวเองทีหนึ่ง สติถึงเริ่มแจ่มใสขึ้นบ้าง แล้วเร่งเอ่ยพร้อมรอยยิ้มว่า “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ไม่เป็นไร แค่ปวดท้องขึ้นมากะทันหัน แต่ปวดมากเลยเจ้าค่ะ ข้า ข้าอยากไปห้องน้ำ…” จากนั้นก็คิดว่าพูดจาเช่นนี้ไม่ได้ ในเมื่อท่านแม่เฒ่าสกุลเผยยังสงสัยว่านางมีโรคอื่นแอบแฝง ก็ต้องทำลายความสงสัยทิ้งไปเสีย นางมาอาศัยเรือนผู้อื่นอยู่ หากตอบลวกๆ ไปแล้วตนเกิดเป็นอะไรขึ้นมา ผู้อื่นก็คงแบกความรับผิดชอบไม่ไหว จึงรีบแก้คำใหม่ว่า “ถ้าท่านแม่เฒ่าเชิญท่านหมอให้ได้ก็จะดีมากเจ้าค่ะ ข้ากลัวว่า อาจกินอะไรผิดสำแดง!” พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงก็เบาลงเหมือนเสียงยุงบินตัวหนึ่ง
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยและท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ต่างหัวเราะ เห็นชัดว่าโล่งใจไปได้เปลาะหนึ่ง
อวี้ถังอดจะรู้สึกผิดไม่ได้
ท่านแม่เฒ่าทั้งสองต่างก็ผ่านลมฝนมามากมาย บัดนี้ต้องมาร้อนใจเพราะนาง อารมณ์ทั้งหมดแขวนชัดบนสีหน้า แสดงว่าทำให้สองแม่เฒ่าต้องตกอกตกใจแล้วจริงๆ
เพราะใจนางคิดเช่นนั้น ดวงตาจึงสะท้อนอารมณ์ภายในออกมาให้เห็น
สองแม่เฒ่าเดินข้ามสะพานมามากกว่าเกลือที่นางกินลงไปเสียอีก อย่างไรก็ต้องมองออก สองคนหันมาสบตากัน สายตาที่มองอวี้ถังจึงอ่อนโยนขึ้นหลายส่วน
จี้ต้าเหนียงกับเจินจูช่วยกันพยุงนางไปห้องน้ำด้านนอกอย่างระมัดระวัง
อวี้ถังเอ่ยขอบคุณพวกนางอย่างละอายใจ รอจนนางออกมาจากห้องน้ำแล้ว ท่านหมอก็มาถึงพอดี เมื่อจับชีพจรดู ก็บอกว่าชีพจรเต้นมีพลัง ไม่อ่อนหรือแรงเกินไป ไร้ซึ่งร่องรอยการเจ็บไข้โดยสิ้นเชิง ซ้ำยังเอ่ยกระเซ้าสองแม่เฒ่าว่า “ดูท่าแล้วให้คุณหนูเดินรอบทะเลสาบหูซานในคฤหาสน์สักสองสามรอบก็น่าจะยังไม่หายใจหอบด้วยซ้ำ ท่านแม่เฒ่าคงเป็นห่วงจนวิตกเกินไป เมื่อครู่อาจแค่หายใจไม่ทันเท่านั้น ข้าจับชีพจรดูแล้ว ลมในท้องก็ไม่มีเช่นกัน ท่านสามารถพาคุณหนูขึ้นเขาวัดเจาหมิงได้อย่างสบายใจขอรับ”
สองแม่เฒ่าพากันกลั้นขำไว้ไม่อยู่ จากนั้นก็ตกรางวัลก้อนโตให้ท่านหมอไป
อวี้ถังได้แต่ขอขมาท่านแม่เฒ่าทั้งสองด้วยความรู้สึกผิด
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยนางยังพอเข้าใจอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าท่านแม่เฒ่าสกุลอี้ก็เป็นคนเปิดเผยผู้หนึ่ง นางโบกมือไปมาแล้วเอ่ยว่า “เจ้าเด็กคนนี้ ร่างกายมันเจ็บป่วย มิใช่เพราะว่าเจ้าอยากให้มันเจ็บป่วยเสียหน่อย เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดแทนมันหรอก แม้ท่านหมอจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่เจ้าก็ต้องพักสักหน่อย คุณหนูทั้งหลายยังอายุน้อย เจ้าเป็นพี่สาว ก็อย่าเอาแต่ไล่ตามพวกนาง หากว่าพวกนางวิ่งเร็วไป เจ้าก็เดินตามช้าๆ อยู่ข้างหลังก็พอแล้ว สาวใช้ในเรือนมีเป็นโขยง จะปล่อยให้พวกนางวิ่งหายไปก็ลองดูสิ!”
