ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 173 อาราม
แม้ว่าอวี้ถังจะคาดเดาไปต่างๆ นานาแต่ยามนี้ก็ไม่ใช่เวลาจะมาคิดเรื่องพวกนี้อย่างละเอียด ไม่นานพวกนางก็มาถึงเรือนที่กู้ซีพักอาศัย อวี้ถังจึงค่อยพบว่า ประตูทางห้องหลักเปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง มีสาวใช้ถือผ้าและยกถังน้ำเดินเข้าออก เห็นได้ชัดว่านายหญิงเสิ่นจากไปแล้ว
คนไม่กี่คนพากันนิ่งงันในทันที
ผู้ที่มาต้อนรับพวกนางคือเหอเซียง นางมีสีหน้าลำบากใจ ละล่ำละลักเอ่ยอธิบาย “เดิมทีคุณหนูของพวกเราคิดจะลงเขาไปพร้อมกับนายหญิงเสิ่น แต่เกิดป่วยขึ้นมากะทันหัน ประการที่สอง อาจารย์เสิ่นมารับนายหญิงเสิ่นด้วยตัวเอง คุณหนูพวกเรากลัวว่าจะทำให้อาจารย์เสิ่นเสียหน้า ไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยว จึงทำได้เพียงให้ข้าไปส่งนายหญิงเสิ่นเจ้าค่ะ” พูดจบ นางก็ถอนหายใจยาว เผยสีหน้ากังวล “ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไร? ควรจะไปมาหาสู่นายหญิงเสิ่นเหมือนเมื่อก่อน? หรือนับแต่นี้ไปควรเว้นระยะห่างกันเสียหน่อย? คุณหนูพวกเรากลับไม่รู้สึกรังเกียจอะไร แต่กลัวว่านายหญิงเสิ่นจะเห็นความไม่สบายใจของคุณหนูพวกเรา”
นี่ไม่ใช่รังเกียจแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?
หากไม่รังเกียจจริงๆ จะพูดเรื่องพวกนี้ขึ้นมาทำไมกัน? แม้จะนอนอยู่บนเตียงไม่อาจขยับเขยื้อน ก็สามารถให้สาวใช้ หญิงรับใช้ช่วยเดินไปส่งนายหญิงเสิ่นได้…นายหญิงเสิ่นไม่เป็นตัวของตัวเอง ก็ยังมีอาจารย์เสิ่นไม่ใช่รึ? สหายย่อมไม่ทิ้งกัน นายหญิงเสิ่นมาหลินอันเป็นเพื่อนกู้ซี แม้นายหญิงเสิ่นจะมีจุดใดที่ไม่เหมาะสม ตามหลักแล้ว กู้ซีก็ควรมาส่งนายหญิงเสิ่นเสียหน่อย
ชาติก่อนอวี้ถังเห็นกู้ซี แต่ไหนแต่ไรก็นับถือในความใจกว้างทั้งประพฤติตัวเหมาะสมของนาง ยามนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้นเสียแล้ว
บางทีอาจเป็นเพราะว่าชาติก่อนนับถือนางมาก ทั้งรู้สึกผิดต่อนางไม่น้อย รอจนยามที่อวี้ถังคิดว่าตัวเองสามารถมองกู้ซีด้วยสายตาที่ธรรมดา นางก็ออกจากสกุลหลี่เสียแล้ว ทั้งยังเป็นปฏิปักษ์ต่อกู้ซี
อวี้ถังลอบเบะปากอย่างเกลียดชังอยู่บ้าง
คุณหนูสามค้อมหน้าลง ไม่พูดอันใด ด้านคุณหนูรองและคุณหนูสี่ก็เอ่ยกับเหอเซียงด้วยรอยยิ้ม “นี่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ใครก็คาดไม่ถึงว่านายหญิงเสิ่นที่ปกติระวังคำพูดและสงวนกิริยาจะสูญเสียการควบคุมไปชั่วขณะ พี่กู้ก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน” ทั้งถามนางว่า “พี่กู้เป็นอย่างไรบ้าง? กินยาหรือยัง?”
เหอเซียงตอบกลับอย่างนอบน้อม
คุณหนูห้ากลับเหลียวซ้ายมองขวา อยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูดออกมา
อวี้ถังจึงเดินเข้ามาดึงมือนาง เอ่ยเสียงเบา “เป็นอะไรรึ?”
