ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน - บทที่ 176 ป่าไผ่
ไม่นานซวงเถาก็กลับมา กล่าวว่าอีกหนึ่งเค่อ[1]เผยเยี่ยนจะรอนางอยู่ด้านนอกเรือนพักผ่อนของพวกนาง นางมีเรื่องอันใดก็ไปปรึกษาที่นั่น
อวี้ถังนิ่งเงียบไปพักใหญ่
นางเพิ่งได้ยินจากท่านแม่เฒ่า ก็ร้อนใจขึ้นมาทันที ไม่เพียงอยากรู้ว่าเผยเยี่ยนพบเจอกับเรื่องร้ายอะไร จิตใจยังว้าวุ่นไม่เป็นสุข พอเห็นว่ามีโอกาสพบเผยเยี่ยนก็ส่งซวงเถาไปขอพบเขา…กลับไม่ได้คิดให้ละเอียดถี่ถ้วน หากนางไม่ใช่คนที่กลับมาเกิดใหม่ ความรู้ประสบการณ์คับแคบ นางจะใช้อะไรช่วยเหลือเผยเยี่ยน ทั้งถือสิทธิ์อันใดไปช่วยเหลือเผยเยี่ยน
ยามนี้เมื่อใจเย็นลงจึงตรึกตรองอย่างละเอียด ดูเหมือนว่านางจะเป็นห่วงเผยเยี่ยนมากเกินไป
อวี้ถังรู้สึกเพียงว่าทั่วร่างล้วนไม่เป็นสุข แต่ในใจกลับมีเสียงหนึ่งบอกกับนาง เขาเป็นผู้มีพระคุณอันใหญ่หลวงของนาง ชาติก่อนนางได้รับความคุ้มครองจากอารามดับทุกข์ ย่อมนับเป็นบุญคุณส่วนหนึ่งของเผยเยี่ยน แล้วนางจะมองข้ามไม่สนใจเรื่องของเผยเยี่ยนได้อย่างไร?
นางเพียงกังวลจนสับสนวุ่นวายไปหมดเท่านั้น!
ใช่! น่าจะอย่างนั้นมากกว่า
นางกังวลจนใจว้าวุ่น จึงสูญเสียความเยือกเย็นไปเล็กน้อย
ยิ่งไปกว่านั้น นางยังไม่มีประสบการณ์จัดการกับเรื่องเช่นนี้ เมื่อพบเจอความผิดพลาดครั้งนี้แล้ว ภายหลังนางย่อมสามารถควบคุมสติของตัวเองได้ ไม่อาจหุนหันพลันแล่นเช่นนี้อีก
อวี้ถังรู้สึกสับสนวุ่นวายในใจ
ซวงเถากลับเปี่ยมไปด้วยความสงสัย เตือนนางเสียงเบา “คุณหนู ท่านว่า ท่านเปลี่ยนชุดเสียหน่อยดีหรือไม่เจ้าคะ?”
หากคุณหนูของนางยังชักช้า อีกเดี๋ยวคงจะพลาดนัดเป็นแน่
คำพูดของซวงเถาทำให้อวี้ถังดึงสติกลับมา
นางลอบถอนหายใจ
เรื่องไปพบเผยเยี่ยนหุนหันพลันแล่นไปอยู่บ้างจริงๆ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แม้นางจะคิดเปลี่ยนใจ ก็ไม่ทันแล้ว
เช่นนั้นไปพบเผยเยี่ยนก่อนเถิด