นี่คือเชื่อสิ่งที่ท่านหมอพูดเมื่อครู่ว่าหายใจไม่ทันจริงๆ สินะ
อวี้ถังยิ่งไม่สบายใจเข้าไปใหญ่ นางเอ่ยรับว่า “เจ้าค่ะ”
คุณหนูห้าเข้ามาประคองนางด้วยสีหน้าปวดใจ เอ่ยเสียงเล็กๆ เหมือนเด็กกับนางว่า “พี่อวี้ ข้าพยุงท่านเดินไปเองเจ้าค่ะ” ทำเอาหัวใจของอวี้ถังอ่อนยวบไปหมด
คุณหนูสี่ก็เข้ามาพยุงนางด้วยสีหน้าสงสารเช่นกัน
คุณหนูสามยืนอยู่ข้างกายนางอย่างระมัดระวัง คล้ายกลัวว่าพอนางขยับแล้วจะล้มลงไป ส่วนคุณหนูรองที่เคยวางตัวเย่อหยิ่งอยู่ตลอด ก็เผยสีหน้ากังวลให้เห็น
อวี้ถังหัวเราะไม่ได้ ร้องไห้ไม่ออก บอกแล้วว่าตนเองไม่เป็นไรแต่ก็ไม่มีใครเชื่อ
ยังดีที่ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยเอ่ยขึ้นมาว่า “ในเมื่อรู้ว่าพี่อวี้ของเจ้าวิ่งมากไม่ได้ เช่นนั้นก็อย่าได้วิ่งซุกซนไปทั่วอีก วันนี้ก็อยู่แต่ในห้องให้พี่อวี้ของพวกเจ้าช่วยสอนทำดอกไม้ผ้า ไม่อย่างนั้น ก็ให้จี้ต้าเหนียงสอนงานเย็บปักให้ก็ได้”
คุณหนูสามรับคำอย่างนอบน้อม คุณหนูสี่กับคุณหนูห้าแย่งกันพูดว่า “พวกเราจะไปทำดอกไม้ผ้ากับพี่อวี้เจ้าค่ะ!”
ท่านแม่เฒ่าสกุลเผยส่ายหน้า แล้วแสร้งดุยิ้มๆ ว่า “ยังไม่รีบไปอีก เจ้ามายืนอยู่แบบนี้จนข้าเวียนหัวไปหมดแล้ว”
เหล่าคุณหนูพากันลากอวี้ถังวิ่งออกมาข้างนอก แต่วิ่งไปได้สองก้าวก็ชะงักเท้าลงทันที แล้วค่อยๆ ก้าวขาราวกับกลัวจะเหยียบมดตาย ระหว่างที่เดินก็ยังหันมากำชับอวี้ถังว่า “พี่อวี้เดินระวังๆ หน่อย! ท่านยังสบายดีอยู่หรือไม่ จะให้ข้าบอกเฉินต้าเหนียงให้ยกเกี้ยวมาแบกท่านกลับห้องไหมเจ้าคะ?”