คุณหนูห้าลังเลอยู่พักใหญ่ เห็นพวกพี่สาวล้วนเดินอยู่ด้านหน้า ยามนี้จึงเอ่ยเสียงแผ่วว่า “คุณหนูอวี้ ข้าได้ยินว่าพี่กู้ได้รับความตกใจ…แต่ข้าคิดว่า นางไปพร้อมกับนายหญิงเสิ่นคงจะดีกว่า…หากเป็นข้า ย่อมไม่อาจพักอยู่เรือนคนอื่นอย่างลำบากใจต่อไปเช่นนี้ได้…” ขณะที่พูด ใบหน้าหน้าก็ขึ้นสี คล้ายตกใจที่ตัวเองเผลอพูดไม่เหมาะสมออกไป รีบละล่ำละลักเอ่ย “ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากให้นางอยู่ที่สกุลข้า ข้าเพียงคิดว่า อย่างไรนางก็มาพร้อมนายหญิงเสิ่น ยามนี้นายหญิงเสิ่นต้องเสียใจอย่างแน่นอน นางควรจะไปปลอบใจนายหญิงเสิ่นถึงจะถูก…”
อวี้ถังฟังแล้วก็อยากอุ้มคุณหนูผู้นี้ขึ้นมาหอมเป็นอย่างยิ่ง แม้จะกล่าวว่าคุณหนูผู้นี้ไม่เข้าใจหลักการสำคัญอะไรมากมาย แต่เพราะมีจิตใจที่ใสบริสุทธิ์ จึงรู้โดยสัญชาตญาณว่าเรื่องอะไรควรทำ เรื่องอะไรไม่ควรทำ
“ข้ารู้” อวี้ถังเอ่ยกับนางเสียงเบา “นิสัยของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีจัดการเรื่องราวก็แตกต่างกัน พวกเราใส่ใจแต่เรื่องของพวกเราก็เพียงพอแล้ว”
คุณหนูห้าผงกศีรษะด้วยรอยยิ้ม เดินตามคุณหนูสี่ขึ้นไปอย่างเบิกบานใจ ทั้งดึงคุณหนูสี่เข้าไปในห้องกู้ซีด้วยกัน
คาดว่ากู้ซีคงจะทราบข่าวแล้ว นางสวมชุดสีเขียวลายดอกโบตั๋นกลางเก่ากลางใหม่ เส้นผมดำขลับถูกเกล้าเหนือศีรษะ ไม่ได้สวมเครื่องประดับ บนหน้าผากสวมเพียงผ้าคาดสีขาว นางเผยสีหน้าเซื่องซึม รอยยิ้มฝืดเฝื่อน ออกจากห้องมาทักทายพวกนาง “พวกเจ้ามาแล้วรึ? ไฉนไม่ส่งสาวใช้เข้ามาแจ้งกับข้าเสียหน่อย ข้าจะได้เตรียมของว่างและน้ำชาให้ เหอเซียง เจ้าไปชงชาซิ่นหยางเหมาเจียน[1]ที่ข้าพกมาจากสกุลเข้ามา ให้คุณหนูอวี้และพวกคุณหนูลองชิมดูว่าอร่อยหรือไม่?”