ครั้งก่อนเขาส่งเสื้อคลุมให้นาง นางเข้าใจเขาผิด ยังไม่ทันขอโทษต่อหน้าเขาด้วยซ้ำ อีกอย่าง นางพักอยู่ในสกุลเผยมาเกือบหนึ่งเดือน อย่างมากพักอีกสิบกว่าวันก็ต้องกลับไปแล้ว ปลายปีย่อมมีธุระมากมาย ยามที่นางไปแล้ว ไม่แน่ว่าเผยเยี่ยนจะอยู่ในเรือนเสมอไป นางอาจจะไม่มีโอกาสบอกลาเขาเสียด้วยซ้ำ ครั้งนี้พบเผยเยี่ยน จะได้บอกลาเขาล่วงหน้า ทั้งเรื่องอารามดับทุกข์ นางอยากถามให้กระจ่างว่า สกุลเผยเริ่มให้เงินช่วยเหลืออารามดับทุกข์ตั้งแต่เมื่อใด คงไม่นับว่าหาเรื่องใส่ตัวหรอกกระมัง
อวี้ถังครุ่นคิด ยามนี้จึงสงบจิตใจลง ตอบรับซวงเถาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ออกจากห้องไป
เรือนที่พวกนางพักผ่อนเป็นเรือนที่ดีที่สุดในอารามดับทุกข์ ในเรือนไม่เพียงมีต้นไม้เขียวชอุ่มไปทั่ว ด้านนอกยังมีป่าไผ่กว้างใหญ่ ในป่าไผ่ยังจัดวางเก้าอี้หินให้ผู้คนใช้สำหรับนั่งพักผ่อน
อวี้ถังออกจากประตู นางไม่เห็นเผยเยี่ยนที่หน้าประตู แต่นางรู้ว่าเผยเยี่ยนเป็นคนรักษาคำพูด พูดว่ามาก็ย่อมมา พูดว่ามายามใดก็ย่อมมายามนั้น แม้ว่าจะติดธุระอะไร ก็ต้องส่งคนมาบอกกล่าวนางก่อน
หรือว่ารอนางอยู่ในป่าไผ่?
ป่าไผ่ก็นับว่าอยู่ด้านหน้าประตูเช่นกัน
นางครุ่นคิด ก่อนจะเดินไปทางป่าไผ่
ไกลออกไป นางก็มองเห็นเผยเยี่ยนที่อยู่ในชุดเสื้อคลุมสีขาว ท่ามกลางป่าไผ่ที่เขียวชอุ่มละลานตา เขาหยัดกายตรงสง่างาม องอาจราวกับต้นไม้ที่ถูกลมพัดโชย ดึงดูดสายตาอย่างยิ่ง
อวี้ถังลอบดีใจ เร่งสาวเท้าเข้าไป ยามที่เข้าใกล้เผยเยี่ยนขึ้นเรื่อยๆ กลับพบว่าอันที่จริงตรงข้ามของเผยเยี่ยนยังมีคนผู้หนึ่งยืนอยู่ สวมเสื้อคลุมสีม่วงอ่อนขนจิ้งจอกสีขาว มวยผมเอียงข้าง ปิ่นระย้าแกว่งไกวอยู่ข้างแก้มนาง ผิวขาวเรียบเนียนราวกับหิมะ
อวี้ถังชะงักฝีเท้าลง
ซวงเถาที่ตามหลังนางมาติดๆ แทบจะชนเข้ากับนาง
“คุณ…” คำพูดเพิ่งจะออกจากปากซวงเถา นางกลับใช้สองมือมาปิดปากตัวเองไว้ก่อน มองอวี้ถังด้วยความตกใจอยู่บ้าง
ชั่วขณะนั้นสีหน้าของอวี้ถังก็เปลี่ยนเป็นดูไม่ได้อย่างยิ่ง ไม่ใช่บิดเบี้ยวด้วยความดุดัน แต่เป็นสีหน้าเรียบนิ่ง แววตาสองข้างกลับลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิง คล้ายหากไม่ระวัง ก็จะถูกแผดเผาไปด้วยกัน
นี่ นี่มันเรื่องอะไรกัน?
เห็นได้ชัดว่านายท่านสามนัดกับคุณหนูของนาง เหตุใดจึงมาอยู่กับคุณหนูกู้เสียได้?
ซวงเถาชะโงกดูอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
เห็นเพียงกู้ซีควักผ้าเช็ดหน้าสีม่วงที่ปักลายดอกชงโคผืนหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อคลุม เช็ดคราบเปรอะเปื้อนที่หางตาแผ่วเบา กล่าวสะอึกสะอื้นกับเผยเยี่ยน “ให้ท่านขบขันเสียแล้ว! แต่ข้าไม่คิดไม่ฝันด้วยซ้ำ คำพูดที่อัดอั้นอยู่ในอก ข้าไม่รู้ว่าควรจะพูดกับใครจริงๆ…พี่ชายข้าพูดมาโดยตลอดว่านายท่านสามเป็นคนที่คุ้มค่าให้ความนับถือมากที่สุด ข้า ข้าพบท่าน จึงอดพูดออกมาไม่ได้ อย่างไรขอท่านอย่าได้ถือสา” พูดจบ ก็เช็ดหยาดน้ำที่หางตา
ท่าทีเช็ดน้ำตานั้น พูดไม่ออกว่าเป็นความอ่อนหวานงดงามและน่าหลงใหลเพียงใด
ซวงเถาใจเต้นกระหน่ำ
แม้นางจะเป็นสาวใช้ไม่ประสีประสาคนหนึ่ง แต่อย่างไรก็เป็นเด็กผู้หญิง ทั้งมีความคิดชื่นชอบเหมือนเด็กสาวทั่วไป เห็นกู้ซีเป็นเช่นนี้ นางไหนเลยจะไม่เข้าใจ
เพียงแต่นางคิดไม่ตกว่า เหตุใดกู้ซีจึงชมชอบเผยเยี่ยนได้? หลังจากกู้ซีมาจวนสกุลเผย ยังไม่เคยพูดคุยกับนายท่านสามเลยสักครั้ง
หรือว่าอาจจะเคยพูดคุยกัน แต่พวกนางไม่รู้?
ซวงเถาคาดเดาในใจ ก่อนจะมองไปยังอวี้ถังอย่างยากจะอธิบาย
อวี้ถังดูคล้ายเพิ่งก้าวออกมาจากความตกใจ นางเผยสีหน้าเป็นปกติ ค่อยๆ หลบไปอยู่ด้านหลังกอไผ่อย่างเงียบเชียบ ยังลากซวงเถามาด้วย บอกเป็นนัยให้นางหลบเช่นเดียวกัน
ซวงเถาก็ไม่คิดมาก ตามอวี้ถังไปหลบอยู่หลังกอไผ่ทันที
จึงได้ยินเสียงเผยเยี่ยนและกู้ซีพูดคุยกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“คุณหนูกู้เกรงใจเกินไปแล้ว” เผยเยี่ยนปรากฏท่าทีเย็นชา น้ำเสียงราบเรียบ ฟังไม่ออกว่ารักหรือเกลียดชัง “ไม่กล้ารับความนับถือไว้หรอก พี่ชายเจ้าความรู้กว้างไกล แต่ไหนแต่ไรก็ทำให้ข้าเลื่อมใส คุณหนูกู้มาเป็นแขกในเรือน สกุลเผยย่อมรู้สึกเป็นเกียรติ เรื่องของนายหญิงเสิ่นนั้นเหนือความคาดหมาย คุณหนูไม่จำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ ไม่ว่าท่านแม่หรือข้า ล้วนไม่อาจตำหนิคุณหนูกู้ด้วยเหตุนี้ คุณหนูกู้ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเอง”
“แม้จะพูดเช่นนี้” กู้ซียิ้มขมขื่น “ข้าได้ยินว่าอาจารย์เสิ่นมาขอโทษกับท่านด้วยตัวเอง ในใจของข้ายังคงยากที่จะรับไว้ หากข้ามีไหวพริบกว่านี้ ยามนั้นย่อมขัดขวางนายหญิงเสิ่นไว้ ท่านแม่เฒ่าก็คงไม่โมโหเช่นนี้ ทั้งอาจารย์เสิ่นก็คงไม่เสียใจเช่นกัน ไม่ว่าจะอย่างไรล้วนเป็นเพราะข้าที่ไม่จัดการเรื่องราวให้ดีในยามนั้น นอกจากข้าต้องขอโทษท่านแม่เฒ่าแล้ว อย่างไรก็ต้องขอโทษท่านอีก เป็นข้าที่ทำให้ทุกคนเดือดร้อน” พูดจบ นางก็คำนับให้แก่เผยเยี่ยนอย่างนอบน้อม
เผยเยี่ยนยืนรับการคำนับของนางอยู่ตรงนั้น ทว่าวาจาที่เปล่งออกมากลับทำให้กู้ซีสั่นสะท้านในใจ “คุณหนูกู้ เรื่องนี้เจ้าได้พูดซ้ำไปซ้ำมาหลายรอบแล้ว ข้าคิดว่า ไม่มีใครอยากให้เกิดเรื่องของนายหญิงเสิ่นหรอก อาจารย์เสิ่นยิ่งจะรู้สึกอับอายไปตลอดชีวิต ไม่ใช่ว่าคุณหนูกู้ควรจะเลือกทิ้งเรื่องนี้ไว้ด้านหลัง ภายหลังอย่าได้เอ่ยออกมาอีกจะไม่ดีกว่ารึ? ข้าคิดว่านี่จึงจะนับเป็นวิธีที่ถูกต้อง ไม่ใช่เอามาพูดกับข้า ทั้งไปพูดกับท่านแม่ข้า นี่แตกต่างกับการกระทำของนายหญิงเสิ่นตรงไหน?”