“ข้าไม่เป็นไรจริงๆ!” อวี้ถังรู้สึกอิ่มเอมไปทั้งใจ ความปวดร้าวและเจ็บแค้นเมื่อชาติก่อนคล้ายไม่หนักอึ้งเหมือนอย่างที่เคย กระทั่งความเย็นเยือกก่อนนางจะตายก็ถูกม่านบางๆ คั่นเอาไว้ นางมองภาพฉากเบื้องหน้าได้ชัดเจนแจ่มแจ้ง และภาพฉากเหล่านั้นไม่อาจทำให้นางรู้สึกทรมานจนถึงแก่นกระดูกได้อีกต่อไป
นางพลันคิดถึงเผยเยี่ยนขึ้นมา
จะว่าไปแล้ว ชีวิตในชาตินี้ของนาง คนที่นางสมควรจะขอบคุณมากที่สุดก็คงเป็นเขา
หากมิใช่เพราะเขา อาการป่วยของมารดานางก็คงไม่ดีขึ้น หากมิใช่เพราะเขา นางก็คงไม่ได้มาอยู่ข้างกายท่านแม่เฒ่าสกุลเผย ไม่ได้รู้จักเหล่าคุณหนูตัวน้อยที่จิตใจงดงามเช่นนี้…
เขาเป็นคนสำคัญของนาง
กรอบตานางพลันมีน้ำตาคลอเอ่อ
“เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ?” คุณหนูรองปลอบใจนางอย่างขัดๆ เขินๆ “ถ้าเจ้าเดินไม่ไหวก็ไม่ต้องฝืนหรอก ครั้งก่อนตอนที่ข้าไปวัดเจาหมิงเป็นเพื่อนท่านย่าก็นั่งเกี้ยวขึ้นเขาไปเหมือนกัน มันมิใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก”
อวี้ถังน้ำตาคลอเบ้า แต่ดวงหน้ากลับยิ้มแฉ่ง
นางเอ่ยเสียงนุ่มว่า “ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ แค่รู้สึกว่าพวกเจ้าเป็นห่วงข้า…”
“ข้ารู้แล้ว!” คุณหนูสี่โพล่งขึ้นมาตัดบทนาง ตะโกนลั่นว่า “พี่อวี้กำลังซาบซึ้งอยู่นี่เอง!”
เจ้าเด็กคนนี้!
อวี้ถังพลันคิดอะไรไม่ออกทันที
คุณหนูห้ากับคุณหนูสามพากันหัวเราะลั่น
คุณหนูสาม คุณหนูสี่และคุณหนูห้าจะไปที่เรือนอวี้ถังเพื่อเรียนทำดอกไม้ผ้า คุณหนูรองบอกว่า “ข้าไม่ไป! ข้าจะไปเยี่ยมพี่กู้!” พูดจบ ก็ถลึงตาใส่อวี้ถังทีหนึ่ง “พวกเจ้าไม่รู้ใช่ไหมว่าพี่กู้ก็ป่วยเหมือนกัน? พวกเจ้าไม่คิดจะไปอยู่เป็นเพื่อนนางเลยรึ?”
คุณหนูสามกับคุณหนูห้าส่งยิ้มให้คุณหนูรองอย่างละอายใจ ส่วนคุณหนูสี่รีบอธิบายว่า “พี่อวี้กับพี่กู้ก็พักอยู่ใกล้ๆ กัน เมื่อครู่พี่อวี้เพิ่งจะไม่สบาย พวกเราไปส่งพี่อวี้ก่อน ตอนบ่ายค่อยไปอยู่เป็นเพื่อนพี่กู้ได้หรือไม่?”
คุณหนูรองไม่ใคร่จะพอใจนัก
อวี้ถังหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเราไปเยี่ยมคุณหนูกู้ก่อนดีกว่า คุณหนูกู้เป็นคนป่วย ต้องการพักผ่อน พวกเราไปคุยเล่นกับคุณหนูกู้สักพักหนึ่ง จากนั้นค่อยไปกินข้าวเที่ยงที่เรือนข้า หากตอนบ่ายอากาศดี พวกเราก็ไปเดินเล่นริมทะเลสาบ พวกเจ้าเห็นว่าอย่างไร?”
สีหน้าของคุณหนูรองถึงค่อยดีขึ้นมาหน่อย
คุณหนูสี่ก็ตบมือแล้วพูดว่า “ประเสริฐ”
คนทั้งกลุ่มจึงมุ่งหน้าไปยังเรือนของกู้ซี
อวี้ถังกลับคิดอย่างใจลอยว่า เหตุใดคนสกุลเผยจึงรู้จักอารามดับทุกข์ได้?
ต้องเข้าใจด้วยว่า อารามดับทุกข์เป็นอารามเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาบนเขาเทียนมู่ ที่นั่นเป็นอารามแม่ชี คนที่มาบวชล้วนเป็นหญิงที่ไม่มีบ้านให้กลับ ถึงขั้นว่าบางคนเมื่อเข้าสู่อารามแม่ชีแล้ว ก็ไม่มีที่ให้ไปอีก เมื่อไร้หนทางถึงได้เริ่มฝึกบำเพ็ญภาวนา
ที่แห่งนั้นไม่มีสถานที่ให้จุดธูปกราบไหว้ด้วยซ้ำไป
หากมิใช่เป็นความบังเอิญ คนที่อยู่ในเมืองหลินอันตั้งแต่เล็กจนโตอย่างนางก็คงไม่รู้ว่ามีอารามแม่ชีเช่นนี้อยู่ด้วย