เหอเซียงรับคำสั่งด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะออกไป
คุณหนูรองสาวเท้าเข้ามาพยุงกู้ซีอย่างรวดเร็ว ปากก็บ่นพร่ำ “ในเมื่อพี่สาวไม่สบาย ก็อย่าลุกจากเตียงมาต้อนรับพวกเราเลย ข้า คุณหนูอวี้และน้องๆ ทั้งสามเข้ามา เดิมทีก็คิดว่าเจ้าจะรู้สึกเงียบเหงา กลัวว่าเจ้าป่วยอยู่คนเดียวจะคิดฟุ้งซ่าน จึงมาพูดคุยเป็นเพื่อนคลายเหงา คาดไม่ถึงว่าจะลำบากเจ้ามาเสียแรงต้อนรับพวกเราอีก หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ พวกเราก็คงไปหาพี่อวี้โดยตรง ให้เจ้าได้พักผ่อนดีๆ แล้ว”
กู้ซีได้ฟังก็เผยยิ้มมองอวี้ถังไปที “ข้าไม่เหนื่อย หากพวกเจ้าไม่มาข้าก็นอนอยู่บนเตียง เป็นดั่งที่เจ้าพูด ยังอาจจะคิดฟุ้งซ่าน พวกเจ้ามา บรรยากาศก็ครึกครื้นขึ้น ทำให้ข้ารู้ว่าพวกน้องๆ ไม่ได้รังเกียจข้า ในใจข้าก็รู้สึกดีมากแล้ว”
“พวกเราจะรังเกียจพี่สาวได้อย่างไร!” คุณหนูสี่เอ่ยอย่างว่องไว “พวกเรายังสงสารพี่สาวเสียด้วยซ้ำไป นายหญิงเสิ่นคือนายหญิงเสิ่น พี่กู้ก็คือพี่กู้ พวกเราล้วนไม่ใช่คนที่แยกแยะอะไรไม่ออก พี่กู้ก็วางใจเสียเถิด รักษาสุขภาพให้ดีย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
กู้ซีพยักหน้าระรัว เผยท่าทีซาบซึ้งใจไม่น้อย
อวี้ถังหันหน้าหนี ไม่อยากเห็นกู้ซีทำท่าทีเสแสร้งอยู่ตรงนั้น
กู้ซีมีนิสัยชอบเอาชนะ หากนางรู้สึกผิดจริงๆ ย่อมไม่อาจเอ่ยปากขอโทษ จะทำเพียงลอบหาวิธีอื่นช่วยเจ้าเท่านั้น หากนางคิดว่าตัวเองทำถูก เจ้าอยากฟังคำขอโทษขอโพยจากนางเท่าใดนางก็จะพูดให้เจ้าฟังเท่านั้น
กู้ซีในยามนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่คิดว่าตัวเองทำอะไรผิด
เหอเซียงยกของว่างและน้ำชาเข้ามา
ทุกคนดื่มชา หยิบขนมมากินคำสองคำ ก่อนจะเริ่มพูดคุยเจื้อยแจ้วกันขึ้นมา
ยามนี้กู้ซีจึงรู้ว่า เหตุผลที่พวกนางเพิ่งมาในยามนี้เป็นเพราะอวี้ถังก็ป่วยเช่นกัน
คุณหนูรองยังเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “หากพี่อวี้ไม่เตือนขึ้นมา ข้าก็คงเตรียมจะอยู่คุยกับเจ้าทั้งวันที่นี่แล้ว”
“อย่างนั้นรึ?” ขณะที่กู้ซีพูด ก็ชำเลืองตามองอวี้ถังด้วยรอยยิ้มที่คล้ายไม่ยิ้ม เอ่ยอย่างมีความนัย “คาดไม่ถึงว่าหลังจากข้าป่วย คุณหนูอวี้ก็ป่วยเช่นกัน”
อวี้ถังอยากให้กู้ซีรู้ว่านางไม่เจ็บปวดต่อคำพูดของกู้ซีแม้แต่น้อย จึงทำเป็นฟังความนัยไม่ออก นอกจากไม่โกรธ ยังมองกู้ซีด้วยรอยยิ้มกว้าง “ใช่! ข้าก็คาดไม่ถึงเช่นกัน”
กู้ซีได้ฟัง คิดได้เพียงว่าอวี้ถังกำลังเหน็บแนมว่านางแกล้งป่วย ชั่วขณะนั้นไม่อาจข่มกลั้นได้ทัน เผยสีหน้ามืดครึ้มลงทันที
คุณหนูห้าและคุณหนูสี่ต่างก็นึกไม่ถึง มองกู้ซีอย่างตกตะลึง สับสนจนทำอะไรไม่ถูก
ด้านคุณหนูรองกลับขมวดคิ้ว ยามที่กำลังจะพูด กลับถูกคุณหนูสามที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้เอ่ยอันใดมาโดยตลอดชิงพูดเสียก่อน “ยามนั้นมีเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วไหลลงมาจากหน้าผากพี่อวี้ ทำเอาพวกเราตกใจยกใหญ่ ท่านย่าเชิญท่านหมอมารักษาพี่อวี้ ยังไปดูสำรับยาของท่านหมอด้วยตัวเองจึงค่อยให้ท่านหมอจ่ายยาออกมา ก็ไม่รู้ว่ายามนี้พี่อวี้ดีขึ้นแล้วหรือยัง?”