กู้ซีมองเผยเยี่ยนอย่างตะลึงงัน ดวงตาเบิกกว้าง ราวกับไม่สามารถกระพริบตาได้เสียอย่างนั้น
อวี้ถังพยายามข่มกลั้นสุดความสามารถจึงไม่ได้หัวเราะออกมา
นางเม้มริมฝีปากแน่น ในใจคล้ายดื่มน้ำผึ้งหอมหวาน เหมือนมีนกตัวน้อยร้องเพลงเจื้อยแจ้วอย่างเบิกบานใจ
เหอะ ในที่สุดกู้ซีก็เพลี่ยงพล้ำเสียบ้าง
ชาติก่อน นางใช้วิธีเช่นนี้ประจบประแจงไม่รู้ตั้งเท่าใด ครั้งนี้กลับใช้ไม่ได้เสียแล้ว
แม้ว่าจะเป็นครั้งเดียว แต่ก็เพียงพอให้อวี้ถังรู้สึกดีอกดีใจอย่างยิ่ง
นางมองเผยเยี่ยนรื่นหูรื่นตา ทั้งดูพิเศษเหนือคนอื่น
“คุณหนูกู้ หากไม่มีเรื่องอะไร ก็เชิญเจ้ากลับไปก่อนเถิด!” เผยเยี่ยนไม่มีความอ่อนโยนให้แม้แต่น้อย เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “เจ้าวิ่งโร่ออกมาเช่นนี้ ข้าคิดว่าสาวใช้ข้างกายเจ้าคงจะร้อนใจไม่น้อย ข้าก็ใกล้ถึงยามที่นัดหมายคนแล้ว ไม่สะดวกจะคุยอะไรต่อกับคุณหนูกู้ หากคุณหนูกู้ไม่ได้รับความเป็นธรรมอะไร มิสู้ไปคุยกับท่านแม่ข้า นางเป็นคนใจกว้าง ย่อมยินดีจะช่วยเหลือเรื่องร้อนใจของคุณหนูกู้ ข้าคงไม่รั้งคุณหนูกู้ไว้ที่นี่แล้ว”
กู้ซีหนีเตลิดไปทันที
อวี้ถังอารมณ์ดีอย่างยิ่ง แทบอยากจะหัวเราะออกมา ใครจะรู้ว่า พอเผยเยี่ยนหมุนกาย กลับมองตรงมาทางกอไผ่ที่อวี้ถังหลบอยู่ทันที เอ่ยอย่างเคร่งขรึม “คุณหนูอวี้ เจ้าดูพอแล้วหรือยัง? หากดูพอแล้ว เช่นนั้นก็ออกมา ข้ายุ่งอย่างยิ่ง หากเจ้าไม่มีเรื่องอะไร ข้าจะกลับไปแล้ว”
อวี้ถังยิ้มเจื่อน คิดว่าตัวเองก็ไม่ได้ถูกปฏิบัติดีไปกว่ากู้ซีเท่าใด แต่นางหน้าหนา ถูกเผยเยี่ยนพูดเช่นนี้ไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว นับประสาอะไรกับการแอบฟังคนอื่น ทั้งนางยังเป็นคนผิดเอง
นางเดินออกมาด้วยใบหน้าแดงก่ำ กล่าวแก้ต่าง “ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจ ยามที่ข้ามาก็เห็นพวกเจ้าคุยกันแล้ว ข้าคงไม่อาจเดินเข้ามาเช่นนี้ได้กระมัง? หากคุณหนูกู้เห็นข้าก็ย่อมลำบากใจ! ข้าแค่กลัวว่า…”
“ยังจะเล่นลิ้นอีก!” เผยเยี่ยนเปิดโปงนางอย่างไม่เกรงใจ “ในเมื่อกลัวคุณหนูกู้ลำบากใจ เหตุใดในยามที่เดินเข้ามาไม่ส่งเสียงเสียหน่อยล่ะ?” พูดจบ ก็ไม่คิดยุ่มย่ามคำถามนี้กับนางอีก ถามว่า “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใด? หรือสกุลหลี่ก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก? ใกล้ปีใหม่แล้ว ข้าไม่มีเวลาว่างไปถามทางเมืองหลวง เจ้ารอหน่อยเถิด รับรองว่าจะทำให้เจ้าสมหวังดังใจแน่”
ยามนี้อวี้ถังไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ นางเอ่ยว่า “คุณหนูกู้มาตั้งแต่เมื่อใด? พวกเจ้าพบกันได้อย่างไร?”