นางถอนหายใจ ทำท่าราวกับกังวลอย่างยิ่ง
กู้ซีและอวี้ถังต่างก็ลอบตกใจ คุณหนูสามที่สุขุมเยือกเย็น วันปกติก็ไม่ได้พูดคุยแต่อย่างใด พอเอ่ยปากกลับเป็นดั่งคมในฝัก ก็ไม่รู้ว่านางตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่? แต่ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ กู้ซีก็ไม่อาจรับบทสนทนานี้ต่อได้ ดีที่ยังมีอวี้ถัง นางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ยามนั้นก็เพียงรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอยู่พักหนึ่ง พอผ่านไปก็ค่อยดีขึ้น ท่านหมอก็บอกว่าไม่เป็นไรแล้วมิใช่หรอกรึ?”
คุณหนูสามค่อยแย้มยิ้ม ไม่ได้พูดอันใดต่อ
ทว่าบรรยากาศในห้องกลับเปลี่ยนเป็นอึมครึมขึ้นมาอยู่บ้าง
อวี้ถังจึงมองไปทางคุณหนูรอง
เป็นนางที่อยากเข้ามา หากนางไม่มีเรื่องอะไรแล้ว อวี้ถังก็เตรียมจะบอกลา
นางไม่อยากเห็นกู้ซีแสร้งป่วยอยู่ที่นี่
คาดว่าคุณหนูรองก็อึดอัดใจอยู่บ้าง เอ่ยแฝงความเป็นห่วงกับกู้ซีไม่กี่ประโยค ก่อนจะหยัดกายบอกลา
อวี้ถังอยากจะออกไปอย่างยิ่ง ไม่ว่ากู้ซีจะเหนี่ยวรั้งอย่างไร อวี้ถังก็ไม่คิดที่จะอยู่
พวกคุณหนูของสกุลเผยล้วนกินข้าวเที่ยงอยู่กับอวี้ถัง บางทีอาจเป็นเพราะปกติคุณหนูรองก็ไม่ได้สนิทกับอวี้ถังเท่าใด หรือบางทีอาจเป็นเพราะเกิดเรื่องกับกู้ซีทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจ ไม่นาน นางก็หาข้ออ้างกลับไปนอนพักกลางวัน ยามบ่ายคุณหนูสาม คุณหนูสี่และคุณหนูห้าจึงรั้งตัวทำดอกไม้ผ้ากับอวี้ถัง
อวี้ถังถามคุณหนูทั้งสามขึ้นมา “เหตุใดท่านแม่เฒ่าต้องไปอารามดับทุกข์? ในอารามดับทุกข์แทบไม่มีอะไร ท่านแม่เฒ่าไปทำอะไรที่นั่นรึ?”
คุณหนูสี่ได้ยินก็เอ่ยอย่างแปลกใจ “พี่อวี้ เดิมทีคนธรรมดาทั่วไปก็ไม่รู้จักอารามดับทุกข์ เจ้ารู้จักอารามดับทุกข์ได้อย่างไร? เจ้ายังรู้อีกว่าในอารามดับทุกข์ไม่มีอะไรน่าสนุก? หรือเจ้าเคยไปมาก่อน?”
หรือเข้าไปในอารามดับทุกข์ไม่ได้อย่างนั้นรึ?
อวี้ถังไม่มีความทรงจำกับเรื่องนี้
ทั้งภาพจำที่นางมีเกี่ยวกับอารามดับทุกข์ก็เป็นหลังจากนี้อีกหลายปี
หรือยามนี้อารามดับทุกข์ยังไม่เปิดให้คนอื่นเข้าไปจุดธูปขอพร?
อวี้ถังไม่แน่ใจอยู่บ้าง นางทำได้เพียงเอ่ยว่า “ข้าเคยได้ยินมาเท่านั้น ไม่เคยไปมาก่อน แต่ข้าคิดว่า หากอารามดับทุกข์ศักดิ์สิทธิ์ถึงเพียงนั้น เหตุใดจึงไม่มีชื่อเสียงในเมืองหลินอันแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าอารามแห่งนี้ก็ไม่ได้ยอดเยี่ยมอะไรขนาดนั้น ยังมิสู้ไปวัดเจาหมิง อย่างน้อยวัดเจาหมิง พวกเราก็สามารถปีนเขาได้!”
คุณหนูสามหัวเราะอยู่ด้านข้าง เอ่ยอธิบายให้อวี้ถังฟังอย่างเชื่องช้า “อารามดับทุกข์ย่อมไม่มีชื่อเสียง! นั่นเป็นวัดประจำสกุลของพวกเรา ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาจุดธูปไหว้พระ ท่านย่าเข้าไปก็เพราะว่าใกล้ปีใหม่แล้ว จึงไปทำบุญบริจาคเงินให้ทางอารามดับทุกข์”
หา!