เผยเยี่ยนมองคาดหน้านางไปที ไม่คิดตอบนางแต่อย่างใด ถามขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอันใด?”
อวี้ถังร้อง ‘อ่อ’ ออกมา ก่อนจะพูดเรื่องที่ตัวเองกังวลเกี่ยวกับเขา ทั้งถามว่าช่วงนี้สกุลเผยราบรื่นดีหรือไม่ มีอะไรที่นางสามารถช่วยเหลือได้บ้าง
เผยเยี่ยนมองพินิจอวี้ถังขึ้นๆ ลงๆ แววตานั้นวาบวาวด้วยความดูแคลน คล้ายถามว่าอย่างนางจะช่วยอะไรเขาได้
อวี้ถังโมโหอย่างยิ่ง เอ่ยว่า “คนธรรมดาสามคน เอาชนะขงเบ้งคนเดียว? สายตามองข้ามคนเช่นนี้ของเจ้า ระวังเถิด ผู้ขาดธรรมคนย่อมตีจาก!”
เผยเยี่ยนแค่นเสียงเย็น “ข้ายุ่งกับการแบ่งทรัพย์สินของสกุลหลี่ นี่นับเป็นเรื่องหนึ่งหรือไม่? ไม่ใช่ว่าล้วนเป็นเรื่องที่เจ้าก่อขึ้นมาอย่างนั้นรึ? ใครกันอยากจะล้มสกุลหลี่? ใครบอกข้าว่าหลี่อี้รับสินบน? ใครกันที่ดูเรื่องสนุกจากการที่คนอื่นเป็นทุกข์? ในเมื่อข้าลงมือแล้ว ไม่กดคนให้ตายในน้ำ หรือจะรอเขากลับมาสร้างปัญหาให้สกุลเผยอย่างนั้นรึ?”
ต้องจริงจังขนาดนี้เลยหรือ?
อวี้ถังเอ่ยอย่างตึงเครียด “ทุกคนล้วนบ้านใกล้เรือนเคียง หากเจ้าแบ่งทรัพย์สินของสกุลหลี่ คนอื่นจะคิดอย่างไรกัน!”
เมื่อก่อนสกุลหลี่ก็มักจะวางแผนลับหลังผู้อื่น เผยเยี่ยนคงไม่กระโดดออกมาจัดการสกุลหลี่ด้วยตัวเองหรอกกระมัง?
เผยเยี่ยนโมโหจนถลึงตากว้าง
เขาเป็นคนโง่ขนาดนั้นหรืออย่างไร?
คุณหนูอวี้ผู้นี้ ตกลงเป็นคนฉลาดหรือคนโง่กันแน่?
“ข้าคิดว่านับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้าควรเรียนตำราให้มากๆ!” เผยเยี่ยนพูดจบ ก็ทิ้งอวี้ถังไว้ในป่าไผ่ สาวเท้าออกไปอย่างรวดเร็ว
อวี้ถังโมโหจนย่ำเท้า ตะโกนอยู่เบื้องหลังเขา “ข้ายังมีเรื่องจะถามท่าน ท่านอย่ารีบไปสิ!”
คาดว่าเผยเยี่ยนจะไม่เชื่อ ไม่แม้แต่จะหันศีรษะกลับมา
อวี้ถังทำได้เพียงไล่ตามไป
นอกป่าไผ่ มีปลายเสื้อคลุมสีม่วงปลิวพาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว
———————
[1]หนึ่งเค่อ เวลาประมาณสิบห้านาที