อวี้ถังเบิกตากว้าง
ไม่ใช่สิ ในเมื่อเป็นวัดประจำสกุลเผย แล้วญาติผู้พี่ของป้าสะใภ้ใหญ่อยู่ในอารามดับทุกข์ได้อย่างไร? ทั้งในอารามยังมีคนไร้ที่อยู่อาศัยมากมายขนาดนั้น? สตรีบางคนอยู่ในอารามมามากกว่าสิบปี เดิมทีที่อารามดับทุกข์รับนางไว้ ก็ไม่ใช่เพราะว่ามีญาติผู้พี่ของป้าสะใภ้ใหญ่ออกบวชที่นั่นหรอกรึ? ใช่แล้ว อารามดับทุกข์นั้นไม่รับคนนอก ผู้ที่สามารถเข้าไปได้ ล้วนอาศัยความสัมพันธ์กับคนในอารามทั้งนั้น ตอนนั้นนางเข้าไปได้ก็เพราะญาติผู้พี่ของป้าสะใภ้ใหญ่!
นางสับสนวุ่นวายในใจ คล้ายกับมีเรื่องอะไรที่นางพลาดไป ผ่านไปพักใหญ่จึงค่อยหวนสติเอ่ยกับคุณหนูสาม “ข้ารู้จักกับคนคนหนึ่ง สามีนางจากไป ไม่มีทายาท ถูกคนของสกุลมารดาบีบเค้นให้แต่งงาน ดังนั้นจึงหนีมาหลบอยู่ในอาราม…”
“เจ้าจะบอกว่าคนที่อยู่ในอารามล้วนไม่ใช่คนดีอะไรอย่างนั้นรึ?” คุณหนูสามเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ข่าวลือถูกหยุดได้โดยผู้มีปัญญา นี่หมายความว่าพวกเราต้องเรียนหนังสือให้มากๆ หมั่นใช้สมอง ยามที่ได้ยินคนอื่นพูดอะไรจะได้รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือโป้ปด อารามดับทุกข์นั้นรับคฤหัสถ์หญิงที่นับถือพระพุทธศาสนาทั้งไร้เรือนให้กลับไว้มากมาย พวกนางต่างก็น่าสงสาร ล้วนเป็นคนดี พวกเราเป็นคนที่เรียนหนังสือ ไม่อาจดูถูกคนอื่น เพราะพวกนางประสบพบเจอเรื่องไม่ดีมาได้!”
อวี้ถังยิ้มอย่างฝืดเฝื่อน
คาดไม่ถึงว่าตัวเองจะมียามที่ถูกคุณหนูอายุน้อยกว่ากล่าวสั่งสอนเช่นกัน
นางละล่ำละลักเอ่ย “ข้าไม่ได้มีความหมายดูถูกดูแคลนพวกนาง ข้าเพียงคิดว่าในเมื่ออารามดับทุกข์เป็นวัดประจำสกุลของพวกเจ้า ไฉนจึงรับคนอย่างญาติผู้พี่ของป้าสะใภ้ใหญ่ข้า? หากพวกนางไม่ยินยอมจะยึดพุทธศาสนาเป็นที่พึ่งจะทำอย่างไร? ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถตกลงปลงใจปฏิบัติตามศีลห้าและพระรัตนตรัยได้เสียหน่อย”
ญาติผู้พี่ของป้าสะใภ้นางนั้นอยู่อารามดับทุกข์มาเกือบสิบปีจึงค่อยตัดสินใจยึดพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง
คุณหนูสามหันไปมองอวี้ถัง เอ่ยว่า “พวกนางไม่ยินยอมก็ไม่เป็นไร! อย่างไรฆราวาสก็มีเรื่องที่สามารถทำได้มากกว่า สกุลพวกเรารับสตรีเหล่านั้นไว้ก็เพียงเพราะว่าอยากทำความดี ให้ความช่วยเหลือสตรีที่เดือดร้อนก็เท่านั้น!”
———————-
[1]ซิ่นหยางเหมาเจียน จัดเป็นหนึ่งในสิบของชาที่มีชื่อเสียงของจีน มีแหล่งผลิตอยู่ที่เมืองซิ่นหยาง